Skip to main content
 
มหาวิทยาลัยเปิดเทอมใหม่แล้ว พ่อแม่พี่น้องจะพากันไปส่งนักศึกษาที่จะเป็นบัณฑิตใหม่ พ่อแม่จากบ้านนอกงกๆเงิ่นๆเดินตามนักศึกษาหน้าใส จ่ายเงินทองทุกบาททุกสตางค์ตามที่เขาต้องการเพื่อทำให้เขาเป็นผู้ทรงความรู้เป็นบัณฑิตที่จะปกครองบ้านเมือง นักศึกษาเหล่านั้นมีอนาคตสดใส แต่พ่อแม่ในชนบทอนาคตตีบตันยิ่งนัก
          พ่อแม่เหล่านั้นจำนวนมากทำงานหนักยิ่งกว่าวัวควาย เพื่อหาเงินมาส่งลูกเรียน หาเงินมาให้นักศึกษาจ่ายเป็นค่าเสื้อราคาแพง มียี่ห้อและใช้ชีวิตอย่างสะดวกสบายในมหาวิทยาลัย พ่อแม่บางคนไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่าตัวหนังสือหันหน้าไปทางไหนและมีความหมายว่าอย่างไร แต่คนเหล่านั้นเองที่ต้องออกไปกรีดยางตั้งแต่ตีสอง หาเงินส่งลูกเรียน ถากถ้างหญ้าในสวนยางกลางแดดเปรี้ยงปร้างสร้างอนาคตให้ลูก ต้องเก็บผักป่าหาของจากธรรมชาติมาต้มแกงกินกันในครอบครัวเพื่อลดค่าใช้จ่ายเพื่อที่เงินส่วนที่เหลือจะได้ให้คนที่อยู่ในมหาวิทยาลัย เก็บมะพร้าวทีละลูก สองลูก เก็บผักป่ามาขายครั้งละไม่กี่บาท ฯลฯ
          ตลอดระยะเวลาที่ลูกๆเรียนอยู่ในมหาวิทยาลัยสี่ปีพวกเขาทั้งพ่อแม่อาจจะไม่เคยซื้อเสื้อผ้าใหม่เลยแม้แต่ชิ้นเดียว ต้องบากหน้าไปกู้เงินนอกระบบ ยามที่ลูกๆโทรมาจากมหาวิทยาลัยว่าต้องการเงินอีกแล้ว ก็ต้องเพิ่มเวลาทำงานขึ้นอีกวันละชั่วโมงเพื่อหางานรับจ้างอื่นๆเพิ่มเติมจากงานประจำวันที่หนักหนาสาหัสอยู่แล้ว เสร็จจากกรีดยางเมื่อตอนหกโมงเช้าพวกเขายังต้องไปไถนาก่อนที่จะกลับไปเก็บน้ำยางมาทำเป็นยางแผ่น
          สี่ปีของนักศึกษาในมหาวิทยาลัยเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุด สบายที่สุดของคนคนหนึ่ง เพราะไม่ต้องมีกฎข้อบังคับรัดตรึงไว้เหมือนการเรียนมัธยม ไม่ต้องมีพ่อแม่ดูแลและควบคุม จะเรียนหรือไม่เรียนก็ไม่มีใครมาว่ามาด่า พวกเขาจะมีแฟน จะมีเมียก็ไม่มีใครมาว่า เพราะอยู่นอกเหนือการควบคุมของทั้งครูบาอาจารย์และครอบครัว จะเที่ยวสำมะเลเทเมาสักเท่าไรก็ไม่มีใครรู้
          แต่สี่ปีขณะที่ลูกๆเรียนมหาวิทยาลัยของพ่อแม่ในชนบทเป็นสี่ปีที่เหมือนนรก รายได้เกือบทั้งหมดต้องส่งไปมหาวิทยาลัย อาหารการกินก็ต้องอดๆอยากๆเพราะประหยัดไว้ให้ลูกๆ และลุกๆเหล่านั้นก็กลับบ้านน้อยมาก พวกเขาจะหลงระเริงความสะดวกสบายและอิสระภาพของมหาวิทยาลัยจนไม่อยากกลับบ้าน แม้กลับบ้านก็ไม่อยากพาเพื่อนมาด้วยเพราะกลัวเพื่อนๆจะมาพบความยากไร้แห่งครอบครัว อันจะทำให้ภาพพจน์ของว่าที่บัณฑิตมัวหมอง นักศึกษาในมหาวิทยาลัยแม้ว่าจะมาจากโคลนตมแต่ก็ช่วยเหลือครอบครัวน้อยมากระหว่างเรียน ไม่ใช่เพราะพวกเขาเรียนหนักแต่เป็นเพราะพวกเขาไม่อยากกลับบ้านเป็น เรื่องแปลกจริงๆที่นักศึกษาชนบทส่วนใหญ่ไม่อยากกลับบ้าน พวกเขาพยายามยืดเวลาในการอยู่มหาวิทยาลัยไปให้ยาวนานที่สุดและมาเร็วที่สุดก่อนการเปิดเทอม
          จงมองดูแววตาของชาวไร่ชาวนาที่มีลูกเรียนมหาวิทยาลัยเถิด เป็นแววตาแห่งความปิติยินดี ภาคภูมิใจ และพร้อมที่จะอวดโอ่กับทุกคนในโลกนี้ถึงเกียรติอันยิ่งใหญ่นี้ แต่มองดูร่างกายของเขาเถิดว่าลำบากตรากตรำเพิ่มขึ้นมากมายเพียงไร สังคมบ้านเราสร้างบัณฑิตจากไหน สร้างจากอะไร จากความทุกข์ยากตรากตรำของผู้คนเรือนหมื่นเรือนแสนที่อยู่ในชนบทนั้นเอง เราสร้างคนฉลาดล้ำเหล่านี้จากคนโง่ คนที่ไม่รู้หนังสือสร้างผิวพรรณผุดผ่องของนักศึกษาจากผิวพรรณอันหยาบกร้านของชาวสวน ชาวนาเหล่านั้น คนเหล่านั้นเป็นเสมือนซากมนุษย์ที่ถูกว่าที่บัณฑิตดูดกลืนชีวิตแทบหมดสิ้น พ่อแม่เหล่านั้นเปรียบเสมือนต้นไม้ที่ถูกตัดโค่นลงเป็นปุ๋ยสร้างบัณฑิตใหม่ให้สังคม
          บัณฑิตที่ถูกสร้างขึ้นไปไหน
          ไม่มีใครสักคนที่กลับไปยังชนบทอีก บางคนไปเป็นนักปกครอง มองประชาชนรวมทั้งพ่อแม่ของตนเป็นผู้ถูกปกครอง คอยกล่าวหาว่าม็อบของคนยากไร้นั้นล้วนถูกมือที่สามปลุกปันขึ้นมาทั้งสิ้น บางคนไปเป็นนักบัญชีทำหน้าที่หาช่องทางให้ธุรกิจขนาดใหญ่ ขนาดเล็กทั้งหลาย หลีกเลี่ยงภาษีของรัฐบาล หลายคนไปเป็นนักโฆษณาทำหน้าที่ชักชวนประชาชนให้ใช้ของฟุ่มเฟือย ส่งเสริมให้เขากินอาหารมีสารพิษ เป็นมือเป็นตีนของนายทุนที่จะล้วงกระเป๋าคนในชนบทมาสร้างความร่ำรวยให้เจ้านายของตนเอง บางคนไปเป็นทนายความหาช่องทางให้นายทุนยึดป่าสงวน ยึดที่ดินอันเป็นสายใยชีวิตของชาวไรชาวนา หลายคนไปเป็นวิศวกรในโรงงานที่ปล่อยน้ำเสียลงมาทำลายแม่น้ำลำคลองของชาวนา ในขณะที่หลายคนไปเป็นเจ้าหน้าที่ฝ่ายบุคคลในโรงงาน หาช่องทางให้นายทุนกดขี่ขูดรีดคนงานที่มาจากชนบทให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้
          บัณฑิตจำนวนมากต้องการไปทำงานในสำนักงานที่ดินเพราะสามารถทำเงินได้มหาศาลในเวลาอันสั้นด้วยการคบหาสมาคมกับนายหน้าค้าที่ดินที่แย่งเวลาบริการประชาชนไปจนหมดสิ้น พร้อมทั้งหาช่องทางแย่งชิงที่ดินจากชาวนาชาวไร่อย่างถึงที่สุด บัณฑิตที่เติบโตมาจากซากชีวิตของชาวนาชาวไร่ในชนบทที่ล้วนทำหน้าที่ค้ำยันระบบการเอารัดเอาเปรียบชนบทของภาคข้าราชการและภาคธุรกิจอย่างเอาการเอางานยิ่ง แน่นอนว่าเขาเหล่านั้นจะส่งเงินกลับบ้านไปให้พ่อแม่และพ่อแม่ก็ภูมิอกภูมิใจความกตัญญูที่ว่านั้นนัก มักไปเอาขยายความตีเพิ่มขึ้นอีกสองสามเท่าเสมอ แต่น้อยคนนักที่จะยอมเปลี่ยนแปลงสถานะ เปลี่ยนแปลงอาชีพเพื่อถอนตัวจากกิจการที่เอารัดเอาเปรียบพ่อแม่ของตนเอง พวกเขาเพียงคิดว่าของเพียงให้มีความร่ำรวยอะไรๆก็ไม่สำคัญ ท้ายที่สุดแล้วเขาจะเอาความร่ำรวยนั้นไปแก้ปัญหาต่างๆที่มีอยู่ทั้งหมด ซึ่งเป็นเรื่องโกหกพกลมโดยสิ้นเชิง
          มหาวิทยาลัยเปิดเรียนแล้ว พ่อแม่จากชนบทเดินงกๆเงิ่นๆตามนักศึกษาเข้ามาในมหาวิทยาลัย คนเหล่านั้นแต่งตัวซอมซ่อนัก ยากไร้นัก หยาบกร้านนัก แต่นั้นคือ แหล่งพลังงานแหล่งเดียวที่ว่าที่บัณฑิตจะดูดกลืนไปอีกตลอดระยะเวลาสี่ปีที่ศึกษาอยู่ในมหาวิทยาลัยเพื่อที่จะออกไปรับใช้กิจการที่จะมาขูดรีดชนบทให้หนักมือยิ่งขึ้นไม่เว้นแม้กระทั่งพ่อแม่ของตนเอง
                                                                                          จาก วารสารขององค์การพัฒนาภาคใต้ พ.ศ.2539