Skip to main content
ตูแวดานียา ตูแวแมแง
ผู้บริหาร สำนักปาตานีรายาเพื่อสันติภาพและการพัฒนา (LEMPAR)
 

หลังจากแถลงการณ์ของ BRN ฉบับล่าสุดเมื่อวันที่ 1 ธันวาคม 2556 ทำให้รู้ว่า BRN มีจุดยืนชัดว่าต้องการเอกราช แต่ที่ไปเกี่ยวข้องกับการเจรจาอาจจะเพราะว่ายังไม่อยากแตกหักกับมาเลเซียและยังไม่อยากแตกหักกับพวกกันเองที่อยู่ปีกต่างประเทศบางคนที่อยากได้ “ออโตโนมี” ก่อน และไม่อยากให้สากลเข้าใจว่า BRN ไม่เห็นด้วยกับสันติภาพก็เลยเสนอเงื่อนไขข้อเรียกร้องเพื่อใช้โอกาสนี้อธิบายถึงนิยามสันติภาพของตนนั้นเป็นอย่างไรหรือไม่

คือภาวะปัจจุบันเจตจำนงของประชาชนยังไม่ได้ออกมาอย่างชัดเจนว่าสันติภาพที่ประชาชนชาวปาตานีต้องการ คือ “เอกราช” หรือไม่ ทำให้ท่าทีของเจตจำนงทางการเมืองของ BRN ที่คาบเกี่ยวกับการเจรจาต้องแสดงจุดยืนแบบแบ่งรับแบ่งสู้ค่อยๆยกระดับจากคำว่า “สิทธิความเป็นเจ้าของ” มาเป็น คำว่า “เอกราช”
 
ในมุมของBRNนั้นการเจรจาเป็นการยกระดับสู่สากลก็จริง แต่ที่เสียมากกว่า คือ เป็นการปิดโอกาสการจะได้เอกราชด้วย เพราะผลลัพธ์ของการเจรจา คือ Win-win
 
ขั้นสูงสุดของ Win-win ก็คือ “ออโตโนโมี” ถ้าได้ออโตโนมีแล้ว แต่ยังไม่พอใจ ยังจะสู้อีกเพื่อให้ได้เอกราช ถึงเวลานั้น การต่อสู้ก็จะไม่ชอบธรรม หนำซ้ำเป็นการแสดงถึงความไม่เป็นอารยะไม่มีสัจจะในสายตาสากล กลายเป็นการเปิดศึกกับสากลโดยปริยายและรัฐไทยจะทำการปราบปรามอย่างเข้มข้น โดยมีรัฐบาลออโตโนมีแห่งชาติปาตานีเป็นหัวหอกก็ชอบธรรมแล้วทีนี้
 
สรุปก็คือถ้าต้องการให้โต๊ะเจรจาเป็นคำตอบของโจทย์การต่อสู้อันมีรากเหง้าปัญหามาจากความขัดแย้งทางอุดมการณ์ทางการเมืองแบบชาตินิยมเพื่อการล่าอาณานิคมกับอุดมการณ์ชาตินิยมแบบการต่อต้านการล่าอาณานิคม BRN และชาวปาตานีจะต้องล้มเลิกความคิดและความหวังที่อยากจะได้เอกราชให้ได้  เพราะไม่มีโต๊ะเจรจาใดในโลกนี้ที่มีผลลัพธ์ออกมาเป็นการได้เอกราชให้กับฝ่ายชนชาติที่ต่อสู้เพื่อเอกราช
 
ตัวแปรสำคัญที่จะพอทำให้คาดการณ์อนาคตของผลลัพธ์การต่อสู้เพื่อเอกราชของชนชาติที่ถูกล่าอาณานิคมและมีสิทธิความเป็นเจ้าของดินแดนอย่างแท้จริงในศตวรรษที่ 21 นั้นว่า จะประสบความสำเร็จได้ หรือไม่อย่างไร และต้องใช้เวลานานแค่ไหน ขึ้นอยู่กับสถานะทางการเมืองของชนชาติดังกล่าวจะมีความชอบธรรมกับเจตนารมณ์ของหลักกฎหมายสากลซึ่งอิงกับหลักการประชาธิปไตยและหลักสิทธิมนุยษชนขั้นพื้นฐาน
 
กล่าวเป็นรูปธรรม คือ ต้องมาจากเจตจำนงที่เป็นวาระแห่งชนชาติที่ถูกล่าอาณานิคมซึ่งแสดงออกผ่านแนวทางประชาธิปไตยนั่น ก็คือ การทำประชามติด้วยโจทย์คำถามว่า "ต้องการเอกราชหรือไม่ ?" และต้องได้รับการสนับสนุนจากกลไกการเมืองระหว่างประเทศบนพื้นฐานของหลักการสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐานซึ่งสอดคล้องกับหลักการกำหนดชะตากรรมตนเองของประชาชน (Right to Self Determination)
 
ในข้อตกลงของสหประชาชาติ (UN) ตามมติของสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติที่ 1514 (XV) ลงวันที่ 14 ธันวาคม 1960 เรื่อง “การให้เอกราชแก่ดินแดนอาณานิคม” (Declaration on the Granting of Independence to Colonial Countries and Peoples)
 
นั่นคือ แนวทางที่เป็นรูปธรรมสำหรับการต่อสู้เพื่อเอกราชในศตวรรษที่ 21 ซึ่งคาบเกี่ยวกับพันธกิจของบทบาททางการเมืองแบบสงครามประชาชนและการเมืองแบบความสัมพันธ์ระหว่างชาติและระหว่างประเทศ ถ้าสองพันธกิจหลักดังกล่าวนี้สัมฤทธิ์ผลเมื่อใด อันเนื่องมาจากปัจจัยภายในของชนชาติที่ถูกล่าอาณานิคมเองเดินยุทธศาสตร์การต่อสู้ได้ถูกต้องอย่างจริงจังและเป็นเอกภาพและมาจากปัจจัยภายนอกที่ศูนย์กลางอำนาจของนักล่าอาณานิคมเองอ่อนแอและกลไกการเมืองระหว่างประเทศมีท่าทีสอดรับกับวาระทางการเมืองของชนชาติที่ถูกล่าอาณานิคม เมื่อนั้นก็จะสามารถคำนวณออกมาเป็นตัวเลขทางคณิตศาสตร์การเมืองได้ว่า “เอกราชปาตานีจะใช้เวลานานแค่ไหนหรือไม่”