Skip to main content
 
 

ตั้งเป้าหมายให้สูง ในเดือนที่อุดมด้วยผลบุญ

เดือนรอมฏอนเป็นเดือนแห่งการดุอาขอพรจากพระองค์ ทั้งขอพรจากพระองค์และทั้งปรารถนาพระองค์

จะมีสักกี่คนที่รู้ว่า "ดุอาสะฮัร" นั้นเป็นโอกาสทองที่ทรงคุณค่าเพียงใด เป็นขุมทรัพย์ที่มีค่าเพียงใด มนุษย์สามารถวอนขอความเจิดจรัสจากความเจิดจรัสสูงสุดของอัลลอฮ์

วอนขอความงดงามจากความงดงามสูงสุดของอัลลอฮ์ วอนขอความเกรียงไกรจากความเกรียงไกรเลิศล้ำของอัลลอฮ์ได้ด้วยดุอานี้

ประโยคต่างๆของดุอานี้ประกอบด้วยการวอนขอ และการบนบานสานกล่าว ดังปรากฎในดุอาว่า...

"โอ้อัลลอฮ์ ข้าฯขอความเกรียงไกรจากพระองค์ ด้วยเกียรติของความเกรียงไกรอันเลิศล้ำของพระองค์ และแน่นอนว่าทุกความเกรียงไกรของพระองค์นั้นเลิศล้ำยิ่ง โอ้อัลลอฮ์ ข้าฯวอนขอจากพระองค์ ด้วยเกียรติของความเกรียงไกรทั้งมวลที่พระองค์มี"

จะเห็นได้ว่าในดุอานี้ เราบนบานสานกล่าวขอให้พระองค์นำเราเข้าสู่ความเกรียงไกรของพระองค์ ซึ่งไม่ไช่เพียงแค่ความเกรียงไกรธรรมดา แต่เป็น "อะญัลลิฮี" หรือความเกรียงไกรเลิศล้ำที่สุดของพระองค์

และที่สำคัญ บทดุอานี้ใช้ขอพรวิงวอนอัลลอฮ์ในช่วง "สะฮัร" (หรือยามย่ำรุ่งก่อนเริ่มถือศีลอด ซึ่งแน่นอนว่าเป็นช่วงเวลาที่ศักดิ์สิทธิที่สุดของช่วงวัน /ผู้แปล)

ประโยคการวิงวอนเช่นนี้ปรากฏในบทขอพรของท่านนบีเมื่อครั้งที่ท่านจะทำการมุบาฮะละฮ์กับผู้ที่ท้าทายท่านเช่นกัน นอกจากนี้ ยังมีปรากฎในดุอาประจำวันของเดือนรอมฏอนอีกด้วย

ความยิ่งใหญ่ลึกล้ำเชิงเนื้อหาของการวิงวอนดุอาเช่นนี้ แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า เดือนรอมฏอนเป็นเดือนที่อุดมไปด้วยขุมทรัพย์ทางจิตวิญญาณและผลบุญจากอัลลอฮ์ที่มากมายมหาศาลเพียงใด
 

 

ดุอาคือ "กุรอานที่ลอยขึ้นสู่เบื้องบน"

 

จริงๆแล้ว ดุอาก็เปรียบได้กับกุรอานที่ลอยขึ้นเบื้องบน (กุรอานโดยปกติคือพระดำรัสของอัลลอฮ์ที่ประทานสู่เบื้องล่าง)  การเปรียบเปรยเช่นนี้เป็นการเปรียบเปรยของครูบาอาจารย์ด้านศีลธรรมขั้นสูง ท่านเหล่านั้นสอนสั่งกันมาหลายชั่วอายุ จนสามารถกล่าวได้ว่า ประโยคดังกล่าวนับเป็นคติพจน์ของเหล่านักเดินทางสู่เส้นทางแห่งการรู้จักพระเจ้า

ดุอาเหล่านี้แหล่ะ ที่จะเป็นตัวชี้วัดความมั่งคั่งที่เราจะได้รับจากเดือนรอมฏอน

ฉะนั้น หนทางสู่อัลลอฮ์เป็นหนทางที่เปิดกว้างสำหรับทุกคน

แม้หนทางของการเป็นร่อซูล การเป็นนบี การเป็นอิมาม จะมิได้เปิดกว้างสำหรับทุกคน แต่อย่าลืมว่า หนทางแห่งวิลายะฮ์ (ความเสน่หาสู่อัลลอฮ์ตามครรลองของนบีและวงศ์วาน) นั้น เปิดกว้างเสมอสำหรับทุกคน จวบจนวันกิยามะฮ์

อัลลอฮ์ซึ่งพระองค์เองทรงเป็น "วะลี" (والله هو الولیّ) พระองค์ทรงเรียกร้องและเฟ้นหาผู้ปรารถนาจะเป็น "ภาพลักษณ์" ของพระองค์บนหน้าแผ่นดิน

ฉะนั้น การเป็นวะลียุลลอฮ์ (กัลยาณมิตรของอัลลอฮ์) จึงยังเปิดกว้างเสมอสำหรับผู้ปรารถนา และเส้นทางนี้จะไม่ถูกปิดตายอย่างแน่นอน

ส่วนเส้นทางที่รับเฉพาะผู้ที่เกี่ยวข้องก็คือ เส้นทางแห่งการเป็นนบี (ศาสดา) และอิมาม (ผู้นำอันดำเนินรอยศาสดาในทุกมิติ)

ทั้งนี้ก็เพราะอัลลอฮ์ทรงตรัสไว้ในอัลกุรอานว่า الله اعلم حیث یجعل رسالته (อัลลอฮ์ทรงทราบดีที่สุดในการเฟ้นหาสำหรับภารกิจแห่งศาสนทูต)

ที่ขอเน้นย้ำว่าเส้นทางสู่การเป็นวะลียุลลอฮ์ยังเปิดเสมอนั้น ก็เพื่อจะกระตุ้นให้พวกเราทุกคนตั้งเป้าหมายชีวิตให้สูงเข้าไว้ !

 

 
ช่วงต้นของดุอาอบูฮัมซะฮ์ ษุมาลีย์ ได้มีการกล่าววิงวอนอัลลอฮ์ว่า

"ข้าฯจะพบความดีงามใดได้เล่า นอกจาก ณ พระองค์เท่านั้น
และข้าฯ จะพบทางรอดปลอดภัยได้อย่างไร ในเมื่อไม่เหลือทางรอดใดนอกจากทางของพระองค์

แม้แต่ผู้ประพฤติดีเองก็ไม่อาจจะประคองตนในความดีได้โดยปราศจากการช่วยเหลือและความเมตตาของพระองค์
และไม่มีคนที่ประพฤติชั่วคนใดที่สามารถหลุดพ้นจากอาณาจักรพลานุภาพของพระองค์ได้"

เป็นการเอ่ยขอเสมือนจะกล่าวว่า โอ้ อัลลอฮ์ คนที่มั่งมีนั้น จะมีใครอื่นใดประทานให้พวกเขานอกจากพระองค์ ซึ่งเป็นประโยคการวอนขอในลักษณะที่แขกรับเชิญขอจากเจ้าภาพงานเลี้ยง

และแน่นอนว่า เจ้าภาพย่อมรับฟังอย่างไม่ต้องสงสัย

ช่วงต้นของดุอาอิฟติตาห์ สังเกตุจากเนื้อหาแล้วก็ทำให้รู้ว่าครูบาทางศีลธรรมของเราเน้นให้เรายกเหตุผลขึ้นเพื่อผูกมัดความเมตตาจากพระองค์ ดังท่อนหนึ่งที่กล่าวว่า

โอ้ อัลลอฮ์ พระองค์ทรงอนุญาตให้ข้าพระองค์วิงวอนขอดุอาจากพระองค์
ฉะนั้น ขอพระองค์ทรงสดับฟัง โอ้ ผู้ทรงสดับฟังคำสรรเสริญของข้าฯ

ทั้งช่วงต้นของดุอาอบูฮัมซะฮ์ ษุมาลีย์ และทั้งช่วงต้นของดุอาอิฟติตาห์ ต่างก็มีกลิ่นอายของการยกเหตุผลมาผูกมัดความเมตตาของพระองค์ทั้งสิ้น

นี่แหล่ะที่เขาเรียกว่า "ดะล้าล" หรือ การออดอ้อนฉอเลาะ

 

การ"ออดอ้อนฉอเลาะของบ่าว" ที่ปรากฎอยู่ในบทดุอา

 

ดังที่ปรากฎในดุอาอิฟติตาห์ว่า "มุดิลัน อะลัยกะ" อันหมายถึง การที่เราออดอ้อนฉอเลาะพระองค์

ลักษณะการดุอาเช่นนี้ปรากฎในเดือนอื่นเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ดุอาเหล่านี้สอนวิธีออดอ้อนฉอเลาะอัลลอฮ์แก่เรา

แน่นอนว่า ตามปกติ หากใครก็ตามพยายามออดอ้อนฉอเลาะคนรักของตน เขาก็ย่อมจะทำตัวให้อ่อนหวานและน่ารักให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้

และแน่นอนว่า เขาไม่กลัวที่จะสนทนากับผู้เป็นที่รัก

เขาจะเอ่ยเอื้อนต่อไปว่า โอ้อัลลอฮ์ หากพระองค์ต้องการจะแฉพฤติกรรมของข้าฯโดยคำว่า "ทำไมเจ้าจึงทำบาปเล่า?" ข้าฯก็จะกู่ร้องให้สุดเสียงจากก้นขุมนรกว่า "ทำไมพระองค์ไม่อภัยแก่เหล่าข้าพระองค์เล่า?"

สำนวนแบบนี้เป็นสำนวนของผู้เป็นแขกรับเชิญเท่านั้นที่จะกล้าเอ่ยประโยคเหล่านี้กับเจ้าภาพงานเลี้ยง

เหล่านี้คือตัวอย่างของเส้นทางที่พระองค์ทรงกรุณาเปิดทางและให้อนุญาตแก่เรา(เป็นพิเศษ)

นอกจากเส้นทางเฉพาะของนุบูวะฮ์และอิมามะฮ์ (สถานภาพศาสดาและอิมาม) ที่เป็นเส้นทางเฉพาะแล้ว

ในเส้นทางแห่งการเป็นวะลียุลลอฮ์ มนุษย์เราสามารถจะไต่ระดับขึ้นสูงเพียงใดก็เชิญ ไม่มีการปิดกั้นแต่อย่างใด

อยากเป็นอย่างท่านซัลมานก็เชิญ อย่างเป็นถึงขั้นท่านอบูซัรก็เชิญเลย หรือหากอยากจะไต่ระดับขึ้นสูงกว่านั้นก็ทางสะดวก

และพาหนะของเราก็คือดุอาเหล่านี้รวมถึงการเข้าถึงแก่นของดุอาเหล่านี้

ถอดความจากคำบรรยายของอายะตุลลอฮ์ อัลอุซมา เชคอับดุลลอฮ์ ญะวาดี ออโมลี

แปลและเรียบเรียงโดย อิบนุ อิลยาส