Skip to main content

หลังจากที่ได้ยินอ่านและบทความของตูแวดานียา ตูแวแมแง นักเคลื่อนไหวในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้จากเว็บไซต์ใน Deepsouthwatch นี้แล้วทางกลุ่มด้วยใจจึงสนใจในประเด็นที่เกิดขึ้นและได้ไปเยี่ยมชาวบ้านที่บ้านตันหยงเปาว์เมื่อวันที่ 24 มกราคม 2557 หลังจากที่เคยนั่งรถไปชมบ้านเรือนชาวประมงที่นั่นเมื่อต้นเดือนมกราคมที่ผ่านมาก็ไม่คิดว่าจะได้มาเยือนอีกครั้งในเวลาไม่นานนัก

ทางเข้าหมู่บ้านเป็นเส้นทางที่สะดวกและสวยงามทีเดียวเพราะผ่านป่าชายเลน ตลอดแนว ก่อนถึงหมู่บ้านจะต้องข้ามสะพาน เราจะเห็นบ้านของชาวประมงตลอดริมน้ำ หลังจากนั้นเราจึงเข้าไปสอบถามชาวบ้านถึงบ้านที่เกิดเหตุ เมื่อชาวบ้านทราบว่าเราต้องการมาพบและมาคุยกับชาวบ้านถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 19 มกราคม 2557 เวลา 23.00 น ชาวบ้านจึงเดินเข้ามาหาเราและต่างก็รีบเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นให้ฟัง และบอกให้เราไปที่ร้านน้ำชาที่เกิดเหตุซึ่งอยู่ถัดไปจากร้านก๋วยเตี๋ยวไม่ไกลนัก


เสียงจากชาวบ้าน

เมื่อไปถึงเจ้าของร้านก็ได้เล่าให้เราฟังถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้น พร้อมกับความกังวลว่าการเปิดเผยเรื่องราวจะส่งผลร้ายต่อชุมชนของเขาอีกหรือไม่ แต่เขาก็ไม่อยากให้เกิดเรื่องราวแบบนี้อีกต่อไป จึงยอมเล่าให้เราฟังว่า เมื่อวันอาทิตย์ที่ 19 มกราคม 2557 เวลา 17.00 น. ได้มีการปิดไฟตามเส้นทางตั้งแต่ที่สะพานทางเข้าหมู่บ้านจนถึงมัสยิด ชาวบ้านแปลกใจว่าทำไมจึงปิดเฉพาะไฟทาง และเฉพาะจุด แต่ก็ไม่ได้สงสัยอะไรมากนัก

จนเมื่อเวลาประมาณ 23.00 น ก็เห็นเจ้าหน้าที่ทหารและเจ้าหน้าที่ตำรวจแต่งกายชุดสีดำ และใส่หมวกปิดหน้าเห็นแต่ตา บางคนก็ไม่ได้ใส่หมวกปิดหน้า และยังเห็นจำนวนรถของเจ้าหน้าที่ประมาณ 8 คัน รถ จอดกระจายทั่วบริเวณ แยกกันหลายจุดเป็นรถกระบะสีขาว 1 คัน รถเก่งสีขาว 1 คัน ชาวบ้านได้ยินเสียงปืน และเสียงกราดยิง หลังจากนั้นเห็น เจ้าหน้าที่พาตัว ‘มีดี’ สังเกตเห็นว่าที่หน้า ‘มีดี’ มีบาดแผล เลือดไหลที่บริเวณใบหน้า ชาวบ้านไม่สามารถเข้ามาคุยกับ‘มีดี’ ได้เพราะมีจนท.ทหารล้อมอยู่

แต่ชาวบ้านและครอบครัวของ‘มีดี’ บอกว่า บาดแผลที่เกิดขึ้นมาจากการวิ่งหนีและล้ม แต่มีบางแผลที่ชาวบ้านสงสัยว่าน่าจะถูกทำร้ายร่างกาย เพราะมีรอยแผลที่ฝ่ามือและฝ่ามือของ‘มีดี’ เมื่อสอบถามกับผู้ใหญ่บ้าน ก็ไม่ได้รับคำตอบ

ในบริเวณหมู่บ้านมีรอยกระสุนหลายจุด ทำให้เกิดทรัพย์สินเสียหาย คือ รถกระบะ 1 คัน เป็นของเจ้าของขายปลาที่ตลาดนัด รถคันดังกล่าวจอดที่นั้นประจำเมื่อกลับจากขายตลาดนัด และจะคลุมด้วยผ้ายางสีดำตลอดเวลา คืนที่เกิดเหตุมีลมแรง ทำให้ผ้าคลุมรถสะบัดไปมา เจ้าหน้าทหารคงคิดว่ามีคนร้ายซ่อนอยู่ด้านหลังรถดังกล่าว จึงยิงไปที่รถ 2 นัด บริเวณเบาะที่นั่งคนขับระดับอกของคนขับและที่ประตูรถฝั่งคนขับ บ้านที่อยู่บริเวณใกล้รถโดนที่รั้วบ้านและประตูบ้าน ข้างบ้านหลายนัด


‘เจ้าของร้านน้ำชา’ ร้านหนึ่ง
เล่าว่า ตอนนั้นที่ร้านน้ำชามีคนอยู่ 7-8 คน ‘มีดี’ เข้ามาสั่งน้ำชาก็เลยเข้าไปทำน้ำชามาให้ลูกค้า สักพักก็มีชาวบ้านที่อยู่ในร้านน้ำชาบอกว่าเมื่อกี้เห็นคนแปลกหน้ามาชะโงกหน้าที่หน้าต่างและคนในร้านน้ำชาก็ได้ยินเสียงดัง เฮ้! จากข้างนอกหน้าต่าง คนในร้านก็เลยวิ่งหนีกัน ทหารก็บอกว่า “ หยุด” หลายคนในร้านก็หยุดกัน แต่นาย‘มีดี’ วิ่งหนีไป ทหารก็เลยไล่ตามหลังนาย‘มีดี’ พร้อมกับได้ยินเสียงปืนดังขึ้นเรื่อย ๆ ประมาณ 20 นัด

เจ้าของร้านและคนในร้ายก็ไม่เห็น‘มีดี’ อีก แต่ได้ยินเสียงปืนดังขึ้น หลายนัด มี 3 จุดที่ได้ยิน คือ บริเวณใกล้ร้าน ข้างหน้าทางเข้าหมู่บ้านและแถวมัสยิด ที่ได้รับความเสียหายก็คือ รถยนต์ 2 นัด ตรงบริเวณระดับเบาะ หลังคาบ้าน 2 หลัง หลังละ 1 นัด หน้าบ้าน 1 นัด ตรงบริเวณประตูทางเข้าบ้านหลายนัด ข้างบ้านหลายนัด และทางเข้าหมู่บ้านที่ฝาบ้านหลายนัด และปลอกกระสุนที่นับได้มี 8 นัด และอีกหลายนัดหาไม่เจอ แต่เสียงที่ได้ยินดังมากกว่า 8 นัด ไม่แน่ใจว่าเจ้าหน้าที่เก็บไปกี่นัด เพราะได้ยินเกือบ 20 นัด เจ้าหน้าที่ที่มาก็มีทหาร ตำรวจ และทหารที่ใส่ชุดดำปิดหน้า ทุกคนที่อยู่ที่ร้านน้ำชานั้นถูกปล่อยตัว มีพียง'มีดี'คนเดียวที่ถูกเจ้าหน้าที่จับตัว เพราะวิ่งหนีจนได้รับบาดเจ็บซึ่งชาวบ้านก็ไม่รู้ว่าโดนอะไรบ้าง

เพราะไม่มีใครตามไปดู แต่บ้านที่อยู่ใกล้บริเวณนั้นได้ยินเสียงมีดีร้องว่า “ โอ๊ย โอ๊ย โอ๊ย “ แต่ไม่รู้ว่าโดนอะไร เพราะมันมืด มองไม่เห็นและกลัวที่จะออกไปดูพอชาวบ้านได้เห็นมีดีตอนทหารพาตัวออกมาก็เห็นว่ามีดีมีแผลที่บริเวณหน้า คือบวม ช้ำ เขียวและมีเลือดออก บริเวณหัวเข่าทั้งสองข้าง ฝ่ามือทั้งสองข้าง และหลังมือทั้งสองข้าง มีดีบอกว่าแผลนั้นเกิดจากการล้มตอนที่เจ้าหน้าที่ตามไล่หลังอยู่ ชาวบ้านสังเกตเห็นว่ามีดีเดินไม่สะดวกและแผลที่เกิดเหมือนกับโดนกระทำมา คือแผลที่หน้าและแผลที่หลังมือ เพราะไม่หน้าเป็นไปได้ที่ล้มแล้วจะเกิดแผลแบบนั้นได้ ซึ่งตอนที่เจ้าหน้าที่ยิงนั้นมีดีบอกว่า โชคดีที่เขาสะดุดอวนล้ม ไม่เช่นนั้นเขาอาจโดนยิงเสียชีวิตแล้วก็ได้ เจ้าหน้าที่ได้จับตัวมีดีไปในคืนนั้นทันที

เจ้าหน้าที่แบ่งเป็น 3 ชุด คือมีที่ร้านน้ำชา แถวๆบ้าน และทางออกหมู่บ้าน เมื่อมีการยิงที่ร้านน้ำชายิง แถวๆบ้านก็ยิงขู่ จากนั้นก็มีเสียงปืนขึ้นแถวหน้าหมู่บ้าน พอเสียงปืนหยุดเจ้าของบ้านที่โดนทหารยิงบ้านและรถยนต์ ได้ออกไปดูทางหลังบ้านก็เห็นทหารโผล่ออกมาจากรั้วบอกว่าให้เข้าบ้านไป แต่ตอนที่ได้ยินเสียงปืนนั้นมองไม่เห็นทหาร เพราะไฟทางมืดหมด

ทั้งนี้ เจ้าของบ้านและเจ้าของรถยนต์ที่โดนกระสุนปืนได้ไปแจ้งความที่โรงพัก ตำรวจก็ได้มาสอบสวนในวันรุ่งขึ้นหลังวันเกิดเหตุ เจ้าหน้าที่บอกว่า ให้เจ้าของรถไปซ่อมมาแล้วเอาใบเสร็จไปแสดง แล้วเจ้าหน้าที่จะรับผิดชอบจ่ายค่าเสียหายให้ แต่เจ้าของรถและชาวบ้านไม่ได้ต้องการความรับผิดชอบค่าเสียหาย เพราะมันไม่คุ้มกับการเสี่ยงชีวิตของคนในบ้านและคนที่หมู่บ้านนั้น เจ้าของรถและชาวบ้านต้องการให้เจ้าหน้าที่รับผิดชอบอย่างอื่น ให้ตระหนังถึงการกระทำดังกล่าวที่ไม่ได้คำนึงถึงความปลอดภัยของชาวบ้านและมาขอโทษชาวบ้านกับการกระทำดังกล่าว

หมู่บ้านนี้เจ้าหน้าที่ได้เคยมาทำการปิดล้อมหลายครั้งแล้ว ประมาณหนึ่งเดือนก่อนปี 57 ก็มาหลายรอบแล้ว ผู้สูงอายุเสียขวัญและตกใจกลัวเจ้าหน้าที่ มีอยู่ 2 คนที่เสียชีวิตหลังจากการปิดล้อม จับกุม เพราะตกใจ แต่เจ้าหน้าที่ที่มาส่วนมากตรงไปที่บ้าน‘มีดี’ มาสอบถามเรื่องของมีดีว่าอยู่บ้านหรือเปล่า เจ้าหน้าที่กล่าวหาว่า‘มีดี’ หลบหนี แต่ปกติ‘มีดี’ ทำงานอยู่ที่มาเลเซีย นานๆถึงจะกลับบ้านสักครั้ง เจ้าหน้าที่เคยบอกให้‘มีดี’ ไปมอบตัว เพราะหนีทหารและมีชื่อในหมายจับ

หลังจากเกิดเหตุก็มีนักข่าวมาสอบถาม (ตูแวดานียา) และวันต่อมาเจ้าหน้าที่ ICRC มาที่หมู่บ้าน และสอบถามเรื่องราวที่เกิดขึ้น สาเหตุที่เจ้าหน้าที่มาปิดล้อมจับกุมนั้นมีเหตุการณ์ยิงไทยพุทธที่ตลาดนัดวันจันทร์ เจ้าหน้าที่ก็เลยมาตรวจค้นที่หมู่บ้านนี้

คำบอกเล่าของพ่อ แม่ นาย‘มีดี’ อาแว
นายมีดี อาแว อายุ 28 ปี ปกตินายมีดีทำงานที่มาเลเซีย และเคยถูกกล่าวหาเป็นผู้ต้องสงสัย แต่ไม่ได้มีการควบคุมตัว เพราะขณะนั้นนายมีดีไม่ได้อยู่บ้าน ไปทำงานที่มาเลเซีย ในวันที่เกิดเหตุ มีรถเก๋ง 1 คัน มาจอดหน้าบ้าน มีเจ้าหน้าที่ 6 คน แม่เห็นว่า ไปทางร้านน้ำชา 3 คน และไปอีกด้าน 3 คน และมีรถยนต์จอดที่มัสยิดอีก 5 คัน ไม่นานแล้วก็ได้ยินเสียงปืน แล้วเจ้าหน้าที่ก็จับมีดีไป ซึ่งมีดีเคยตกเป็นผู้ต้องสงสัยมาก่อน เป็นเหตุการณ์ปะทะที่เกาะแลหนัง อ.เทพา จ.สงขลา

เจ้าหน้าที่เคยมาหามีดีครั้งหนึ่งตอนที่มีดีไม่ได้อยู่บ้าน แต่ที่เกิดเหตุการณ์นี้ แม่เข้าใจว่าเจ้าหน้าที่ไม่ได้เจาะจงมาจับ‘มีดี’ แต่ที่‘มีดี’ โดนจับเพราะ‘มีดี’ หนี เจ้าหน้าจับ‘มีดี’ ใส่กุญแจมือไขว่หลัง ส่วนคนที่ร้านน้ำชาที่ไม่หนีก็โดนจับแต่ถูกปล่อยตัวมา สภาพร่างกายของมีดีที่แม่เห็น ไม่ค่อยเหมือนสภาพของคนที่ล้ม เพราะใบหน้าบวม ช้ำ เหมือนรอยกระบอกปืน หลังมือเหมือนโดนเหยียบ ส่วนบริเวณอื่นอาจเป็นไปได้ที่มีดีล้ม มีดีไม่มีร่องรอยการโดนยิง เจ้าหน้าที่บอกว่าถ้าคืนนั้นมีดีไม่ล้ม เขาอาจโดนยิงตาแล้วก็ได้

ญาติของ‘มีดี’ หลายคนเคยถูกเป็นผู้ต้องสงสัยมาก่อน 3-4 คน แต่มีคนหนึ่งที่โดนจับตัวที่บ้านของภรรยาถูกพาตัวไปที่อิงคยุทธประมาณ 1 อาทิตย์ พอกลับมาบ้านก็ความจำเสื่อม หลงๆลืมๆ จำอะไรไม่ได้ ครอบครัวได้พาไปรักษาที่โรงพยาบาลแล้ว แต่ก็ยังอยู่สภาพเดิม เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อ 2 เดือนที่แล้ว ตอนนี้เขากลับไปอยู่บ้านภรรยา พอถึงเวลากลางคืนก็จะส่งเสียงร้อง

ตอนที่แม่ไปเยี่ยมที่อิงคยุทธแม่ถามถึงแผล ‘มีดี’ บอกว่าเขาล้ม แม่คิดว่า เขากลัวที่จะบอก เพราะเจ้าหน้าที่ล้อมตัวเขาอยู่ตอนที่แม่ถาม แม่ได้ถ่ายรูป‘มีดี’ ตอนอยู่อิงคยุทธ แต่เจ้าหน้าที่ไม่ให้ถ่ายและลบภาพที่แม่ถ่าย
ตอนนี้พ่อ แม่ ของ‘มีดี’ ได้ไปร้องที่ศูนย์ทนายความแล้ว แต่พ่อของ‘มีดี’ กังวลว่าถ้าเปิดเผย เล่าเรื่องของ‘มีดี’ ออกไป ‘มีดี’ จะโดนเจ้าหน้าที่ทำร้าย เจ้าหน้าที่ได้บอก‘มีดี’ ให้มอบตัว โดยทำงานให้เขาแล้วเขาก็จะปล่อยตัวไป ( ซึ่งทางกลุ่มเข้าใจว่าน่าจะเป็นโครงการพาคนกลับบ้าน )

มุมมองของชาวบ้านต่อการปฏิบัติการของเจ้าหน้าที่ในครั้งนี้
ชาวบ้านบอกว่า การที่เจ้าหน้าที่มาเวลากลางคืน มาด้วยเสียงปืน ยิงในหมู่บ้าน โดนรถชาวบ้าน โดน บ้าน ข้าวของชาวบ้าน ถือว่าไม่ได้คำนึงถึงความปลอดภัยของชาวบ้าน สังเกตได้จากระดับของกระสุนที่อยู่ในระดับต่ำ สามารถโดนชาวบ้านที่อยู่ในบ้านหรือในรถได้เลย

ถ้าหากเจ้าหน้าที่มากับปืนแล้วอีกคนมีปืนก็ไม่ว่าอะไร แต่นี่อีกฝ่ายไม่มีอาวุธอะไรเลย และอีกกรณีหนึ่งก็คือ เจ้าหน้าที่มักใช้ชาวบ้านให้ไปเรียกคนในบ้านที่ตัวเองต้องการเรียก ทั้งที่จริงควรบอกแก่ ผู้ใหญ่บ้านหรือกำนันทราบ มิใช่มาสั่งชาวบ้านทำ

เหตุการณ์นี้ทำให้ชาวบ้านทั้งเด็ก วัยรุ่น ผู้สูงวัย เสียขวัญและเกิดอาการกลัวเจ้าหน้าที่ทหารและตำรวจ เพราะไม่รู้ว่าจะมาทำแบบนี้อีกเมื่อไร เวลาเกิดเหตุการณ์นอกหมู่บ้าน เจ้าหน้าที่ก็มาหาคนร้ายที่หมู่บ้านนี้ เจ้าหน้าที่หาว่าหมู่บ้านนี้เป็นที่หลบซ่อนตัวของคนร้าย

ก่อนหน้านี้ที่หมู่บ้านไม่เคยมีใครโดนจับกุมในหมู่บ้าน ก็เลยไม่เคยมีเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้น คนในหมู่บ้านจะโดนจับที่อื่น แต่ก็มีไม่กี่คนที่โดนจับ มักจะโดนจับกลางทางเวลาออกไปทำงาน ทั้งๆที่ไม่รู้เรื่องอะไรเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ตั้งแต่เกิดเรื่องยิงไทยพุทธตาย ยังไม่เคยมีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้น แต่เจ้าหน้าที่ก็มาที่หมู่บ้านลาดตระเวนปกติ

บทเรียนที่เราได้เรียนรู้จากการพูดคุยกับชาวบ้านคือ ความต้องการความเสมอภาคในการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ ความเสมอภาคที่ว่านี้คือการให้เกียรติ เมื่อให้เกียรติกัน ในการปฏิบัติงานก็จะคำนึงถึงความปลอดภัยซึ่งกันและกันได้ จากเหตุการณ์นี้ทำให้เราเห็นว่าเจ้าหน้าที่ไม่ได้คำนึงถึงความปลอดภัยของประชาชนเลยเพราะการยิงปืนในระดับไม่เกินความสูงของคนหรือรถนั้นหากโดนชาวบ้านความสูญเสียที่เกิดขึ้นไม่เพียงแค่หนึ่งชีวิตเท่านั้นแต่มันหมายถึงความเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐทั้งระบบ

อีกบทเรียนหนึ่งคือ ชาวบ้านที่นี้ไม่กล่าวหาเจ้าหน้าที่ในสิ่งที่ตนเองไม่เห็น หากเป็นข้อสงสัยก็บอกให้เราทราบว่านี้คือข้อสงสัย และที่สงสัยเพราะอะไร นั้นก็ทำให้เราเชื่อได้ว่าจะไม่มีการขยายความเกินเลยจากข้อเท็จจริง

บทเรียนประการต่อมาก็คือ การสื่อสารชาวบ้านที่นี้เลือกการสื่อสารเรื่องราวแทนที่จะเก็บงำและสร้างความเป็นปฏิปักษ์ต่อเจ้าหน้าที่รัฐ ถึงแม้ในเบื้องต้นจะมีความไม่พอใจเกิดขึ้นแต่การสื่อสารก็ทำให้เจ้าหน้าที่รัฐได้รับรู้และเข้าใจ อันจะนำไปสู่การหาแนวทางป้องกันเหตุการณ์ในลักษณะนี้ไม่ให้เกิดขึ้นอีกได้ ซึ่งถือได้ว่าเป็นการเปิดพื้นที่สันติภาพในอีกรูปแบบหนึ่งก็ว่าได้

หลังจากนี้ทางกลุ่มด้วยใจก็หวังว่าเจ้าหน้าที่รัฐจะได้สื่อสารกลับไปยังชาวบ้านในพื้นที่ถึงเรื่องราวการปฏิบัติงาน และแก้ข้อสงสัยหรือตอบคำถามที่ค้างคาใจชาวบ้าน และหวังไปไกลในระดับที่ว่าในอนาคตคงจะมีความร่วมมือระหว่างเจ้าหน้าที่รัฐกับชาวบ้านถึงแนวทางในการปฏิบัติงานที่เหมาะสมต่อไป