Skip to main content

 

การจัดทำพื้นที่ปลอดภัย (Safety Zone): บทเรียนจากกรณีอาเจะห์และฟิลิปปินส์[1]

 

สุวรา แก้วนุ้ย อาจารย์นักวิจัย

สถานวิจัยความขัดแย้งและความหลากหลายทางวัฒนธรรมภาคใต้

 

มุมมองต่อคำว่า พื้นที่ปลอดภัย (Safety Zone)

การใช้คำว่าพื้นที่หรือเขตปลอดภัยใช้กันหลากหลายคำ ไม่ว่าจะเป็น peace zones, safe zones, demilitarized zones, protected zones ขึ้นอยู่กับการนิยามในแต่ละบริบทตามเป้าหมายและความเหมาะสมในแต่ละพื้นที่ สำหรับมุมมองในแต่ละพื้นที่มีดังนี้

แนวทางการจัดทำพื้นที่ปลอดภัยในอาเจะห์ ดำเนินไปโดยใช้คำว่า “เขตสันติภาพ (peace zone)” ซึ่งการจัดทำเขตสันติภาพนั้นเป็นส่วนหนึ่งของข้อตกลงหยุดยิง เพื่อให้แน่ใจว่าในพื้นที่ที่มีการกำหนดข้อตกหยุดยิงเป็นพื้นที่ปลอดทหาร นอกจากนี้จะเน้นการทำงานเพื่อปูทางสำหรับการช่วยเหลือคุ้มครอง ด้านมนุษยธรรมและการฟื้นฟูด้านต่างๆ ในพื้นที่

ในส่วนของประเทศฟิลิปปินส์ การดำเนินงานริเริ่มโดยภาคประชาสังคม (CSOs) และกลุ่มผู้นำศาสนา โดยมีการดำเนินโครงการที่นำปสู่การกำหนดพื้นที่ในระดับหมู่บ้านที่จะเข้าร่วมใน "เขตสันติภาพ" ในการประกาศพื้นที่ "เขตสันติภาพ" มีเป้าหมายหมายหลักเพื่อพยายามกดดันคู่ขัดแย้งให้หาทางออกทางการเมืองร่วมกันแทนการใช้ความรุนแรง

สำหรับการจัดทำพื้นที่ปลอดภัยในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้/ ปาตานี จะเน้นไปที่การลดความรุนแรงที่เกิดขึ้นในพื้นที่ เพื่อสร้างสภาพความเป็นอยู่ที่ปลอดภัย และเป็นมาตรการที่ช่วยเพิ่มความเชื่อมั่นของผู้คนในสังคม รวมถึงทุกฝ่ายที่มีความเกี่ยวข้องกับการพูดคุยสันติภาพ/สันติสุขด้วย

 

ปัจจัยที่มีผลต่อความสำเร็จในการจัดทำพื้นที่ปลอดภัย

1.       การให้นิยามความหมายของคำว่าพื้นที่ปลอดภัย/ เขตปลอดภัย ช่วงเวลา สถานที่ พื้นที่ เป้าหมาย ต้องเป็นที่ชัดเจน โดยคู่ขัดแย้งต้องมององค์ประกอบเหล่านี้ไปในทางเดียวกัน

2.       ทีมเจรจาที่เข้าไปเป็นตัวแทนของคาขัดแย้ง ต้องเป็นตัวแทนอย่างแท้จริง รวมถึงต้องเป็นตัวแทนที่ครอบคลุมทุกฝ่ายของความขัดแย้ง

3.       แต่ละฝ่ายที่เข้าร่วมการจัดทำพื้นที่ปลอดภัยสามารถควบคุมกองกำลังติดอาวุธได้ เนื่องจากข้อตกลงบางประการที่เกิดขึ้นจะมีความเชื่อมโยงไปยังกองกำลัง

4.       ข้อตกลงในการจัดทำพื้นที่ปลอดภัยดังกล่าว ต้องได้รับการสนับสนุนและการยอมรับจากประชาชนในพื้นที่ รวมถึงกลุ่มผลประโยชนางการเมือง และกลุ่มต่างๆ ที่สำคัญอย่างกว้างขวาง

5.       Party A และ Party B ควรมีแรงจูงใจ หรือความต้องการที่เข้าร่วมการจัดทำพื้นที่ปลอดภัยเหมือนกันหรือไปในทางเดียวกัน ซึ่งหากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งมีวาระซ่อนเร้นในการเข้าร่วมการทำงานด้วยกันก็มีความยากที่จะเกิดผลสำเร็จ

6.       ทุกฝ่ายต้องมีความไว้วางใจ และเชื่อมั่นต่อการการพัฒนาวาระในการจัดทำพื้นที่ปลอดภัยดังกล่าวร่วมกัน

การมีส่วนร่วมของประชาชนในการจัดทำพื้นที่ปลอดภัย

1.       ประชาชนทุกกลุ่ม ทุกฝ่ายต้องเข้ามามีส่วนร่วมและสนับสนุนในกระบวนการทำงาน และมีการสร้างเครือข่ายที่เชื่อมต่อกับฝ่ายต่างๆ ที่มีอิทธิพลต่อการดำเนินงานได้

2.       ทุกฝ่ายต้องมีความรู้สึกร่วมกับการเรื่องความปลอดภัยเหมือนกัน ทั้งในมุมมองของความหมาย การรักษาความปลอดภัย และวิสัยทัศน์อื่นๆ ในการทำงานเพื่อสันติภาพ

3.       การพัฒนาศักยภาพ และการเสริมพลังของประชาชนในพื้นที่ โดย:

·       การติดตามประเมินผล: วิธีการตรวจสอบการทำงานของประชาชนในเขตพื้นที่ปลอดภั

·       กระบวนการและขั้นตอนในการสร้างและการกำหนดเขตพื้นที่ปลอดภัย

·       การเตือนภัย / การตอบสนองเมื่อมีปัญหาในเขตพื้นที่

·       การควบคุมข่าวลือต่างๆ

·       หลักการสื่อสารกับทุกฝ่าย

·       การตรวจสอบ ตรวจทานข้อมูลและการรายงาน

·       หลักการรักษาความปลอดภัย

·       หลักการป้องกันพลเรือนที่ปราศจากอาวุธ

4.       การจัดตั้งชุดการทำงานเพื่อติดตามตรวจสอบการคุ้มครองพลเรือน (CPM) หรือการคุ้มครองพลเรือนปราศจากอาวุธ (UCP)

5.       การออกกฎข้อบังคับ/ คำสั่งที่เป็นบทลงโทษ ต่อการใช้ความรุนแรงกับประชาชนในเขตพื้นที่ปลอดภัย เพื่อเพิ่มความปลอดภัยและการรักษาความปลอดภัย

6.       วิธีการหลักในการเข้ามีส่วนร่วม คือ การร่วมเป็นผู้สังเกตการณ์ การช่วยประสานงาน และการอำนวยความสะดวกด้านต่างๆ และการช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมในพ้นที่

 

กิจกรรมของภาคประชาชนที่สนับสนุนงานพื้นที่ปลอดภัย

1.       การติดตามตรวจสอบการดำเนินงานภายในเขตพื้นที่ปลอดภัย

2.       การวางระบบเตือนภัย/ เตือนเหตุการณ์ล่วงหน้า

3.       การดำเนินมาตรการสร้างความเชื่อมั่น ผ่านการปฏิสัมพันธ์ในชีวิตประจำวัน การร่วมประสานงาน และการสร้างความร่วมมือระหว่างส่วนต่างๆ

4.       การสนับสนุนและผลักดันการดำเนินงานด้านต่างๆ ของกระบวนการสันติภาพ เช่น การฝึกอบรมประเด็นสิทธิมนุษยชน เป็นต้น

5.       การทำงาน/ดำเนินการตอบสนองกับกลุ่มกองกำลังติดอาวุธ:

·       การดำเนินการในทันทีและการประสานงาน

·       การประเมินสถานการณ์ที่เดขึ้น และสร้างช่องทางการติดต่อกับผู้นำของกองกำลังติดอาวุธ

·       การเจรจาเพื่อการหยุดยิง

·       การช่วยอพยพประชาชนที่ได้รับผลกระทบ

·       การช่วยในการอพยพผู้ที่ได้รับบาดเจ็บ

6.       การเฝ้าระวัง ติดตามตรวจสอบและประเมินผลช่วงหลังความขัดแย้ง

7.       การเป็นส่วนประสานงาน และสนับสนุนการดำเนินงานของโปรแกรมการฟื้นฟูสมรรถภาพและโครงการฟื้นฟูด้านต่างๆ ในพื้นที่



[1] สรุปข้อมูลจาก Delsy Ronnie วิทยากรของ Nonviolent Peaceforce ที่นำเสนอเรื่อง How to Build Effective Safety Zone: A Lesson Learned  from Aceh and the Philippines ในการประชุมวันที่ 22 กรกฎาคม 2559 ณ ห้องประชุมศูนย์เฝ้าระวังสถานการณ์ภาคใต้ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี