Skip to main content

เหตุการณ์การก่อความไม่สงบในพื้นที่จังหวัดชายแดนใต้ด้วยการถอดน๊อตเสาไฟฟ้าแรงสูง  จนทำให้ไฟฟ้าดับทั้งจังหวัดนราธิวาส หลายอำเภอไฟฟ้าดับนานกว่า 2 วันเมื่อวันที่ 6-8 พฤษภาคม 2551 ที่ผ่านมา ได้สร้างความหวาดผวาให้กับประชาชนในพื้นที่ได้อย่างมาก อีกทั้งสร้างความโกลาหลให้กับชีวิตของประชาชนในโลกยุคปัจจุบันที่ต่างต้องพึ่งพาไฟฟ้าในแทบทุกกิจกรรมประจำวัน

 
นพ.สุภัทร ฮาสุวรรณกิจ
ศูนย์เฝ้าระวังสถานการณ์ภาคใต้

เหตุการณ์การก่อความไม่สงบในพื้นที่จังหวัดชายแดนใต้ด้วยการถอดน๊อตเสาไฟฟ้าแรงสูง  จนทำให้ไฟฟ้าดับทั้งจังหวัดนราธิวาส หลายอำเภอไฟฟ้าดับนานกว่า 2 วันเมื่อวันที่ 6-8 พฤษภาคม 2551 ที่ผ่านมา ได้สร้างความหวาดผวาให้กับประชาชนในพื้นที่ได้อย่างมาก อีกทั้งสร้างความโกลาหลให้กับชีวิตของประชาชนในโลกยุคปัจจุบันที่ต่างต้องพึ่งพาไฟฟ้าในแทบทุกกิจกรรมประจำวัน

 

          สำหรับโรงพยาบาลทุกแห่งในจังหวัดนราธิวาส  รวมทั้งโรงพยาบาลตากใบนั้น ไม่เคยพบกับสถานการณ์ไฟดับต่อเนื่องยาวนานกว่า 2 วันเช่นนี้ แม้ไฟจะดับแต่ความเจ็บป่วยรอไม่ได้  การให้บริการรักษาพยาบาลยังต้องดำเนินต่อไป การปรับตัวในการจัดบริการให้กับผู้ป่วยได้ให้ใกล้เคียงกับปกติที่สุดในท่ามกลางการไม่มีกระแสไฟฟ้าใช้นั้น  นับเป็นบทเรียนใหม่ของระบบสาธารณสุขไทยในยุคใหม่   

          โดยพื้นฐานทุกโรงพยาบาลในจังหวัดชายแดนใต้  มีการเตรียมความพร้อมของเครื่องปั่นไฟฟ้ากันอยู่แล้ว  การสำรองน้ำมันสำหรับเครื่องปั่นไฟสำหรับให้พอปั่นไปข้ามคืนนั้นเป็นมาตรฐานปกติของทุกโรงพยาบาล   เครื่องปั่นไฟที่มีซึ่งมักมีขนาดเล็กและไม่เพียงพอสำหรับการใช้งานเต็มระบบ  ก็จะมีการเดินระบบไฟฉุกเฉินสำหรับห้องที่มีความจำเป็นต้องใช้ไฟฟ้าให้มีกระแสไฟฟ้าใช้เช่นห้องคลอด ห้องฉุกเฉิน ไฟแสงสว่างในตึกผู้ป่วยใน ห้องยา ห้องบัตรเป็นต้น  แต่กรณีนี้เป็นเหตุการณ์ที่ไม่เคยประสบ ไฟฟ้าดับนานต่อเนื่องถึง 2-3 วัน

          โรงพยาบาลตากใบ จังหวัดนราธิวาส ปลายสุดของสายไฟฟ้าไทย  ได้แก้ปัญหาให้สามารถจัดบริการได้ดีที่สุดในท่ามกลางการไม่มีไฟฟ้าใช้ได้อย่างน่าสนใจ  ในทันทีที่ไฟดับและทางโรงพยาบาลรู้ว่า  "ครั้งนี้ไปจะดับนานไม่น้อยกว่า 3 วัน " นายแพทย์สมชาย  ศรีสมบัณฑิต  ผู้อำนวยการโรงพยาบาลตากใบ  รีบสั่งให้เจ้าหน้าที่โรงพยาบาลจัดซื้อน้ำมันสำหรับเครื่องปั่นไฟฟ้าเพิ่มขึ้นเท่าตัว  จากเดิมที่มีอยู่ 400 ลิตร เพิ่มขึ้นเป็น 800 ลิตร  เติมน้ำมันรถทุกคันของโรงพยาบาลให้เต็ม เพราะน้ำมันในเมืองเล็กๆอาจหมดลงอย่างรวดเร็วหากสถานการณ์ยืดเยื้อ

          เครื่องปั่นไฟอายุกว่า 10 ปีที่ต้องทำงานตลอด 24 ชั่งโมงนั้นเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้  โจทย์ที่ถกเถียงกันอย่างหนักในโรงพยาบาลคือ  จะหยุดพักเครื่องสัก 2 ชั่วโมงในช่วงเวลาใดจึงเหมาะสมที่สุด  กระทบต่อการบริการน้อยที่สุด  ในมุมมองของเจ้าหน้าที่ในการเริ่มหาข้อสรุป  ส่วนใหญ่ก็มีความเห็นให้หยุดพักเครื่องในช่วงที่มีแสงสว่างจากดวงอาทิตย์  อาจเป็นช่วงบ่ายหรือเย็น  หรือไม่ก็ยามฟ้าสางในช่วงเช้า 

แต่เมื่อถกเถียงไประยะหนึ่งก็พบว่า  ไม่สามารถปิดบริการในช่วงบ่ายหรือช่วงเย็นได้ เพราะเป็นช่วงเวลาที่มีผู้ป่วยมารับบริการต่อเนื่อง  สุดท้ายคำตอบจึงไปอยู่ที่การดับไฟฟ้าในช่วงฟ้าสาง  แต่ด้วยปัญหาที่ทางโรงพยาบาลไม่สามารถเดินเครื่องซักผ้าและเครื่องอบผ้าในช่วงเวลากลางวันได้ เพราะปริมาณกระแสไฟฟ้าจากเครื่องปั่นไฟไม่เพียงพอ  จึงต้องมีการปรับระบบงานให้เจ้าหน้าที่ซักรีดมาทำงานในช่วงฟ้าสางจนถึงก่อนเวลาทำการของโรงพยาบาล  ทำให้ต้องปั่นกระแสไฟฟ้าในการซักรีดในช่วงเช้าตรู่  คำตอบสุดท้ายจึงไปอยู่ที่การพักเครื่องปั่นไปในช่วงเวลาดึกคือตี 2 ถึงตี 4  ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่มีผู้ป่วยมาที่ห้องฉุกเฉินน้อยมาก  ผู้ป่วยส่วนใหญ่นอนหลับ  มีความต้องการเพียงไฟส่องสว่างเท่านั้น  เป็นโรงพยาบาลที่มืดมิดมีเพียงแสงเทียนแสงไฟฉายและแสงไฟฉุกเฉินเช่นเดียวกับชุมชนทั้งอำเภอตากใบ

          การที่ไฟฟ้าดับเป็นเวลานานส่งผลงต่อสถานีอนามัยเช่นกัน เพราะไม่มีระบบไฟฟ้าสำรอง แม้ว่าการให้บริการของสถานีอนามัยจะใช้ไฟส่องสว่างเป็นสำคัญ  กลางวันสามารถให้บริการได้  แต่ปัญหาอยู่ที่ตู้เย็น  ในครั้งนี้ไฟฟ้าเริ่มดับในเวลา 2 ทุ่ม  ทำให้ห่วงโซ่ความเย็นในการรักษาความเย็นในการเก็บวัคซีนของตู้เย็นที่สถานีอนามัยนั้นไม่เย็นพอที่จะรักษาคุณภาพวัคซีนได้  จนทำให้วัคซีนทั้งหมดที่เก็บในตู้เย็นของสถานีอนามัยต้องทิ้งไปโดยเปล่าประโยชน์

          แต่กระนั้นความมืดมิดจากไฟฟ้าดับ 2 วันของจังหวัดนราธิวาสในครั้งนี้ กลับกลายเป็นบทเรียนอันมีค่ากับระบบสาธารณสุขไทย ต่อการเรียนรู้เพื่อรับมือกับสถานการณ์วิกฤติในอนาคต

หมายเหตุ : บทความชิ้นนี้คัดจาก ‘วารสารโรงพยาบาลชุมชน' ซึ่งจัดทำเป็นราย 2 เดือนโดย ชมรมแพทย์ ทันตะภูธร เภสัชชนบท พยาบาลชุมชน ฯลฯ (นพ.สุภัทร-บรรณาธิการ)