Skip to main content

 

 

ผมทราบข่าวว่าแบมะ แห่งมีเดียสลาตันเสียชีวิตเมื่อคืนนี้ ในใจคิดอยู่ตลอดว่าควรเขียนอะไรสักอย่างเพื่อไว้อาลัยและให้เกียรติกับเขา ทว่าจนแล้วจนรอดก็เพิ่งจะได้มาเขียนก็ตอนนี้ยามที่ใกล้ครบเวลา 24 ชั่วโมงเต็มที

ผมพบแบมะอยู่หลายครั้ง พูดคุยกันบ้าง แต่ครั้งที่ได้คุยกันอย่างจริงจังที่สุดก็คือครั้งที่แกไปร่วมวิจารณ์หนังสือเล่มแรกของผมเมื่อราวสองปีก่อน ผมจำได้ว่าแบมะวิจารณ์ทั้งในวงและนอกวงได้อย่างน่าสนใจว่า ความรู้สึกอย่างเดียวมันไม่พอ จำเป็นต้องใช้ความรู้ การตีความและอื่นๆ อีกมากมาย โดยเฉพาะในสังคมปาตานี สิ่งจำเป็นที่ต้องทำในเวลานี้คือการพยายามสร้างช่องทางในการสื่อสารให้คนนายูเห็นถึงความเปลี่ยนแปลงในสังคมตัวเอง แบมะไม่ได้ปฏิเสธการสื่อสารหรือการเชื่อมโยงกับโลกภายนอก ทว่า แกเห็นว่าในสังคมปาตานีเองก็มีความจำเป็นเป็นอันดับแรก ด้วยเหตุและปัจจัยหลายอย่างมากมาย ไม่ว่าจะเป็นด้วยความหลากหลาย, ความคิดเรื่องสันติภาพ และความยุติธรรม เป็นอาทิ

การแลกเปลี่ยนกับแบมะครั้งนั้นทำให้ผมตระหนักถึงความยากในการทำงานหลายระดับของคนในพื้นที่ กระนั้น ก็เห็นเขาทำงานกับเพื่อนๆ ใกล้ชิดเรื่อยมา

การจากไปของแบมะ นำความเสียใจของคนจำนวนมาก โดยเฉพาะในกลุ่มเครือข่ายภาคประชาสังคมของปาตานี เนื่องจากเขาเป็นคนใจกว้างและเปิดรับความแตกต่างในการทำงานและคนทำงาน แบมะจึงมีคนนับถือมากมายและเป็นผู้กว้างขวางด้วยหัวใจคนหนึ่ง

ผมไม่กล้าพูดได้เต็มปากว่าเข้าใจวัฒนธรรมและความตายในสังคมมลายูมากน้อยแค่ไหน แต่ในความเชื่อส่วนตัว ผมเชื่อว่าความตายมิได้หมายถึงการสิ้นสุด หากเป็นการเดินทางไปสู่อีกโลกหนึ่ง เป็นปฐมบทของชีวิตอีกรูปแบบหนึ่ง ในวัฒนธรรมที่ผมเติบโตมา เรามักนำข้าวของเครื่องใช้ของผู้ตายใส่ไว้ในโลงศพเผื่อให้ผู้ตายได้นำติดตัวไปยังโลกหน้า บ้างก็บอกเล่าและฝากข่าวให้ผู้ตายนำไปส่งแต่ญาติมิตรที่ล่วงไปก่อน

จากพื้นฐานของวัฒนธรรมผม ผมขอภาวนาให้แบมะไปสู่ความสงบสุขอันเป็นนิรันดร์ ผมเชื่อว่าเขาจะนำข่าวสารสันติภาพไปยังมิตรสหายและพระเจ้าในโลกหน้า เพื่อเป็นกำลังใจให้กับคนที่ยังต่อสู้ในโลกนี้

แด่ภราดรภาพ