Skip to main content

 

 
 
อิสลาม คือ ศาสนาของอัลลอฮฺ (ซ.บ.) ที่อยู่บนพื้นฐานของความรู้และทางนำจากพระองค์ บทปฐมโองการของอัลกุรอานซึ่งมีจำนวน  5 โองการ ที่อัลลอฮฺทรงประทานแก่นบีมูฮัมมัด (ศ.ล.) เริ่มต้นด้วยประโยคว่า   اقْرَأْبِاسْمِرَبِّكَالذِيْخَلَقَ..(จงอ่านด้วยพระนามของพระผู้อภิบาลของเจ้าผู้ทรงสร้าง)โดยมีการทวนซ้ำคำว่า “اقْرَأْ” (จงอ่าน) จำนวน  2  ครั้ง และมีการทวนซ้ำคำว่าعَلَّمَ (สอน/ให้ความรู้) จำนวน  2  ครั้งเช่นเดียวกัน นอกจากนี้ยังมีคำว่า الْقَلَم  (ปากกา) ปรากฏในบทปฐมโองการดังกล่าวด้วย  และคล้อยหลังจากนั้นไม่นาน  อัลลอฮฺ (ซ.บ.) ทรงประทานโองการว่า نوَالْقَلَمِوَمَايَسْطُرُونَ  (นูน ขอสาบานด้วยปากกาและสิ่งที่พวกเจ้าขีดเขียน) อันแสดงถึงการให้ความสำคัญของอิสลามต่อความรู้และกระบวนการเรียนรู้เป็นอย่างยิ่ง
 
             ทั้งนี้เพราะการอ่าน การสอนและการเขียนบันทึกไม่เพียงเป็นปมเงื่อนที่สำคัญยิ่งต่อกระบวนการเรียนรู้ของมนุษยชาติเท่านั้น หากเป็นบ่อเกิดแห่งความเข้าใจอันนำมาซึ่งปัญญาที่แท้จริงอีกด้วย มนุษย์ในทุกยุคทุกสมัยจำเป็นต้องอาศัยการอ่าน การสอนและการเขียนบันทึกในการรวบรวมและถ่ายถอดความรู้โดยที่ทั้ง 2 กระบวนการเรียนรู้ดังกล่าวได้มีการวิวัฒนาการตามยุคสมัยจนกระทั่งมีความเจริญสูงสุดในยุคปัจจุบัน
 
ปฐมโองการดังกล่าวยังมีนัยที่ลึกซึ้งที่ครอบคลุมทุกรูปแบบของการอ่าน ทั้งที่เป็นลายลักษณ์และปรากฎการณ์ ทุกคนจำเป็นต้องอ่านสิ่งรอบข้างที่อยู่รอบตัวเขาทั้งที่อยู่บนแผ่นดิน ฟากฟ้า และอวกาศ อ่านทุกสรรพสิ่งทั้งที่มีชีวิตและไม่มีชีวิต บนบกหรือในมหาสมุทร อ่านเหตุการณ์ของมนุษยชาติทั้งที่เป็นอดีต ปัจจุบัน และอนาคต โดยมีรูปแบบและวิธีการคือ อ่านด้วยพระนามของอัลลอฮฺพระผู้ทรงสร้าง มิใช่เป็นการอ่านที่ทนงตนและหลงลืมพระเจ้าที่แท้จริง เพราะการอ่านในลักษณะเช่นนี้ มิเพียงเป็นบ่อเกิดแห่งความวุ่นวายในสังคมโลกเท่านั้น หากยังเป็นสาเหตุของความพิโรธของอัลลอฮฺที่จะนำไปสู่ความวิบัตอันนิรันดร์ในวันปรโลกอีกด้วย
 
                ความเข้าใจที่เป็นบ่อเกิดแห่งปัญญาและนำไปสู่การปฏิบัติความดีงาม จึงเป็นเป้าหมายสูงสุดในอิสลามและเป็นพรอันประเสริฐของอัลลอฮฺ (ซ.บ.) ที่ทรงประทานให้แก่บ่าวของพระองค์  นบีมูฮัมมัด (ศ.ล.) กล่าวไว้ความว่า “ ใครก็ตามที่อัลลอฮฺประสงค์ให้ความดีแก่เขา อัลลอฮฺทรงให้เขาเข้าใจในกิจการศาสนา” (รายงานโดย บุคอรีย์/71และมุสลิม/1037) ศาสนาในที่นี้ก็คืออิสลาม อันหมายถึงวิถีชีวิตของมนุษย์ที่ครอบคลุมและครบวงจร
    
 
               บนหลักการดังกล่าว อิสลามจึงไม่อนุญาตให้มุสลิมเป็นผู้ที่ไม่รู้ (ญาฮิล) หรือประกอบศาสนกิจใดๆในสภาพที่ตนเองไม่เข้าใจและไม่รู้เรื่องต่อศาสนกิจนั้นๆโดยเด็ดขาด  เพราะถึงแม้ยังไม่สามารถยกระดับขึ้นเทียบฐานะของผู้รู้ (อาลิม) แต่มุสลิมยังสามารถจัดอยู่ในกลุ่มของปุถุชน (อะวาม) โดยการอนุโลม แต่ เขาไม่ได้รับการอนุญาตให้ลดฐานะถึงระดับผู้ไม่รู้ (ญาฮิล) โดยเด็ดขาด อิสลามถือว่าการปฏิบัติความดีงามในสภาพที่ไม่รู้เป็นโมฆะและไม่มีคุณค่าใดๆ ในทัศนะของอัลลอฮฺ
 
              อัลลอฮฺได้ประทานอิสลามเพื่อเป็นวิถีชีวิตแก่มนุษยชาติตั้งแต่มนุษย์คนแรกที่เกิดมาบนโลกนี้ในฐานะศาสนทูต คือ อาดัม หลังจากนั้นอิสลามได้รับการสืบทอดอย่างต่อเนื่องจากบรรดาศาสนทูต เริ่มตั้งแต่ นบีนูหฺจนกระทั่ง นบีอิบรอฮีม นบีมูซา นบีอีซาและนบีท่านอื่นๆตามยุคสมัย (ขออัลลอฮฺทรงประทานความสันติสุขแก่บรรดานบีเหล่านั้น) โดยที่การสืบทอดในลักษณะเช่นนี้ ได้สิ้นสุดลงที่นบีมูฮัมมัด (ศ.ล.) ผู้เป็นนบีคนสุดท้ายผ่านการประทานอัลกุรอานซึ่งเป็นคัมภีร์เล่มสุดท้ายเช่น เดียวกัน เพื่อเป็นทางนำสำหรับมนุษยชาติในการดำเนินชีวิตที่ประสบความสำเร็จทั้งในโลก นี้และโลกอาคิเราะฮฺ(ปรโลก)
 
             ในฐานะนบีคนสุดท้าย นบีมูฮัมมัด (ศ.ล.) ได้ประกาศและเผยแพร่ความรู้ตลอดจนถ่ายทอดวิทยาการแก่มนุษยชาติอย่างครบถ้วนสมบูรณ์ ไม่มีสิ่งใดที่ยังประโยชน์แก่ชีวิตมนุษย์ทั้งโลกนี้และโลกอาคิเราะฮฺเว้นแต่นบีมูฮัมมัดมูฮำมัด (ศ.ล.) ได้ส่งเสริมสนับสนุนพร้อมสั่งใช้ให้กระทำ และไม่มีสิ่งใดที่ก่ออันตรายแก่ชีวิตมนุษย์ทั้งโลกนี้และโลกอาคิเราะฮฺเว้นแต่ท่านได้กล่าวตักเตือนพร้อมสั่งห้ามปฏิบัติ
 
             หน้าที่หลักของมนุษย์ในทุกยุคทุกสมัยก็คือการค้นหาสัจธรรมและรวบรวมวิทยาการที่นบีมูฮัมมัดมูฮำมัด(ศ.ล.) ได้ฝากสอนไว้ พร้อมประยุกต์ใช้ในชีวิตจริงให้สอดคล้องกับเจตนารมณ์แห่งอิสลามอันแท้จริง และผู้ที่ได้รับมอบหมายให้เผยแพร่สัจธรรมดังกล่าวหลังจากการเสียชีวิตของนบีมูฮัมมัดมูฮำมัด (ศ.ล.) ก็คือบรรดาอุละมาอฺ(ผู้รู้)ซึ่งได้รับการยกย่องว่าเป็นทายาทของบรรดาศาสนทูต ดังปรากฏในหะดีษที่นบีมูฮัมมัด (ศ.ล.) กล่าวไว้ความว่า “แท้จริงบรรดาอุละมาอฺ (ผู้รู้ในศาสนา) คือ ทายาทผู้สืบทอดมรดกจากเหล่าศาสนทูต” (รายงานโดยอาหมัด 5/196)
 
             ท่ามกลางความสับสนอลหม่านและไฟฟิตนะฮฺ (การทดสอบจากอัลลอฮฺ(ซ.บ.)) ที่กำลังลุกโชนและเผาไหม้สรรพสิ่งทั่วทุกอณูพื้นที่ในสังคมยุคโลกาภิวัตน์ มนุษยชาติทุกหมู่เหล่า มี ความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องศึกษาและทำความเข้าใจอิสลามอย่างลึกซึ้งในฐานะ ที่เป็นศาสนาของอัลลอฮฺผู้สร้างโลกและมนุษย์รวมทั้งทุกสรรพสิ่งที่ได้รับการ ตอบรับจากประชาชาติทั่วทุกมุมโลก โดยไม่มีเส้นแบ่งความแตกต่างด้านภาษา สีผิว และชาติพันธุ์ และนับเป็นปรากฏการณ์อันน่าอัศจรรย์ยิ่งกับสัจธรรมที่ว่าหลังจากการเผยแผ่อิสลามนานนับกว่า 14 ศตวรรษ ชนที่ไม่ใช่ชาวอาหรับกลับตอบรับเข้าสู่ทางนำอิสลามมากกว่าชาวอาหรับซึ่งเป็นต้นตำรับดั้งเดิมของศาสนานี้ด้วยซ้ำไป หากศึกษาอย่างวิเคราะห์เจาะลึกเข้าไปอีก จะพบว่า ผู้คนที่สร้างคุณูปการต่อศาสนานี้ในอดีตมีจำนวนไม่น้อยที่ไม่ใช่ชาวอาหรับ บรรดานักวิชาการเหล่านั้นได้ทุ่มเทความพยายามด้วยการผลิตผลงานทางวิชาการและแต่งตำราต่างๆที่เกี่ยวข้องกับศาสตร์อิสลามมากมาย เป็นไปได้หรือไม่ที่ศาสนานี้เผยแผ่ด้วยคมดาบ และคมดาบมีพลานุภาพอันมหาศาลในการบังคับจิตใจและความรู้สึกของผู้คนให้มีการสืบทอดจากอนุชนแล้วอนุชนเล่าถึงระดับนี้เชียวหรือ
 
             มนุษย์ทุกหมู่เหล่ามีความจำเป็นศึกษาอิสลามจากแหล่งองค์ความรู้ที่มีความยุติธรรมและปราศจากอคติ  หาไม่แล้วก็จะเป็นชนวนแห่งความขัดแย้งที่อาจนำไปสู่ความรุนแรงอย่างไม่มีวันจบสิ้น ดังกรณีที่ พระเจ้าสันตะปาปาองค์ที่ 16 ที่ได้เทศนาธรรมที่มหาวิทยาลัยรีเจนสเบอร์ก ประเทศเยอรมัน เมื่อวันที่ 12  กันยายน  2006  ซึ่งมีเนื้อหาบางตอนที่จงใจใส่ร้ายความบริสุทธ์ของอิสลาม อันเป็นภาพสะท้อนของความไม่รู้ หรือ ความอคติที่ฝังลึกต่ออิสลามที่มีการเปิดเผยโดยผู้นำสูงสุดของคริสตศาสนา นิกายคาทอลิกที่ปฎิปักษ์ต่ออิสลามอย่างซ้ำแล้วซ้ำเล่ามาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน
 
              ในฐานะมุสลิม เราจึงมีความจำเป็นกล่าวแก่บรรดาผู้ได้รับคัมภีร์ทั้งหลายด้วยคำกล่าวของอัลลอฮฺที่ได้กล่าวแก่บรรดาผู้ได้รับคัมภีร์ในอัลกุรอาน  ความว่า “โอ้บรรดาผู้ได้รับคัมภีร์ทั้งหลาย เพราะเหตุใดเล่าพวกเจ้าจึงบิดเบือนความจริงด้วยสิ่งเท็จ (ที่นักปราชญ์ของพวกเขาได้กุขึ้น) และปกปิดความจริงไว้  ทั้งๆที่พวกเจ้าก็รู้ดีอยู่”  (3 : 71)
 
              หากมนุษยชาติทั่วไปจำเป็นต้องศึกษาและเรียนรู้อิสลามอย่างเข้าถึงแล้ว มุสลิมยิ่งมีความจำเป็นต้องศึกษาและเข้าใจอิสลามอย่างถึงแก่นอีกหลายเท่าตัว มุสลิม ปัจจุบันจำเป็นต้องศึกษาวิธีการนำเสนอและการเผยแผ่อิสลามของเหล่าบรรพชนที่ สามารถโน้มน้าวและเชิญชวนจิตใจผู้คนให้สนใจอิสลามด้วยวิธีการที่เปี่ยมด้วย คุณธรรมและจริยธรรมอันสูงส่ง  พวกเขาได้ทำให้ธงอิสลามสะบัดพลิ้วด้วยความช่วยเหลือและทางนำของอัลลอฮฺ เพราะชัยชนะที่มั่นคงและยั่งยืนนั้นคือชัยชนะของวัฒนธรรมและอารยธรรมที่ถูกหลอมรวมเป็นวิถีชีวิตอันประเสริฐกว่า โดยที่บางครั้งผู้แพ้ยอมศิโรราบด้วยความสมัครใจ และยินยอมให้อารยธรรมของตนเองถูกกลืนโดยดุษฎีด้วยซ้ำไป แต่หากเป็นชัยชนะที่ตัดสินโดยอาศัยกองกำลังที่เหนือกว่า หรือชัยชนะบนคราบน้ำตา หยาดเลือด และชีวิตของเพื่อนมนุษย์ด้วยกันแล้ว จะไม่เป็นเพียงชัยชนะที่มีฐานอันเปราะบางเท่านั้น หากเป็นการบ่มเพาะความเกลียดชังและสะสมความแตกแยก ตลอดจนสร้างความร้าวฉานในสังคมอย่างไม่รู้จักจบสิ้น
 
              หากศึกษาประวัติศาสตร์การล่าอาณานิคมของประเทศมหาอำนาจในอดีตจะพบว่า ถึงแม้ประชาชนส่วนใหญ่ในประเทศที่ถูกยึดครองจะเปลี่ยนศาสนาตามประเทศมหาอำนาจแล้วก็ตาม แต่ชนพื้นเมืองเหล่านั้นก็ยังดิ้นรนต่อสู้เพื่อให้ได้มาซึ่งอิสรภาพ ถึงแม้ต้องแลกด้วยชีวิตและใช้เวลานานนับศตวรรษก็ตาม แต่ไม่ปรากฏว่าประชาชนในประเทศต่างๆที่หันเข้ารับอิสลามต้องลุกขึ้นต่อสู้เรียกร้องอิสรภาพจากประเทศมุสลิมเลย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หากศึกษาประวัติศาสตร์การเผยแผ่อิสลามในอุษาคเนย์ จะพบว่าประชาชนแถบนี้พร้อมใจกันเข้ารับอิสลามโดยปราศจากการหลั่งเลือดแม้เพียงหยดเดียว ไม่ ปรากฏในประวัติศาสตร์การแผ่ขยายของอิสลามในดินแดนแถบนี้ที่บันทึกว่าบรรพชน มุสลิมได้บีบบังคับชาวพื้นเมืองให้เข้ารับอิสลามด้วยคมดาบหรือแม้กระทั่งใช้ วิธีการหว่านล้อมด้วยเม็ดเงินจำนวนมหาศาลเพื่อสร้างแรงจูงใจผู้คนให้เข้ารับ อิสลาม พวก เขายินยอมประกาศรับทางนำแห่งอิสลามด้วยหัวใจที่อิ่มเอมกับรสสัจธรรมและปก ป้องพิทักษ์อิสลามจวบถึงปัจจุบันจนกระทั่งวันกิยามะฮฺ(วันสิ้นโลก) ด้วยความประสงค์ของอัลลอฮฺ เพราะอิสลามได้วางกติกาอย่างชัดเจนเกี่ยวกับเสรีภาพในการนับถือศาสนามาตั้งแต่ 1,400 ปีกว่าแล้วด้วยหลักการของอัลกุรอานที่กล่าวไว้ ความว่า “ไม่มีการบังคับใดๆ (ให้นับถือ) ในศาสนาอิสลาม” (1: 256) 
 
             มุสลิมทุกคนพึงทราบว่า การนำเสนออิสลามโดยใช้วิธีการที่ไม่ค่อยถูกต้องนั้น แทนที่จะเกิดผลดีต่ออิสลามทั้งระยะสั้นและระยะยาว กลับกลายเป็นการสร้างรอยด่างและฝากมลทินให้กับศาสนานี้โดยไม่รู้ตัวก็เป็นได้ อิสลามซึ่งเป็นศาสนาแห่งสันติภาพ ถูกตีตราเป็นสัญลักษณ์แห่งความรุนแรง ป่าเถื่อน ยิ่งหากมีการใส่สีตีไข่และหลอกหลอนด้วยมายาคติจากกลุ่มมิจฉาชนที่ไม่หวังดีต่ออิสลามและมุสลิมแล้ว อิสลามจึงกลายเป็นคำสอนแห่งความหวาดกลัวอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ - ขออัลลอฮฺทรงคุ้มครอง-  ด้วยเหตุดังกล่าว อิสลามจึงปฏิเสธทฤษฎีของแม็กคิววิลลี่ที่ยุยงให้ผู้คนใช้วิธีการอะไรก็ได้เพียงเพื่อบรรลุเป้าประสงค์ที่วางไว้ แต่อิสลามมีคำสอนที่ให้มุสลิมยึดมั่นในระบบคุณธรรมด้วยหลักการที่ว่า
 
              “การมีวัตถุประสงค์ที่ดีไม่สามารถทำให้วิธีการที่นำสู่วัตถุประสงค์ดังกล่าว กลายเป็นสิ่งดีไปด้วย”
 
             “การมีเจตนาที่ดี จะไม่สามารถทำให้สิ่งต้องห้าม (สิ่งหะรอม) กลายเป็นดีได้”
 
                 อิสลามจึงให้ความสำคัญกับแนวทางและวิธีการมากกว่าที่จะกำชับให้มุสลิมมุ่งแต่เพียงบรรลุถึงเป้าหมาย เพราะการบรรลุถึงเป้าหมายเป็นเรื่องอนาคตที่อัลลอฮฺเป็นผู้กำหนด ในขณะที่แนวทางหรือวิธีการเป็นสิ่งปัจจุบันที่มุสลิมต้องปฏิบัติให้เป็นไปตามเจตนารมณ์อันแท้จริงของอิสลาม คำถามที่ทุกคนจะต้องให้คำตอบในวันกิยามะฮฺก็คือคุณปฏิบัติตนที่สอดคล้องกับคำสอนของอิสลามมากน้อยเพียงใด อัลลอฮฺ (ซ.บ.)จะไม่ถามว่าคุณปฏิบัติหน้าที่อย่างประสบผลสำเร็จมากน้อยแค่ไหน เพราะ ดรรชนีชี้วัดความสำเร็จที่แท้จริงของมุสลิมก็คือความสำเร็จในการปฏิบัติตน และประยุกต์ใช้คำสอนให้สอดคล้องกับหลักการของอิสลามมากน้อยเพียงใดต่างหาก
 
              อัล กุรอานยังได้กำชับให้มุสลิมธำรงไว้ซึ่งความยุติธรรมแม้กระทั่งต่อฝ่ายตรงกัน ข้ามและแม้กระทั่งในบรรยากาศที่อบอวลด้วยอารมณ์แห่งความเคียดแค้น ดังปรากฏในอัลกุรอานความว่า “อย่าให้เพราะความเคียดแค้นของพวกท่านที่มีต่อชนกลุ่มหนึ่ง เป็นตัวชักนำให้พวกท่านปฏิบัติการที่ไม่เป็นธรรม จงดำรงไว้ซึ่งความยุติธรรมเถิด เพราะแท้จริงมันทำให้ใกล้สู่ความยำเกรงอัลลอฮฺ (ตักวา)” (5:8)
 
             เนื่องจากความยำเกรงอัลลอฮฺ คือกุญแจแห่งความสำเร็จทั้งโลกนี้และโลกหน้าโดยเฉพาะอย่างยิ่งถือเป็นเงื่อนไขสำคัญสำหรับการดำรงไว้ซึ่งความยุติธรรม ดังนั้นอัลลอฮฺ (ซ.บ.) จึงกำชับให้บรรดาศรัทธาชนยำเกรงต่อพระองค์ในทุกสภาวการณ์และสถานที่ คำสอนดังกล่าวได้รับการปฏิบัติโดยสมบูรณ์แบบจากนบีมูฮัมมัด (ศ.ล.) และบรรดาเศาะฮาบะฮฺตลอดจนผู้ทรงคุณธรรมด้วยดีตลอดมาตามที่ได้ปรากฏในประวัติศาสตร์อารยธรรมอิสลาม และด้วยสาเหตุที่มุสลิมประยุกต์ใช้หลักคำสอนดังกล่าวสู่ภาคปฏิบัติอย่างสมบูรณ์ เปี่ยมด้วยคุณธรรมและจริยธรรมอันสูงส่ง อิสลามจึงเป็นศาสนาที่ได้รับการยอมรับและเลื่อมใสศรัทธาจากประชาคมโลกมากที่สุดตั้งแต่อดีตจวบจนปัจจุบัน
 
              มุสลิมมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องได้รับการชี้นำจากบรรดาอุละมาอฺ (ผู้รู้) ผู้ทรงคุณธรรม ที่มีบทบาทเป็นผู้สืบทอดมรดกจากเหล่าศาสนทูต พวกเขาจะชี้แจงข้อสงสัย อธิบายสิ่งคลุมเครือ ตอบโต้ความมดเท็จ ให้ คำชี้ขาดข้อขัดแย้งและวินิจฉัยประเด็นต่างๆที่เป็นความต้องการของประชาสังคม ที่สอดคล้องกับเจตนารมณ์ของอัลกุรอานและจริยวัตรนบีมูฮัมมัดมูฮัมมัด(ศ.ล.)  (ซุนนะฮฺ) อันแท้จริง
 
             จึงใคร่เชิญชวนทุกฝ่ายโดยเฉพาะอย่างยิ่งพี่น้องมุสลิม ศึกษา ทำความเข้าใจอิสลามจากบรรดาอุละมาอฺที่ได้รับความเชื่อถือและเป็นที่ยอมรับ ในวงวิชาการและจงห่างไกลจากการรับความรู้จากแหล่งที่ไม่ถูกต้องหรือบุคคลที่ ไม่เป็นที่ยอมรับและไม่เป็นที่รู้จักในวงวิชาการ นอกจากนี้ เรายังมีความจำเป็น เรียน รู้วิธีการร่วมใช้ชีวิตบนโลกนี้ในสังคมพหุวัฒนธรรมที่สอดคล้องกับเจตนารมณ์ อันแท้จริงของอิสลามที่มุ่งมั่นสรรค์สร้างสังคมสันติภาพสมานฉันท์และสันติ สุขอันยั่งยืน.

บทความนี้คัดจากหนังสือ อิสลามวิถีแห่งชีวิต บรรณาธิการโดย อ.มัสลัน มาหะมะ มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา