Skip to main content
อุสตาซอับดุชชะกูร์ บินชาฟิอีย์ ดินอะ (อับดุลสุโก ดินอะ) [email protected]
ที่มา: นิตยสารมติชนสุดสัปดาห์
 
ด้วย พระนามของอัลลอฮ์ ผู้ทรงเมตตากรุณาปรานีเสมอ มวลการสรรเสริญเป็นกรรมสิทธิ์พระองค์ผู้ทรงอภิบาลแห่งสากลโลก ขอความสันติสุขจงมีแด่ศาสนทูตมุฮัมมัด ผู้เจริญรอยตามท่านและสุขสวัสดีแด่ผู้อ่านทุกคน
 
ช่วงนี้โลกให้ความสนใจกับกลุ่ม IS ย่อมาจาก Islamic State หรือชื่อเต็มว่า Islamic State Iraq & Syria (ISIS) หรือ Islamic State Iraq & Lavant (ISIL) ซึ่งก่อนหน้านี้ พวกเขาเคยมีชื่อว่า Ad-daulah islamiah Iraq ชาวตะวันตกจะเรียกพวกเขาว่า Islamic state Iraq (ISI) หรือในโลกอาหรับจะรู้จักในชื่อ ดาอิส DAIS ซึ่งมาจากคำเต็มภาษาอาหรับว่า Daulah Islamiah fi Iraq wa Sham มีเป้าหมายในการฟื้นฟูระบบการปกครองในรูปแบบอาณาจักรอิสลามในอดีต (โปรดดู http://elfioemar.wordpress.com/perjuangan/mengarungi-sejarah-keemasan-da...)
 
โดยมีผู้นำที่เรียกว่า Khalifah ใช้กฎหมายอิสลามปกครอง ในขณะเดียวกัน ต้องการปลดปล่อยรัฐต่างๆ ที่อยู่ภายใต้ตะวันตกหรือรัฐบาลประเทศตนเองด้วยกำลังอาวุธ (ซึ่งหากต้องการข้อมูลประวัติอย่างละเอียดของ IS ศึกษาได้ใน Fauz Peacehttp://www.deepsouthwatch.org/node/6776)
 
สำหรับปฏิบัติการซึ่งผู้เขียนจะกล่าวเฉพาะการสังหารตัวประกันญี่ปุ่น 2 คนและเผานักบินจอร์แดนทั้งเป็นในกรงเหล็ก
 
สหภาพ นักปราชญ์มุสลิมนานาชาติ (IUMS) โดยประธาน ชัยค์ ดร.ยูซุฟ อัลก๊อรฎอวีย์ และเลขาธิการ ชัยคฺ ดร.อลี มะหฺยุดดีน ได้ออกแถลงการณ์ผ่านสื่อออนไลน์ ประณามการกระทำเผานักบินจอร์แดนว่าค้านกับหลักการอิสลามอย่างชัดเจน โดยในเถลงการณ์ดังกล่าวมีข้อเรียกร้องห้าข้อพอสรุปได้ดังนี้
 
1. ประณามการเผานักบินจอร์แดนทั้งเป็นอยู่ในกรงเหล็ก ซึ่งเป็นอาชญากรรมที่ค้านกับหลักนิติศาสตร์อิสลาม แนวทางของศาสนทูตมุฮัมมัดและจริยธรรมของมุสลิมที่ดีในอดีต ในขณะเดียวกันไม่สามารถที่จะนำหลักการใดๆ ในหลักนิติศาสตร์อิสลามนำมาอ้างที่จะฟัตวา (ออกบทบัญญัติ) อนุญาตในการกระทำครั้งนี้
 
2. สหภาพนักปราชญ์มุสลิมนานาชาติขอยืนยันว่ากลุ่ม IS นั้นเป็นกลุ่มที่มีแนวคิดสุดโต่งซึ่งค้านหลักการอิสลามอีกทั้งนำความเสื่อม เสียต่อศาสนาที่บริสุทธิ์
 
3. การเผานักบินครั้งนี้ค้านกับหลักการการผดุงสิทธิ์เชลยศึกในหลักการอิสลามและ การเผานั้น ก็ค้านกับแนวทางปฏิบัติของศาสนทูตมุฮัมมัดเพราะท่านห้ามการใช้ไฟเผา
 
ดังที่ท่านกล่าวไว้ ความว่า "ไม่สามารถลงทัณฑ์ด้วยไฟ นอกเสียจากพระผู้เป็นเจ้าของไฟเท่านั้น" ในขณะเดียวกัน มติของปวงปราชญ์อิสลามในอดีตก็ห้ามในเรื่องนี้
 
4. ขอเรียกร้องไปยังบรรดาปราชญ์/นักวิชาการประชาชาติมุสลิมทั่วโลกให้ช่วยกัน หยุดแนวคิดสุดโต่งที่นำความเสื่อมเสียต่อหลักการอิสลามและชี้ทัศนะอิสลามที่ ถูกต้องต่อสาธารณชนทั้งมุสลิมและต่างศาสนิก
 
5. สหภาพนักปราชญ์มุสลิมนานาชาติขอแสดงความเสียใจต่อครอบครัวนักบิน รัฐบาลและประชาชนชาวจอร์แดนพร้อมมุสลิมทั่วโลก อีกทั้งช่วยกันผดุงไม่ทำให้หลักการอิสลามอันบริสุทธิ์เสื่อมเสีย
 
กล่าวโดยสรุป อิสลามมีหลักการห้ามละเมิดสิทธิเชลยไม่ว่ากรณีใดๆ อีกทั้งมุสลิมมีหน้าที่จะต้องปฏิบัติดีต่อเชลย นี่คือหลักการอิสลามที่แท้จริง
 
 
 
จากข้อเรียกร้องของสหภาพนัก ปราชญ์มุสลิมนานาชาติ (IUMS) พบว่ามุสลิมโดยเฉพาะปราชญ์อิสลามแต่ละประเทศต้องต่อต้านแนวคิดสุดโต่งใน สังคมมุสลิมเองเพราะในกรณีชัดเจนว่าค้านกับหลักคำสอนในกุรอานและแบบอย่าง ท่านศาสนทูตมุฮัมมัด เช่น
 
อัลลอฮ์ได้โองการความว่า
 
"และพวกเขาให้อาหารเนื่องด้วยความรักต่อพระองค์แก่คนยากจน เด็กกำพร้า และเชลยศึก (พวกเขากล่าวว่า) แท้จริงเราให้อาหารแก่พวกท่าน โดยหวังความโปรดปรานของอัลลอฮ์ เรามิได้หวังการตอบแทน และการขอบคุณจากพวกท่านแต่ประการใด" อัลอินซาน 76 : 8-9
 
"...จนกระทั่งเมื่อพวกเจ้าปราบพวกเขาจนแพ้แล้ว ก็จงจับพวกเขาเป็นเชลย หลังจากนั้นจะปล่อยเป็นไทหรือเรียกค่าไถ่ก็ได้ จนกระทั่งการทำสงครามได้สิ้นสุดลงด้วยการวางอาวุธ เช่นนั้นแหละหากอัลลอฮ์ทรงประสงค์ แน่นอนพระองค์จะทรงตอบแทนการลงโทษพวกเขา แต่ทั้งนี้เพื่อพระองค์จะทรงทดสอบบางคนในหมู่พวกเจ้ากับอีกบางคน ส่วนบรรดาผู้ที่ถูกฆ่าตายในทางของอัลลอฮ์ พระองค์จะไม่ทรงทำให้การงานของพวกเขาไร้ผลเป็นอันขาด" มุฮัมมัด 47 : 4
 
ท่านศาสนทูต ได้ถามเชลยว่า "ซุมามะฮฺ (หัวหน้าเผ่าบนีฮะนีฟะฮฺ) ท่านมีอะไรบ้าง?"
 
ซุมามะฮฺตอบ "มุฮัมหมัด สิ่งที่ฉันมีล้วนเป็นสิ่งดี, หากท่านจะฆ่า ท่านก็ได้ฆ่าเจ้าของเลือด (หมายถึง ฉันก็สมควรถูกฆ่าเพราะฉันฆ่าพวกมุสลิม), หากท่านจะกรุณาท่านก็ได้กรุณาต่อผู้รู้คุณแล้ว และหากท่านต้องการเงินทอง ก็ขอมาเถิด ท่านจะได้รับเท่าที่ท่านต้องการ"
 
ท่านศาสนทูตจึงปล่อยเขาไว้เช่นนั้น 3 วันโดยที่ทุกวันท่านจะถามคำถามเดิม และเขาก็ยังคงตอบคำตอบเดิม, หลังวันที่สามท่านได้สั่งให้แก้มัดเขา จากนั้นเขาก็ออกไปที่ต้นอินทผลัมใกล้ๆ และอาบน้ำ และกลับมาหาท่าน พร้อมกับกล่าวว่า ฉันขอปฏิญาณว่าไม่มีพระเจ้าอื่นใด นอกจากอัลลอฮ์ และฉันขอปฏิญาณว่า มุฮัมมัดเป็นบ่าวของอัลลอฮ์และเป็นศาสนทูตแห่งพระองค์
 
เขากล่าวอีกว่า ท่านศาสนทูตครับ ขอสาบานต่ออัลลอฮ์ ในโลกนี้ไม่เคยมีใบหน้าใดที่ฉันจะโกรธแค้นยิ่งเสียกว่าใบหน้าของท่าน, แต่บัดนี้ใบหน้าของท่านได้กลายเป็นใบหน้าที่ฉันรักมากที่สุด, ขอสาบานต่ออัลลอฮ์ ไม่เคยมีศาสนาใดที่ฉันโกรธแค้นยิ่งเสียกว่าศาสนาของท่าน, แต่บัดนี้ศาสนาของท่านได้กลายเป็นศาสนาที่ฉันรักมากที่สุด, ขอสาบานต่ออัลลอฮ์ ไม่เคยมีเมืองใดที่ฉันโกรธแค้นยิ่งเสียกว่าเมืองของท่าน, แต่บัดนี้เมืองของท่านได้กลายเป็นเมืองที่ฉันรักมากที่สุด
 
ท่านศาสนทูตกล่าวไว้อีกความว่า
 
"ระวัง อย่าตัดแขนขา เชือดหั่น หรือทำลายโฉมหน้าศัตรู"
 
ท่านศาสนทูตกล่าวไว้อีกความว่า
 
ดังนั้น มุสลิมเองไม่เพียงต่อต้านแนวคิดสุดโต่ง แต่ควรขยายแนวคิดสายกลางทั้งคำพูด ปฏิบัติ เพราะในขณะนี้กำลังทำให้หลักการอิสลามและมุสลิมมัวหมองและถูกมองว่าก่อการ ร้าย อยู่ร่วมกับประชาคมอื่นไม่ได้
 
สำหรับปฏิบัติการ IS ที่จะปกครองด้วยกฎหมายอิสลามนั้นเป็นข้ออ้างที่สวนทางกับข้อเท็จจริงและยิ่ง เพิ่มอุณหภูมิความขัดแย้งในโลกปี 2015 ระหว่างแนวคิดสุดโต่งกับพันธมิตรตะวันตก