Skip to main content

 

บทความพิเศษ “ม.44” : รัฐจัดการวัดพระธรรมกาย แต่ทำไมมุสลิมถูกดึงเข้าสงครามมวลชนต่อสู้กับรัฐ

 

โดย อุสตาซอับดุชชะกูรฺ บินชาฟิอีย์ (อับดุลสุโก ดินอะ)

กรรมการสภาประชาสังคมชายแดนใต้

[email protected],

http://www.oknation.net/blog/shukur

 

ที่มา : KonthaiUk

 

ด้วยพระนามของอัลลอฮฺผู้ทรงเมตตาปรานีเสมอ มวลการสรรเสริญมอบแด่อัลลอฮฺผู้ทรงอภิบาลแห่งสากลโลก ขอความสันติสุขแด่ศาสนทูตมุฮัมมัด และผู้เจริญรอยตามท่าน

จากการที่รัฐใช้มาตรา 44 ปิดล้อมวัดพระธรรมกาย ในโลกข่าวสารที่ไร้พรมแดนมีความพยายามของบางคนเชื่อมเหตุการณ์ครั้งนี้ว่ามุสลิมอยู่เบื้องหลังเพื่อให้เข้าสู่สงครามมวลชนต่อสู้กับรัฐ

กล่าวคือ มีบุคคลเผยแพร่ทางโลกโซเชียลในไทยและพม่าใส่ร้ายป้ายสีมุสลิมว่าอยู่เบื้องหลังการปราบปรามของรัฐภายใต้การนำของคณะ คสช. และแนวร่วมต่อวัดพระธรรมกายโดยโยงภาพหรือตัดต่อภาพเพื่อเร่งเร้าอารมณ์ร่วมให้กับแนวร่วมชาวพุทธ สังคมไทย หรือแม้แต่สังคมพุทธโลก เพื่อสร้างความร้าวฉานเกลียดชังระหว่างศาสนิก ซึ่งก่อนหน้านี้ก็เคยทำมาแล้ว อาจเป็นเพราะที่ต้องการดึงมวลชนต่อสู้กับรัฐ ซึ่งเขามองว่าในประเทศไทยมีประชากรชาวพุทธมากกว่าหันมาต่อต้านรัฐ

ในขณะเดียวกัน มีบางคนที่โชว์ป้ายระบุข้อความว่า “ถ้าทหารลงไป 4 จังหวัดชายแดนภาคใต้ขนาดนี้ ป่านนี้โจรใต้คงหมดไปแล้ว” ซึ่งเป็นที่ทราบกันดีว่าชายแดนใต้มีมุสลิมเป็นคนส่วนใหญ่

ตามทัศนะรัฐมองว่าที่ต้องประกาศใช้มาตรา 44 ปิดล้อมวัดพระธรรมกาย เพราะศาลมีคำสั่งอนุมัติหมายจับธัมมชโยในความผิดฐานสมคบกันฟอกเงินและร่วมกันฟอกเงิน และร่วมกันรับของโจร หลังพบว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับคดีฉ้อโกงเงินสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่น มีเงินรั่วไหลนับหมื่นล้านบาท DSI ตรวจสอบเส้นทางเงินพบว่ามีการสั่งจ่ายเช็คสหกรณ์กว่า 870 ฉบับ มีผู้รับเช็ค 7 กลุ่ม หนึ่งในนั้นคือกลุ่มวัดพระธรรมกาย และพระธัมมชโย และก่อนประกาศมาตรา 44 รัฐก็ใช้ไม้นวมทุกวิถีทาง เมื่อผู้กระทำผิดยังไม่เข้ามอบตัว

ดังนั้น พื้นที่วัดพระธรรมกาย ก็ยังคงต้องเป็นพื้นที่ควบคุมตามกฎหมายต่อไป

การที่รัฐใช้มาตรา 44 ปิดล้อมวัดพระธรรมกายจะเป็นเพราะอะไรก็แล้วแต่ ผู้เขียนก็ไม่เห็นดัวยในการใช้กระบวนการยุติธรรมเช่นนี้ ด้วยสาเหตุหลายประการ เช่น “มาตรา 44 อำนาจที่ศาลไม่อาจตรวจสอบ” กล่าวคือ มาตรา 44 กำลังปิดกั้นการตรวจสอบความชอบโดยกฎหมาย ทำให้ระบบยุติธรรมเข้าสู่ความล่มสลายจนขาดควมน่าเชื่อถือ และองค์กรตุลาการกำลังถอยหลังไปสู่ระดับเดียวกับประเทศด้อยพัฒนา

ในขณะที่ตามหลักการของประเทศที่เป็นนิติรัฐและประชาธิปไตย การพัฒนาประเทศต้องถูกกำกับด้วยกฎหมาย เพื่อลดผลกระทบที่จะเกิดขึ้นต่อประชาชนและสิ่งแวดล้อม แต่ในกรณีประเทศไทย เมื่อมีการนำมาตรา 44 มาใช้ อำนาจการตรวจสอบจึงไม่สามารถทำหน้าที่ได้อย่างที่ควรเป็น

การใช้มาตรา 44 มีความต่างจากกฎหมายพิเศษภายใต้คณะรัฐประหารอื่นๆ ซึ่งบัญญัติให้ถูกต้องเพียงแค่ตามรัฐธรรมนูญ และยังเปิดช่องทางให้สามารถตรวจสอบได้อยู่บ้าง แต่มาตรา 44 กลับบัญญัติให้ทุกการกระทำภายใต้กฎหมายนี้ ถูกต้องไปโดยสิ้นเชิง โดยไม่สามารถนำกฎหมายอื่นมาตรวจสอบหักล้างได้ ทำให้การทำหน้าที่ของนักกฎหมาย เป็นไปด้วยความยากลำบาก

การเรียกร้องให้คนอื่นใช้กระบวนการยุติธรรมปกติ ไม่เอากองกำลังทหาร ตำรวจไปที่วัดพระธรรมกายเป็นสิ่งดีที่ควรเรียกอย่างสันติวิธีและมีขันติธรรม แต่ก็ไม่เหมาะสมอย่างยิ่งที่จะชูป้ายข้อความว่า “ถ้าทหารลงไป 4 จังหวัดชายแดนภาคใต้ขนาดนี้ ป่านนี้โจรใต้คงหมดไปแล้ว”

 

เพราะเราทราบดีว่าผลของการเอาทหารเป็นหมื่นๆ ลงใต้พร้อมใช้กฎหมายพิเศษตลอด 12 ปี ไม่ใช่ทางออกอย่างยั่งยืน

ผู้เขียนขอให้ผู้เรียกร้องความยุติธรรมและมองว่าตัวเองหรือแนวร่วมตนเอง ถูกอธรรม กรุณาใช้วิจารณญาณในการต่อสู้ อย่าใช้วิธีการที่ไม่มีอารยะเพื่อดึงมวลชนต่อสู้กับรัฐ เพราะไม่เป็นผลดีต่อทุกคน ทุกฝ่าย ทุกศาสนิก

และขอร้องอย่างอารยะให้ต่อสู้อย่างขันติธรรมและอารยะจะดีกว่า

 

 

ที่มา มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 10 - 16 มีนาคม 2560

เผยแพร่ วันอังคารที่ 14 มีนาคม พ.ศ.2560

https://www.matichonweekly.com/featured/article_28075