Skip to main content

ไชยยงค์ มณีพิลึก

       การยิงถล่มมัสยิดบ้านไอร์ปาแย ต.จวบ อ.เจาะไอร้อง จ.นราธิวาส ถ้าเป็นฝีมือของ “แนวร่วม”ขบวนการแบ่งแยกดินแดนบีอาร์เอ็นฯ จริง ตามคำกล่าวอ้างของ ทหาร ตำรวจ ถือว่าเป็นการลงทุนที่ “คุ้มค่า” ของขบวนการ เพราะหลังเกิดเหตุ จนถึง ณ วันนี้ นอกจากประชาชนส่วนใหญ่ ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ จะไม่มีใครเชื่อการให้ข่าวของ ทหาร ตำรวจ แล้ว ขบวนการฯ ยังสามารถทำให้สงครามความขัดแย้งที่เกิดขึ้น เดินทางจากจังหวัดชายแดนภาคใต้ไปสู่ประเทศที่ 3 เป็นที่เรียบร้อยแล้ว

      และในขณะเดียวกัน ถ้าการปฏิบัติการโหดครั้งนี้ เป็นฝีมือเจ้าหน้าที่ “บางคน บางกลุ่ม”  เป็นผู้ลงมือ ตามคำกล่าวอ้างของ คนในพื้นที่ ( บางคน) ที่อ้างว่าจำหน้ากลุ่มคนที่กราดยิงบางคนได้ ก็ถือว่าเป็นการกระทำที่สร้างความ “ขาดทุน” ครั้งยิ่งใหญ่ให้กับ กอ.รมน. ภาค 4 ส่วนหน้าอย่างย่อยยับ

       เพราะผลพวงที่เกิดขึ้นกับการปฏิบัติการโหดครั้งนี้ นอกจากสร้างความ “สูญเปล่า” ในการเพียรพยายามสร้างสันติสุขให้เกิดขึ้นกว่า 4 ปี ของ เจ้าหน้าที่รัฐแล้ว ยังเป็นการทำให้งบประมาณกว่า 100,000 ล้าน ที่ใช้ในการดับไฟใต้ มีค่าเท่ากับ 0 ในพริบตา

      ปฏิกิริยาจากประเทศมาเลเซีย ซึ่งเป็น”เพื่อนบ้าน” เมื่อวันศุกร์ที่ 12 ที่ผ่านมา ที่มีการละหมาดให้กับผู้เสียชีวิตในมัสยิดดังกล่าวทั่วประเทศ และการที่สมาชิกพรรคปาส ซึ่งเป็นพรรคฝ่ายค้านอนุรักษ์นิยมของประเทศมาเลเซีย รวมตัวกันหน้าสถานกงสุลไทยที่รัฐปีนัง พร้อมยื่นหนังสือจี้ให้รัฐบาลไทยรับผิดชอบในการหาหลักฐานและคนร้ายที่ ก่อเหตุฆ่าหมู่มาแสดงให้สังคมโลกรับรู้โดยเร็ว

       ไม่รวมความเคลื่อนไหวของ องค์กรมุสลิมโลก หรือ โอไอซี และองค์กรสิทธิมนุษยชน ที่เรียกร้องให้รัฐบาลไทย “สะสาง” เรื่องที่เกิดขึ้นโดยเร็ว “บริบท” แห่งความเคลื่อนไหวทั้งหมด คือ “บ่วง” ที่กำลังบีบรัด ให้รัฐบาล นายอภิสิทธิ์ เวชาชีวะ นายกรัฐมนตรี และ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ จะทำตัวแบบ ลอยตัว เหนือปัญหาที่เกิดขึ้น โดยโยนปัญหาทั้งหมดให้กับ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคงกับนายถาวร เสนเนียม รมช.มหาดไทย เจ้าของ รหัส มท. 3 ต่อไปอีกไม่ได้

       อีกทั้งจะบอกว่า การแก้ปัญหาความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้เป็นเรื่องของ พล.อ.ประวิตร วงศ์วุวรรณ รมว.กลาโหม และ พล.อ.อนุพงศ์ เผ่าจินดา ผบ.ทบ. และ ผอ.กอ.รมน. เพียงฝ่ายเดียวไม่ได้เช่นกัน เพราะเรื่อง การแบ่งแยกดินแดนจังหวัดชายแดนภาคใต้ ณ ขณะนี้ ต้องนำมาเป็น “วาระแห่งชาติ” ที่รัฐบาลจะต้องมีนโยบายทางการเมืองที่ชัดเจนในการแก้ปัญหา

       จะเห็นได้ว่าปฏิบัติการของขบวนการที่ต่อเนื่องจากการยิงครู ยิงถล่มมัสยิด  ยิงพ่อค้า ประชาชนในพื้นที่ และการยิงพระภิกษุ ต่อเนื่องด้วยระเบิดในวันที่ 13 มิ.ย.ในพื้นที่ 3 จังหวัด ในระหว่างที่นายสุเทพ  เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคงลงพื้นที่ เพื่อดูสถานการณ์ และประชุมหน่วยงานในพื้นที่เพื่อแก้ปัญหา เป็นคำตอบที่ชัดเจนว่าอย่างน้อย 2 คำตอบ

       ด้านหนึ่ง นโยบายในการดูแลรักษาความปลอดภัยในพื้นที่ ไม่ประสิทธิภาพ และอีกด้านหนึ่งคือกองกำลังของขบวนการแบ่งแยกดินแดนฯ ยังมีขีดความสามารถ ในการก่อการร้ายในทุกพื้นที่ได้ตามที่ต้องการ

       ที่ผ่านมา เหตุการณ์การก่อเหตุร้ายลดน้อยลงในห้วง 3 เดือนที่ผ่านมา แต่เจ้าหน้าที่ไม่สามารถควบคุมพื้นที่ได้มากขึ้นหรือแย่งชิงมวลชนอย่างได้ผล ตามที่ กอ.รมน.ทำการโฆษณาชวนเชื่อแต่อย่างใด แต่เป็นเพราะ ขบวนการรอจังหวะ รอให้มีเงื่อนไขในพื้นที่เพื่อลงมือด้วยความรุนแรงตามแผนการที่วางไว้

      ที่ผ่านมา แม้ทั้งรัฐบาล และ กอ.รมน จะพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า นโยบายในการ ดับไฟใต้ คือการเมืองนำทหาร แต่โดยข้อเท็จจริง วิธีการต่างๆ ที่แต่ละหน่วยงานนำมาใช้ ยังไม่เป็นไปในรูปแบบการเมืองนำทหาร ซึ่งต่อไปนี้ รัฐบาลจะต้องทำความเข้าใจกับทุกหน่วยงานว่า นโยบายการเมืองนำทหารนั้น ที่แท้จริงเป็นอย่างไร และเป็นไปตามที่ รัฐมนตรี นักการเมือง ขุนทหาร และ เสนาบดี กระทรวงต่างๆ เข้าใจหรือไม่

       ที่ผ่านมารัฐบาลมอบหมายให้นายถาวร เสนเนียม รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นผู้รับผิดชอบในการแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นในภาคใต้ แต่โดยข้อเท็จจริงนายถาวร มีหน้าที่กำกับดูแลงานของกรมที่ดิน เพียงกรมเดียว   แต่งานดับไฟใต้นั้น เป็นงานที่ เกี่ยวข้องกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กองทัพ กรมการปกครอง  กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น.ซึ่งทั้งหมดเป็นหัวใจสำคัญในการดับไฟใต้นั้น ปรากฏว่านายถาวร ไม่มีอำนาจในการสั่งการ หรือให้คุณให้โทษกับใครแต่อย่างใด เพราะ นายเชาวรัตน์ ชาญวีระกุล เจ้าของระหัว มท 1 ไม่ได้ให้อำนาจนายถาวรสั่งการ หรือกำลังดูแลงานเหล่านี้แต่อย่างใด
 
       ที่นายถาวร สามารถเข้ามาติดตามแก้ปัญหา เพื่อดับไฟใต้ได้นั้น เป็นเพราะได้รับมอบหมายจากนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง ให้กำกับดูแลศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้หรือ ศอ.บต.เท่านั้น

      และเป็น ศอ.บต.ที่ไม่มี พ.ร.บ.รองรับ เป็น ศอ.บต. ที่เป็นหน่วยงานหนึ่งที่ต้องขึ้นตรงกับ กอ.รมน. ภาค 4  ไม่มีความเป็นเอกเทศ ทั้งด้านนโยบายและ บประมาณ ดังนั้น สถานะของ ศอ.บต.กับสถานะของนายถาวร เสนเนียม จึงคล้ายกับยักษ์ซึ่งไม่มีกระบองนั่นเอง

      ดังนั้น ปัญหาที่เกิดขึ้นกับแผ่นดินปลายด้ามขวาน แม้จะผ่านมาถึง 5 ปี แต่เพราะรัฐบาล ไม่เคยมีนโยบายที่ชัดเจนในการแก้ปัญหาที่เป็น “วาระแห่งชาติ” โดยปล่อยให้ กองทัพบก ภายใต้ กอ.รมน. เป็นผู้กำหนดนโยบายเป็นด้านหลัก  ซึ่งมีการมองปัญหาไม่ครบมิติ เอางบประมาณเป็นที่ตั้งในการแก้ปัญหา      ใช้เงินงบประมาณในการซื้อ “น้ำ” ในการดับไฟเพียงอย่างเดียว โดยที่ “ละเลย” การใช้วิธีการดับไฟโดย “ชักฟืนออกจากเตา”  จึงเหมือนกับว่า ไม่ได้แก้ปัญหาที่ “รากเหง้า” ของปัญหา เพราะ “ฟืน” ในเตา ยังพร้อมที่จะเป็น “เชื้อไฟ” เมื่อได้รับการกระพือลมหรือมีคนจุดขึ้นใหม่
  
       วันนี้ สถานการณ์ “ไฟใต้” เดินข้ามชายแดนไทยออกไปสู่ต่างประเทศ และถูกผลักดันสู่ “เวทีโลก”  ที่อาจจะสร้างความยุ่งยากในการแก้ปัญหา และอาจจะเป็นชนวนให้เกิดความเปลี่ยนแปลงในดินแดนด้ามขวาน ทั้งหมดที่เกิดขึ้น

       รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ และพรรคประชาธิปัตย์  จะต้องเลิกเกรงใจผู้นำกองทัพ เลิกการต่างตอบแทนที่ผู้นำกองทัพทำให้เป็นนายกรัฐมนตรี พรรคประชาธิปัตย์มีนโยบายในการแก้ปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ว่า ต้องใช้ ศอ.บต.เป็น เครื่องมือ ต้องปรับเปลี่ยนนโยบายทางการทหาร แต่ ณ วันนี้ 5 เดือนผ่านไป พรรคประชาธิปัตย์ ยังไม่ได้ใช้นโยบายของตนเองมาเพื่อแก้ปัญหาแต่อย่างใด

      ดังนั้นพรรคประชาธิปัตย์ และคนของพรรค อย่างได้ “ผลักไส” ความรับผิดชอบไปถึง “นายแม้ว”หรือ “นายแมว” ที่ไหน เป็นอันขาด เพราะความผิดพลาดทั้งหมดที่เกิดขึ้น รวมทั้งหากปัญหาสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ ถูก “ลาก” สู่เวทีโลก ผู้ที่ต้องรับผิดชอบ คือนายอภิสิทธิ์ เวชาชีวะ นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ นั่นเอง