Skip to main content

 

อัล กรุอานสอนให้ใช้ความรุนแรงจริงหรือ ?

 

ตอบคำถามโดย ชัยคฺ ดร. มุซซัมมิล ซิดดีกียฺ

 

 

คำถาม : ผมหวังว่าท่านจะช่วยฉันคลี่คลายข้อสงสัย ที่ผมได้เห็นจากเหตุการณ์ 11 กันยายน โดยเฉพาะในประเด็นอายะฮฺอัลกุรอานบางอายะฮฺ อายะฮฺเหล่านี้ คัดค้านกับสิ่งที่มุสลิมกล่าวไว้อย่างสิ้นเชิง ว่า ศาสนาของพวกเขาเรียกร้องไปสู่สันติภาพ และต่อต้านก่อการร้าย ถึงแม้ว่าผมจะไม่ใช่มุสลิม แต่ผมก็ไม่ได้รังเกลียดมุสลิม ผมเพียงต้องการความกระจ่างในประเด็นนี้ ท่านจะอธิบายอายะฮฺนี้อย่างไร “และจงประหัตประหารพวกเขา ณ ที่ใดก็ตามที่พวกเจ้าพบพวกเขา” อัล บะเกาะเราะฮฺ 191 และ “...แต่ถ้าพวกเขาผินหลังให้ก็จงเอาพวกเขาไว้ และจงฆ่าพวกเขา ณ ที่ที่พวกเจ้าพบพวกเขา และจงอย่าเอาใครในหมู่พวกเขาเป็นมิตรและเป็นผู้ช่วยเหลือ” อัน นิซาอฺ 89 ผมหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะได้รับคำตอบจากท่านโดยเร็ว

คำตอบ : ขอบคุณสำหรับคำกล่าวที่สุภาพของคุณ จากการคุณไม่ได้รังเกียจมุสลิม การรังเกียจกันเป็นเรื่องที่ไม่ดีไม่ว่าจะเกิดกับใครก็ตาม ผมอยากให้คุณมั่นใจว่า เรามุสลิมมิได้รังเกียจคนที่ไม่ใช่มุสลิมเช่นเดียวกัน ไม่ว่าพวกเขาจะเป็นคริสเตียน ยิว ฮินดู พุทธ หรือคนที่นับถือศาสนาอื่น หรือไม่นับถือศาสนาใดๆเลยก็ตาม ศาสนา (อิสลาม) ของเราไม่อนุญาตให้ฆ่าคนบริสุทธิ์ ไม่ว่าเขาจะนับถือศาสนาอะไร ตามคำสอนของอัล กุรอาน และทางนำของท่านนะบีของเรา ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะซัลลัม ถือว่าชีวิตมนุษย์ทั้งหมดนั้น ไม่อาจจะล่วงละเมิดได้

อัล กุรอานกล่าวถึงการห้ามฆ่าไว้ความว่า “…และอย่าฆ่าชีวิตที่อัลลอฮฺทรงห้ามไว้ นอกจากด้วยสิทธิอันชอบธรรมเท่านั้น นั่นแหละ ที่พระองค์ได้ทรงสั่งเสียมันไว้แก่พวกเจ้า เพื่อว่าพวกเจ้าจะใช้ปัญญา ” อัล อันอาม 151 และอัลลอฮฺได้กล่าวไว้ในอัล กุรอานอีกว่า “และพวกเจ้าอย่าฆ่าชีวิตที่อัลลอฮฺทรงห้ามไว้ เว้นแต่ด้วยความเที่ยงธรรม และผู้ใดถูกฆ่าอย่างอยุติธรรม ดังนั้น เราได้ให้อำนาจแก่ผู้ปกครองของเขา ฉะนั้น อย่าได้ล่วงเกินขอบเขตในเรื่องการฆ่า แท้จริงเขา (ผู้ถูกอธรรม) จะได้รับความช่วยเหลือ” อัลอิสรออฺ 33 จากคำกล่าวของอัล กุรอาน การฆ่าคนใดคนหนึ่ง โดยปราศจากสาเหตุที่เที่ยงธรรม ถือว่าเป็นบาปใหญ่ ประหนึ่งว่าเป็นการฆ่ามนุษย์ทั้งมวล และการไว้ชีวิตหนึ่งชีวิตใดนั้น ถือว่าเป็นการกระทำที่ดี ประหนึ่งว่าเป็นการไว้ชีวิตมนุษย์ทั้งมวล (ดู ซูเราะฮฺ อัล มาอิดะฮฺ 32)

อย่างไรก็ตาม คำถามของคุณนั้นมีเหตุผล ถ้าเช่นนั้นแล้วเหตุใดในอัลกุรอาน จึงกล่าวว่า“และจงประหัตประหารพวกเขา ณ ที่ใดก็ตามที่พวกเจ้าพบพวกเขา” ซึ่งกล่าวไว้ใน ซูเราะฮฺ อัล บะเกาะเราะฮฺ อายะฮฺที่ 191 และซูเราะฮฺ อัน นิซาอฺ อายะฮฺที่ 89 คำตอบง่ายๆ ก็คือ คุณจะต้องอ่านอายะฮฺเหล่านี้ ตามบริบทของใจความ และประวัติศาสตร์ของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น คุณควรจะอ่านให้หมดทั้งอายะฮฺ และให้อ่านอายะฮฺที่อยู่ก่อนหน้า และอายะฮฺที่อยู่ถัดไป นอกจากนั้นคุณจะต้องอ่านให้ครบใจความจากที่กล่าวไว้

“และพวกเจ้าจงต่อสู้ในหนทางของอัลลอฮฺ ต่อบรรดาผู้ที่ทำร้ายพวกเจ้า และจงอย่ารุกราน แท้จริง อัลลอฮฺไม่ทรงชอบบรรดาผู้รุกราน,และจงประหัตประหารพวกเขา ณ ที่ใดก็ตาม ที่พวกเจ้าพบพวกเขา และจงขับไล่พวกเขา ออกจากทีที่พวกเขาเคยขับไล่พวกเจ้าออก และการก่อความวุ่นวายนั้น ร้ายแรงยิ่งกว่าการประหัตประหารเสียอีก และจงอย่าสู้รบกับพวกเขา ณ มัสญิด อัลหะรอม จนกว่าพวกเขาจะทำร้ายพวกเจ้าในที่นั้น หากพวกเขาทำร้ายพวกเจ้าแล้ว ก็จงประหัตประหารพวกเขาเสีย เช่นนั้นแหละคือการตอบแทนแก่ผู้ปฏิเสธศรัทธา,และถ้าหากพวกเขายุติ แน่นอน อัลลอฮฺนั้นเป็นผู้ทรงอภัยโทษ ผู้ทรงเมตตาเสมอ,และจงสู้รบกับพวกเขา จนกว่าการก่อความวุ่นวายจะไม่ปรากฏขึ้น และจนกว่าการอิบาดะฮฺ ทั้งหลาย จะเป็นสิทธิของอัลลอฮฺเท่านั้น แต่ถ้าพวกเขายุติ ก็ย่อมไม่มีการเป็นปฏิปักษ์ใดๆ นอกจากแก่บรรดาผู้อธรรมเท่านั้น,เดือนที่ต้องห้ามนั้น ก็ด้วยเดือนที่ต้องห้าม และบรรดาสิ่งจำเป็นต้องเคารพนั้น ก็ย่อมมีการตอบโต้เยี่ยงเดียวกัน ดังนั้น ผู้ใดละเมิดต่อพวกเจ้า และพึงยำเกรงอัลลอฮฺเถิด และจงรู้ไว้ด้วยว่า แท้จริงอัลลอฮฺนั้นทรงอยู่กับบรรดาผู้ยำเกรงทั้งหลาย” อัล บะเกาะเราะฮฺ 190-194

สำหรับอายะฮฺที่สอง ที่คุณหยิบยกขึ้นมา ก็จะต้องอ่านมันทั้งหมดเช่นกัน

“พวกเขาชอบหากว่า พวกเจ้าปฏิเสธศรัทธา ดังที่พวกเขาได้ปฏิเสธ พวกเจ้าจะได้กลายเป็นผู้ที่เท่าเทียมกัน ดังนั้น จงอย่าได้ยึดเอาในหมู่พวกเขาเป็นมิตร จนกว่าพวกเขาจะอพยพไปในทางของอัลลอฮฺ แต่ถ้าพวกเขาผินหลังให้ ก็จงเอาพวกเขาไว้ และจงฆ่าพวกเขา ณ ที่ที่พวกเจ้าพบพวกเขา และจงอย่าเอาใครในหมู่พวกเขา เป็นมิตรและเป็นผู้ช่วยเหลือ,นอกจากบรรดาผู้ที่ติดต่ออยู่ กับพวกหนึ่ง ซึ่งระหว่างพวกเจ้ากับพวกนั้น มีพันธสัญญาอยู่หรือบรรดาผู้ที่มาหาพวกเจ้า โดยที่หัวอกของพวกเขาอัดอั้น ต่อการที่พวกเขาจะสู้รบกับพวกเจ้า หรือสู้รบกับหมู่ชนของพวกเขาเอง และหากว่าอัลลอฮฺทรงประสงค์แล้ว แน่นอนก็ทรงให้พวกเขามีอำนาจเหนือพวกเจ้าแล้ว แล้วแน่นอนพวกเขาก็สู้รบกับพวกเจ้าแล้วด้วย แต่ถ้าพวกเขาออกห่างพวกเจ้า โดยที่มิได้ทำการสู้รบกับพวกเจ้า และได้เจรจาแก่พวกเจ้า ซึ่งการประนีประนอมแล้วไซร้ อัลลอฮฺก้ไม่ทรงให้มีทางใดแก่พวกเจ้า ที่จะขจัดพวกเขาได้,พวกเจ้าจะพบพวกอื่นอีก โดยพวกเขาปรารถนาที่จะปลอดภัยจากพวกเจ้า และปลอดภัยจากพวกเขาเอง คราใดที่พวกเขาถูกให้กลับไปสู่ฟิตนะฮฺ พวกเขาก็ถูกให้กลับไปอยู่ในนั้นตามเดิม ดังนั้น ถ้าพวกเขามิได้ออกห่างจากพวกเจ้าไป และมิได้เจรจาแก่พวกเจ้า ซึ่งการประนีประนอม และมิได้ระงับมือของพวกเขาแล้ว ก็จงเอาพวกเขาไว้ และจงฆ่าพวกเขา ณ ที่ที่พวกเจ้าพบพวกเขา และชนเหล่านี้แหละ เราได้ให้มีอำนาจอันชัดเจนแก่พวกเจ้า ที่จะขจัดพวกเขาได้” อัน นิซาอฺ 89-91

ตอนนี้คุณลองบอกผม อย่างสัตย์จริงสิว่า อายะฮฺเหล่านี้ อนุญาตให้มีการฆ่าใครที่ไหนได้อย่างอิสระหรือไม่? อายะฮฺเหล่านี้ อัลลอฮฺประทานลงมายังท่านนะบีมุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะซัลลัม ในช่วงเวลาที่มุสลิมถูกโจมตี จากฝ่ายมุชริกีน (ผู้ตั้งภาคีต่ออัลลอฮฺ) ในเมืองมักกะฮฺอยู่เป็นประจำ พวกเขาสร้างความหวาดกลัวให้กับมุสลิม ที่อยู่ในมะดีนะฮฺ บางคนอาจเรียกโดยใช้ศัพท์ร่วมสมัยว่า พวกเขาคือผู้ก่อการร้ายที่เข้าโจมตีมะดีนะฮฺ และเหตุการณ์ครั้งนี้ มุสลิมได้รับการอนุญาตให้ตอบโต้ผู้ก่อการร้ายกลับไป อายะฮฺเหล่านี้ มิได้อนุญาตให้มีการก่อการร้าย แต่เป็นการเตือนผู้ก่อการร้าย กระนั้นก็ตาม ในคำเตือนเหล่านี้ คุณจะเห็นว่ามีการเน้นย้ำ ในเรื่องขอบเขต และให้มีความระมัดระวังในการต่อสู้

จำเป็นอย่างยิ่ง ที่เราต้องศึกษาตัวบทศาสนาในบริบทที่เหมาะสม เมื่อตัวบทเหล่านี้ ไม่ถูกอ่านในบริบทตามนัยยะของเนื้อหา และที่มาที่ไปอย่างถูกต้อง มันก็จะถูกดัดแปลงและบิดเบือน เป็นความจริงที่มุสลิมบางคน ได้ดัดแปลงอายะฮฺเหล่านี้ เพื่อจุดประสงค์บางอย่างของพวกเขา แต่เรื่องทำนองนี้มิได้มีเพียงแค่ในตัวบทของอิสลามเท่านั้น ความจริงแล้วมีอยู่ในตัวบทของศาสนาอื่นด้วย ผมจะยกตัวบทเพียงส่วนหนึ่งจากคัมภีร์ไบเบิ้ล ที่ปรากฎเรื่องความรุนแรงอย่างยิ่ง ถ้าจะหยิบยกจากบริบทในแง่ประวัติศาสตร์ หลักคำสอนในคัมภีร์ไบเบิ้ล เคยถูกนำไปใช้โดยชาวยิวและคริสเตียนหัวรุนแรงกลุ่มต่างๆ นักรบครูเสดใช้ตัวบทที่มีอยู่ในไบเบิ้ล ต่อต้านมุสลิมและชาวยิว พวกนาซีก็เคยใช้อ้างเพื่อจัดการกับชาวยิว เมื่อไม่นานมานี้เอง คริสเตียนเซอร์เบียก็ใช้เพื่อจัดการกับมุสลิมบอสเนีย และไซออนิสต์ก็ใช้กับชาวปาเลสไตน์

ผมจะลองหยิบยกมาเพียงบางส่วนจากพันธะสัญญาเก่า และพันธะสัญญาใหม่ แล้วคุณบอกผมสิว่าคุณคิดอย่างไร

“เมื่อพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่านทั้งหลายจะทรงพาท่านเข้าในแผ่นดิน ซึ่งท่านทั้งหลายกำลังจะเข้ายึดครอง และกวาดไล่ประชาชาติหลายชาติให้ออกไปพ้นท่าน คือคนฮิตไทต์ คนเกอร์กาชี คนอาโมไรต์ คนคานาอัน คนเปริสซี คนฮีไวต์ และคนเยบุสเป็นเจ็ดประชาชาติ ซึ่งใหญ่โตกว่าและมีกำลังมากกว่าท่าน,และเมื่อพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่านจะทรงมอบเขาทั้งหลายไว้ในมือของท่านและท่านจะตีเขาให้พ่ายแพ้ไปนั้น พวกท่านต้องทำลายเขาให้สิ้นทีเดียว อย่าได้กระทำพันธสัญญาใดๆกับเขาเลย และอย่ามีความเมตตาต่อเขาด้วย” [Deuteronomy 7:1-2]

"เมื่อพวกท่านเข้าไปใกล้เมือง ซึ่งท่านจะไปสู้รบนั้น จงเสนอหลักสันติภาพแก่เมืองนั้นก่อน,ถ้าเขาตอบท่านอย่างสันติและเปิดประตูเมืองให้แก่ท่าน ก็ให้ประชาชนทั้งปวงที่พบอยู่ในเมืองนั้นทำงานโยธา ให้แก่ท่านและปรนนิบัติท่าน,ถ้าเมืองนั้นไม่ร่วมสันติกับท่าน แต่กลับออกมารบ ก็ให้ท่านเข้าล้อมตีเมืองนั้นได้,เมื่อพระเยโฮวาห์พระเจ้า ประทานเมืองนั้นไว้ในมือท่านแล้ว ท่านจงฆ่าชายทุกคนเสียด้วยคมดาบ,แต่ผู้หญิงและเด็ก สัตว์และทุกสิ่งในเมืองนั้น คือของที่ริบไว้ทั้งหมดท่านจงยึดเอาเป็นของตัว ท่านจงอิ่มใจในของที่ริบมาจากศัตรูของท่าน ซึ่งพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่านประทานแก่ท่าน,ท่านทั้งหลายจงกระทำเช่นนี้แก่ทุกหัวเมือง ที่อยู่ไกลจากท่าน ซึ่งไม่ใช่หัวเมืองของประชาชาติใกล้ๆนี้,แต่ในหัวเมืองของชนชาติทั้งหลายนี้ ซึ่งพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่าน ประทานแก่ท่านเป็นมรดก ท่านอย่าไว้ชีวิตสิ่งใดๆที่หายใจได้เลย ,แต่จงทำลายเขาเสียให้สิ้นเชิง คือคนฮิตไทต์ คนอาโมไรต์ คนคานาอัน คนเปริสซี คนฮีไวต์ และคนเยบุส ดังที่พระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่านทรงบัญชาไว้ [Deuteronomy 20:10-17]

ฉะนั้น บัดนี้จงประหารชีวิตเด็กผู้ชายเสียทุกคน และประหารชีวิตผู้หญิง ซึ่งได้เคยนอนร่วมกับชายเสียทุกคน,แต่จงไว้ชีวิตเด็กผู้หญิงที่ยังไม่เคยนอนร่วมกับชายไว้สำหรับท่านทั้งหลายเอง [Numbers 31:17-18]

แม้แต่ในพันธะสัญญาใหม่ เราอ่านข้อความที่เป็นคำพูดของพระเยซู (Jesus) ซึ่งกล่าวกับสาวกของท่านว่า

“เราบอกเจ้าทั้งหลายว่า ทุกคนที่มีอยู่แล้วจะเพิ่มเติมให้เขาอีก แต่ผู้ที่ไม่มี แม้ว่าซึ่งเขามีอยู่นั้น จะต้องเอาไปจากเขา,ฝ่ายพวกศัตรูของเราที่ไม่ต้องการให้เราครอบครองเขานั้น จงพาเขามาที่นี่ และฆ่าเสียต่อหน้าเรา” [Luke19:26-27]