Skip to main content

 

อัศศิยามกับความลับที่ซ่อนอยู่

 

ชัยคฺ ดร. ยูซุฟ อัล เกาะเราะฎอวียฺ

อาอิช แปลและเรียบเรียง

 

 

คำถาม อะไรคือความลับที่ยิ่งใหญ่ของการถือศีลอดและเราจะทำความเข้าใจต่อความลับนี้ได้อย่างไร?

คำตอบ ส่วนหนึ่งจากความลับของการถือศีลอด คือ การปลดปล่อยมนุษย์ จากอารมณ์ใฝ่ต่ำ การมีชัยเหนืออารมณ์ปรารถนา การยกระดับจิตใจ ให้เหนือกว่าความอยากทางร่างกาย ซึ่งถ้าผู้ใดไม่สามารถเอาชนะตัวเอง เขาก็มิอาจมีชัยเหนือเหนือศัตรูได้

เราไม่สามารถที่จะบรรลุ ถึงความลับของการถือศีลอดได้ เว้นแต่ว่าเราจะบรรลุ ถึงความลับของมนุษย์เสียก่อน มนุษย์คืออะไร และแก่นแท้ของความเป็นมนุษย์ คืออะไร? เป็นแค่ร่างกายที่มีชีวิต กระนั้นหรือ? เป็นโครงกระดูกที่ตั้งตรง แค่นั้นหรือ? เป็นที่รวมของอวัยวะต่างๆ เซลล์ เลือดเนื้อ กระดูกและเส้นประสาทต่างๆ แค่นั้นหรือ? ถ้ามนุษย์เป็นดังที่ว่านี้ มันก็ช่างต่ำต้อย และด้อยค่าเสียเหลือเกิน !! ใช่......มนุษย์ไม่ได้มีเพียงแค่โครงกระดูกที่สัมผัสได้ แต่คือวิญญาณ ที่มาจากฟากฟ้า ซึ่งอาศัยอยู่ในเรือนร่าง ที่มาจากดิน และคือความลับ ที่มาจากผู้ทรงสูงส่ง ซึ่งถูกห่อหุ้มด้วยดิน !!

เพราะฉะนั้นแก่นแท้ของความเป็นมนุษย์ คือ ความโปรดปรานที่มาจากพระเจ้า และวิญญาณอันสูงส่ง ที่อัลลอฮฺได้ให้กับมนุษย์ และด้วยสิ่งที่พระองค์ประทานให้ มนุษย์จึงรู้จักคิดใคร่ครวญ มีความรู้สึกและการรับรู้รส และด้วยสิ่งนี้ พวกเขาบริหารอำนาจบนแผ่นดิน และเข้าถึงอาณาจักรบนท้องฟ้า และด้วยสิ่งนี้ อัลลอฮฺทรงมีบัญชาให้มวลมลาอิกะฮฺ ก้มคารวะต่ออาดัม มิใช่ให้ก้มต่อดินดำ และดินเหนียว แต่อย่างใด

จงรำลึก เมื่อพระผู้อภิบาลของเจ้า ตรัสแก่มะลาอิกะฮฺว่า แท้จริง ข้าจะสร้างมนุษย์คนหนึ่งจากดิน (คืออะดัม อะลัยฮิสลาม), ดังนั้น เมื่อข้าได้ทำให้เขามีรูปร่างสมส่วน และได้เป่าวิญญาณจากข้าเข้าไปในตัวเขา ดังนั้น พวกเจ้าจงก้มคารวะต่อเขาเถิด ศอด 71,72

นี่คือมนุษย์ ที่มีทั้งวิญญาณอันสูงส่ง และร่างกายที่ต่ำต้อย ร่างกายคือบ้าน และวิญญาณคือผู้อาศัย ร่างกายคือพาหนะ และวิญญาณคือผู้ขับขี่เดินทาง และบ้านจะไม่ถูกสร้าง เพื่อตัวมันเอง และพาหนะก็มิได้มีไว้ เพื่อตัวมันเอง แต่ทว่าบ้านนั้น ยังประโยชน์แก่ผู้อาศัย และพาหนะ ยังประโยชน์แก่ผู้ขับขี่

แต่ช่างน่าแปลกใจ สำหรับลูกหลานอาดัม ที่พวกเขากลับละทิ้งตนเอง และให้ความสำคัญ กับที่อยู่อาศัยของพวกเขา พวกเขากลับตกเป็นทาสพาหนะของพวกเขา พวกเขาละทิ้งจิตวิญญาณของพวกเขา และตกเป็นทาสให้กับร่างกายของพวกเขา

เพียงเพื่อร่างกายเท่านั้น ที่พวกเขายอมทำงาน

เพียงเพื่อความอิ่มเอมในดุนยา ที่พวกเขากระตือรือร้น

ชีวิตที่หมุนวนอยู่รอบเรื่องปากท้อง และเรื่องทางเพศ เท่านั้น

บทเพลงประจำใจของพวกเขา เป็นเหมือนดังคำพูดของนักกวีที่ว่า

ดุนยานั้นเป็นอาหาร เครื่องดื่ม ที่พักผ่อน เมื่อสิ่งนี้ได้สูญสิ้นไปดุนยานี้ก็ไม่มีค่าอีกแล้ว

ชนเหล่านี้ คือผู้ที่อัลลอฮฺได้บอกลักษณะของพวกเขา ดัวยกับพระดำรัสของพระองค์ ที่ความว่า “เจ้าไม่เห็นดอกหรือ ผู้ที่ยึดเอาอารมณ์ใฝ่ต่ำของเขา เป็นพระเจ้าของเขา แล้วเจ้าจะเป็นผู้คุ้มครองเขา กระนั้นหรือ ,เจ้าจะคิดว่า พวกเขาส่วนใหญ่ จะได้ยิน หรือใช้สติปัญญา พวกเขามิใช่อื่นใดดอก นอกจากเป็นสัตว์เดียรฉาน ยิ่งไปกว่านั้น พวกเขายังจะหลงทางอีก” ฟุรกอน 43,44

นี่คือมนุษย์ ผู้ที่มีทั้งวิญญาณและร่างกาย ร่างกายนั้น ต้องการเสพวัตถุที่ด้อยค่า ในโลกของมัน เช่นเดียวกัน วิญญาณก็ต้องการเสพสิ่งสูงค่าในโลกของมัน ดังนั้น หากมนุษย์ดึงวิญญาณให้ลงต่ำ ด้วยการนำมันไปเกลือกกลั้วกับสันดานดิบของเขา วิญญาณอันบริสุทธิ์แต่เดิม จะเปลี่ยนไปเป็นเดียรฉาน และเป็นชัยฏอนที่ถูกสาปแช่ง

นี่คือสิ่งที่นักกวีมุสลิมท่านหนึ่งได้พรรณนาไว้ว่า

'โอ้ทาสแห่งร่างกายเอ๋ย.......กี่มากแล้วที่ท่านคอยรับใช้ปรนนิบัติมัน

ท่านกำลังแสวงหาผลกำไร ในสิ่งที่ขาดทุนกระนั้นหรือ?

มาเถิดกลับมาหาจิตวิญญาณของท่าน และเติมความสมบูรณ์ ให้สมกับเกียรติของมันเถิด

เพราะตัวตนของท่าน คือจิตวิญญาณ หาใช่ร่างกาย แต่อย่างใดไม่'

เมื่อมนุษย์รู้จักคุณค่าในตัวของเขา เข้าถึงความลับของอัลลอฮฺที่มีอยู่ในตัวเขา และนำกฎเกณฑ์แห่งฟากฟ้า มาอยู่บนหน้าแผ่นดิน และให้ความสำคัญ กับผู้ขับขี่ก่อนพาหนะ และให้ความสำคัญกับผู้อาศัย มากกว่าเคหะวัตถุ และทำให้ความปรารถนาของวิญญาณ อยู่เหนือความปรารถนาของร่างกาย ดังนั้น เขาก็จะเป็นเช่นมะลัก หรืออาจสูงกว่ามะลักเสียอีก “แท้จริงบรรดาผู้ศรัทธาและประกอบความดีทั้งหลาย ชนเหล่านั้น เป็นมนุษย์ที่ดียิ่ง” อัล บัยยินะฮฺ 7

จากตรงนี้ อัลลอฮฺได้กำหนดให้การถือศีลอด เป็นข้อบังคับ (ฟัรดู) เพื่อที่จะปลดปล่อยมนุษย์ ออกจากการครอบงำ โดยสัญชาตญานของเขา เพื่อเดินออกจากคุกแห่งร่างกายของเขา มีชัยเหนืออารมณ์ใฝ่ต่ำของเขา และควบคุมสัญชาตญาณดิบของเขา และให้เขามีคุณสมบัติ คล้ายเหล่ามะลาอีกะฮฺ ไม่ใช่เรื่องแปลก ที่วิญญาณของผู้ที่ถือศีลอด ได้ขึ้นสู่ที่สูง และใกล้ชิดกับผู้ทรงสูงส่ง และเคาะประตูแห่งฟากฟ้า ด้วยกับดุอาของเขา มันจึงถูกเปิดออก และ เขาวิงวอน ต่อพระผู้อภิบาลของเขา พระองค์ก็ทรงตอบรับเขา ด้วยการเรียกและกล่าวว่า ขอต้อนรับบ่าวของข้า ในความหมายตรงนี้ ท่านบี ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะซัลลัม กล่าวความว่า สามประการที่ดุอาจะถูกตอบรับ ผู้ถือศีลอดจนกระทั่งเขาละศีลอด ผู้นำที่มีความยุติธรรม ดุอาของผู้ที่ถูกอธรรม (รายงานโดย ติรมีซียฺ อิมามอะฮฺมัด อิบนุมาญะฮฺ และอิบนุ คุซัยมะฮ)

 

เผยแพร่ครั้งแรกในเพจ Shaykh Yusuf al-Qaradawi