Skip to main content
หมายเหตุ: รายงานของ International Crisis Group ชิ้นนี้ เดิมเผยแพร่ในภาษาอังกฤษชื่อ “Bridging Thailand’s Deep Divide” เมื่อต้นเดือนกรกฎาคม 2553 ที่ผ่านมา หากต้องการดาวน์โหลดรายงานฉบับเต็ม (ภาษาไทย) กรุณาคลิกที่นี่
ประสานรอยแยกในประเทศไทย
Asia Report Nº192 5 Jul 2010
 
บทคัดย่อและข้อเสนอแนะ
การต่อสู้อันยืดเยื้อระหว่างฝ่ายชนชั้นนำกับกลุ่มที่สนับสนุนอดีตนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตร ซึ่งถูกโค่นอำนาจลงส่งผลให้เกิดความแตกแยกที่รุนแรงในสังคมไทยและนำไปสู่การเผชิญหน้าทางการเมืองที่รุนแรงสุดในรอบหลายปีที่ผ่านมา มีผู้คนเสียชีวิตและบาดเจ็บเกือบ 2,000 ชีวิตซึ่งทำให้เกิดบาดแผลที่ร้าวลึกในความรู้สึกของคนในชาติ แผนการปรองดองแห่งชาติซึ่งเสนอโดยรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เพียงฝ่ายเดียวไม่อาจนำไปสู่การแก้ปัญหาได้หากปราศจากการมีส่วนร่วมของฝ่ายตรงข้าม ซึ่งรวมถึงอดีตนายกรัฐมนตรีทักษิณ กระบวนการสอบสวนความรุนแรงที่น่าเชื่อถือ การปฏิรูปกฎหมายที่มีผลอย่างยั่งยืน รวมถึงการแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำในสังคมไม่อาจเกิดขึ้นได้หากปราศจากการมีส่วนร่วมของกลุ่มคนเสื้อแดง สิ่งเหล่านี้ไม่อาจเกิดขึ้นได้ หากแกนนำคนเสื้อแดงยังคงถูกควบคุมตัว ปราบปรามหรือต้องหลบหนี บททดสอบแรกว่าประเทศนี้จะสามารถกลับคืนสู่หนทางที่ถูกต้องได้หรือไม่หรือยังคงหลงทางอยู่ที่ความสามารถที่จะจัดการเลือกตั้งครั้งใหม่ให้เป็นไปอย่างสงบเรียบร้อย ยุติธรรม และเป็นที่ยอมรับของทุกฝ่าย รัฐบาลไทยควรยกเลิกพระราชกำหนดสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีผลบังคับใช้ในหลายพื้นที่ของประเทศ  ซึ่งเสี่ยงต่อการทำลายระบอบประชาธิปไตย อีกทั้งยังเป็นอุปสรรคขัดขวางการปรองดองและยังเป็นการหว่านเมล็ดพันธุ์แห่งความขัดแย้งที่รุนแรงต่อไปในภายภาคหน้าอีกด้วย
การเมืองไทยได้เปลี่ยนแปลงอย่างสำคัญเมื่อทักษิณซึ่งเป็นอดีตนายตำรวจและเจ้าของกิจการโทรคมนาคมได้รับชัยชนะอย่างท่วมท้นในการเลือกตั้งในปี 2544 และ 2548 ความนิยมของเขาพุ่งขึ้นอย่างรวดเร็วในหมู่คนยากจนซึ่งได้รับประโยชน์จากโครงการประชานิยม เช่น โครงการ 30 บาทรักษาทุกโรค ในเวลาเดียวกัน การปกครองที่ใช้อำนาจเบ็ดเสร็จซึ่งมีการคอร์รัปชั่นมากขึ้นก็ทำให้ชนชั้นกลางในเมืองไม่พอใจ ส่วนชนชั้นนำฝ่ายอนุรักษ์นิยมก็กลัวว่าความนิยมในตัวทักษิณจะกลายเป็นสิ่งที่ท้าทายอำนาจของพวกเขา พลังของฝ่ายชนชั้นนำประกอบไปด้วยคณะองคมนตรี ทหาร และฝ่ายตุลาการ โดยได้รับการสนับสนุนจากกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.) หรือที่เรียกว่า กลุ่มเสื้อเหลือง  การเคลื่อนไหวของกลุ่มต่างๆ เหล่านี้ประสานสอดคล้องกันในการขจัดทักษิณออกจากการเมืองและลดอิทธิพลของเขาลง ช่วงต้นปี 2549 กลุ่มพธม. ได้ท้าทายรัฐบาลทักษิณครั้งแรกด้วยการเดินขบวนประท้วง ต่อมาทหารก็ก่อการรัฐประหารขับไล่รัฐบาลออกไป  ศาลได้มีคำสั่งยุบพรรคไทยรักไทยเมื่อเดือนพฤษภาคม 2550 ในขณะที่ทักษิณลี้ภัยอยู่ต่างแดน แต่พรรคพลังประชาชนซึ่งเป็นพรรคที่ตั้งขึ้นมาแทนและได้ขึ้นสู่อำนาจก็ถูกศาลสั่งยุบพรรคในช่วงปลายปีอีกเช่นกัน พรรคประชาธิปัตย์ได้จัดตั้งรัฐบาลผสมขึ้นภายใต้แรงสนับสนุนของทหารโดยไม่ได้มีการเลือกตั้งใหม่และนายอภิสิทธิ์ได้ขึ้นดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี
แม้จะต้องสูญเสียอำนาจจากการรัฐประหาร แต่ทักษิณก็ยังไม่สิ้นอิทธิพล ผู้สนับสนุนของเขาเคลื่อนไหวในนามกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ซึ่งการเคลื่อนไหวก็มีความกว้างขวางมากกว่าการต่อสู้เพียงเพื่อบุคคลคนเดียว กลุ่มเสื้อแดงมีแกนนำที่หลากหลาย ทั้งสมาชิกรัฐสภา นักการเมืองที่ถูกตัดสิทธิทางการเมืองและนักจัดรายการวิทยุซึ่งเป็นที่นิยม ซึ่งแกนนำเหล่านี้ก็ไม่มีเอกภาพกันเสียทีเดียว นปช. ได้รับความสนับสนุนจากคนจนทั้งในเมืองและชนบทซึ่งได้กลายเป็นพลังสำคัญที่เดินขบวนประท้วงขับไล่รัฐบาลที่ทหารแต่งตั้งขึ้นและต่อมาได้ต่อต้านรัฐบาลอภิสิทธิ์ซึ่งเป็นรัฐบาลที่ได้รับการสนับสนุนจากกลุ่มชนชั้นนำ  ภายหลังจากที่ศาลตัดสินให้ยึดทรัพย์ของทักษิณเมื่อปลายเดือนกุมภาพันธ์ กลุ่มนปช. ก็ได้เดินขบวนอีกครั้งและเรียกร้องให้มีการเลือกตั้ง  การเข้ายึดพื้นที่บริเวณสี่แยกราชประสงค์ซึ่งเป็นย่านธุรกิจสำคัญของกรุงเทพฯ และการบุกเข้าไปในรัฐสภาเป็นเหตุให้รัฐบาลประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินในกรุงเทพฯ และพื้นที่ปริมณฑลเมื่อวันที่ 7 เมษายน ซึ่งทำให้การชุมนุมประท้วงเป็นสิ่งที่ผิดกฎหมาย  รัฐบาลได้สั่งปิดสื่อและมีการควบคุมตัวผู้ต้องสงสัยโดยไม่ต้องตั้งข้อหา  พ.ร.ก. ฉุกเฉินได้ให้อำนาจเจ้าหน้าที่อย่างกว้างขวางและปกป้องเจ้าหน้าที่จากการถูกฟ้องร้องดำเนินคดี จนถึงวันที่ 19 พฤษภาคม พ.ร.ก.ฉุกเฉินได้ถูกประกาศในพื้นที่ทั้งหมด 24 จังหวัดซึ่งนับเป็นพื้นที่หนึ่งในสามของประเทศ  การปะทะกันครั้งสำคัญสองครั้งในเดือนเมษายนและพฤษภาคมและเหตุการณ์รุนแรงอีกหลายครั้งทำให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 90 คน ก่อนที่ทหารจะเข้าสลายการชุมนุมด้วยการใช้อาวุธปืนจริง
หลังสลายการชุมนุม รัฐบาลเชื่อว่าตนเองประสบชัยชนะและสามารถฟื้นฟูความสงบเรียบร้อยในบ้านเมืองได้แล้ว แต่อันที่จริงรัฐบาลประเมินความแตกแยกอันลึกซึ้งที่เกิดขึ้นจากการใช้ความรุนแรงต่ำเกินไป แผนปรองดองแห่งชาติที่รัฐบาลประกาศนั้นไม่เพียงพอ จำเป็นที่รัฐบาลจะต้องหาฉันทามติทางการเมืองครั้งใหม่โดยให้ทุกฝ่ายมีส่วนร่วมอย่างเท่าเทียม ต้องลดการพูดจาจ้วงจาบรุนแรงใส่กัน รวมทั้งยุติการใช้ข้อหา “ก่อการร้าย”  กับทักษิณและแกนนำ นปช. ในส่วนของแกนนำกลุ่ม นปช. พวกเขาควรประกาศอย่างเปิดเผยว่าจะไม่ใช้ความรุนแรง ไม่ยอมรับบทบาทฝ่ายที่ติดอาวุธและเรียกร้องให้สมาชิกกระทำตาม  ผู้ที่ชุมนุมอย่างสันติควรได้รับสิทธิในการดำเนินการทางการเมืองกลับคืนมา การฟ้องร้องดำเนินคดีต่อพฤติการณ์ที่เป็นความผิดทางอาญาทั้งในอดีตและอนาคตควรจะได้รับการปฏิบัติอย่างเท่าเทียมกัน
ในระยะยาว ประเทศไทยต้องครุ่นคิดอย่างลึกซึ้งถึงการปฏิรูประบบการเมืองในระดับกว้าง  ซึ่งรวมถึงบทบาทของสถาบันพระมหากษัตริย์และกองทัพ  จำเป็นจะต้องมีการกระจายรายได้ที่เท่าเทียม ให้ทุกฝ่ายเข้าถึงความยุติธรรมอย่างเสมอภาค และมีการกระจายอำนาจมากขึ้น การสอบสวนความรุนแรงที่เกิดขึ้นจะต้องกระทำอย่างเต็มที่โดยถือเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการปรองดอง  การเลือกตั้งครั้งใหม่ควรจะเกิดขึ้นโดยเร็วซึ่งควรจะเป็นจุดเริ่มต้น ไม่ใช่จุดสุดท้ายของกระบวนการปรองดอง โดยรัฐบาลชุดใหม่ที่มีความชอบธรรมจากฉันทามติที่ได้รับจากประชาชนและได้รับการยอมรับจากทุกฝ่ายจะเป็นผู้ขับเคลื่อนวาระการปฏิรูป  และเพื่อนำไปสู่จุดนั้น รัฐบาลชุดปัจจุบันจำเป็นจะต้องเลิกการดำเนินการแบบอำนาจนิยมและหันมาสู่แนวทางที่เปิดเผย เน้นการมีส่วนร่วมและเป็นประชาธิปไตยในการดำเนินการเพื่อแก้ไขปัญหาของชาติ
ข้อเสนอแนะ
สำหรับรัฐบาลไทย
1. ยกเลิกพระราชกำหนดสถานการณ์ฉุกเฉินที่บังคับใช้ในเขตกรุงเทพฯ และ 23 จังหวัดโดยทันที
2. สอบสวนข้อเท็จจริงความรุนแรงที่เกิดขึ้นระหว่างเดือนเมษายน-พฤษภาคม 2553 อย่างเต็มที่ โปร่งใสและเป็นอิสระ หากการสอบสวนไม่ได้รับความเชื่อถือจากประชาชน รัฐบาลก็ควรพิจารณาความช่วยเหลือจากนานาชาติเพื่อเสริมสร้างความมั่นใจต่อกระบวนการนี้
3. ยุติการใช้ข้อกล่าวหาก่อการร้ายกับแกนนำกลุ่มเสื้อแดง รวมทั้งอดีตนายกฯ ทักษิณด้วย และใช้บทบัญญัติตามประมวลกฎหมายอาญาตามฐานความผิดต่าง ๆ แทน เช่น การทำร้ายร่างกาย การวางเพลิง หรือการครอบครองอาวุธโดยผิดกฎหมาย
4. บังคับใช้กฎหมายอย่างเท่าเทียมในการดำเนินคดีอาญาต่อการชุมนุมประท้วงที่ไม่สงบสันติ ก่อกวนหรือมีความรุนแรง โดยไม่แบ่งแยกว่าเป็นสมาชิกกลุ่มการเมืองใด
5. ยุติการสั่งปิดสื่อต่าง ๆ ของกลุ่มเสื้อแดง สถานีวิทยุชุมชนและเว็บไซต์ และเร่งออกกฎหมายเพื่อจัดตั้งคณะกรรมการอิสระเพื่อควบคุมดูแลสื่อวิทยุและโทรทัศน์ เพื่อป้องกันการใช้สื่อในการกระตุ้นให้เกิดความรุนแรงหรือสร้างความเกลียดชัง
6. ตระหนักว่าเสถียรภาพทางการเมืองในระยะยาวของไทยจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อมีการพูดคุยเจรจากับอดีตนายกฯ ทักษิณ แทนที่จะพยายามสร้างภาพอันชั่วร้ายให้เขาต่อไป
7. พิจารณานิรโทษกรรมนักการเมืองที่ถูกตัดสิทธิ 220 คนเพื่อให้พวกเขาสามารถลงสมัครรับเลือกตั้งได้ และเสริมสร้างบทบาทของรัฐสภาในการเป็นเวทีแก้ไขข้อขัดแย้งทางการเมือง
8. อนุญาตให้องค์กรต่างประเทศเข้าร่วมสังเกตการณ์การเลือกตั้งครั้งต่อไป เพื่อเสริมสร้างความน่าเชื่อถือของการเลือกตั้ง
9. ดำเนินการปฏิรูปหน่วยงานความมั่นคงอย่างเข้มข้น โดยเน้นการฝึกอบรมและให้ค่าตอบแทนอย่างเหมาะสม   ให้ตำรวจเป็นหน่วยงานที่รับผิดชอบเรื่องความมั่นคงภายใน  ซึ่งรวมถึงการควบคุมการจลาจลและการดูแลการชุมนุมประท้วง โดยจำกัดบทบาทของทหารเฉพาะในการป้องกันประเทศ
10. พัฒนาบริการด้านสังคมและการสนับสนุนทางเศรษฐกิจเพื่อสร้างความเข้มแข็งให้กับคนจน รวมถึง ตอบสนองความต้องการและพัฒนาคุณภาพชีวิตของพวกเขา เพื่อเป็นการช่วยลดช่องว่างความแตกต่างทางสังคมและเศรษฐกิจ
สำหรับแกนนำกลุ่มเสื้อแดง
11. ดูแลให้สมาชิกยึดมั่นต่อหลักการสันติอหิงสาในกิจกรรมที่จะกระทำในอนาคต
12. ปฏิเสธไม่ให้มีกลุ่มติดอาวุธอยู่ในขบวนการและประณามการกระทำที่รุนแรง  แม้จะเป็นกลุ่มที่อ้างว่าประสงค์จะช่วยคุ้มครองสมาชิกก็ตาม
13. เมื่อมีการยกเลิกกฎหมายที่จำกัดเสรีภาพทางการเมือง ให้ความร่วมมืออย่างจริงใจในการสอบสวนหาข้อเท็จจริงของเหตุการณ์รุนแรงที่เกิดขึ้น  การสร้างการปรองดองในชาติ การปฏิรูปกฎหมาย  รวมถึงการวางแผนการเลือกตั้งในอนาคต
สำหรับทักษิณ ชินวัตร
14. สนับสนุนให้มวลชนร่วมมือเพื่อให้เกิดการเลือกตั้งอย่างสันติ และพิจารณาแนวทางที่แต่ละฝ่ายยอมรับได้สำหรับเดินทางกลับสู่ประเทศไทยของตน  ทั้งนี้เพื่อเป็นส่วนหนึ่งของความพยายามสร้างความปรองดองในชาติ
สำหรับพรรคการเมืองทุกพรรค กลุ่มนปช . และกลุ่มพธม .
15.  ลงนามในข้อตกลงเพื่อช่วยให้เกิดการเลือกตั้งอย่างสันติ  ควบคุมการเคลื่อนไหวของสมาชิกไม่ให้ใช้ความรุนแรงและเคารพผลการเลือกตั้ง
16. มุ่งดำเนินการเพื่อให้เกิดการเลือกตั้งระดับชาติอย่างสันติ  โดยลดการใช้ถ้อยคำรุนแรงที่อาจนำไปสู่การเผชิญหน้า และตกลงกันในเรื่องกติกาการรณรงค์เลือกตั้งที่ยอมรับได้และให้สัญญาว่าจะไม่ขัดขวางการหาเสียงเลือกตั้ง
 
File attachment
Attachment Size
192_thailand_bridging_thailands_deep_divide_thai.pdf (1.02 MB) 1.02 MB