Skip to main content

 

เรื่องเล่าจากเจนีวา ตอนที่ 1 "...kamu dari malaysia...."

 

อารีด้า สาเม๊าะ

 

 

หลังจากเดินทางมาอย่างต่อเนื่อง 15 ชั่วโมง เอาตัวเองมาเจนีวาคนเดียวจนได้ แต่เนื่องจากชอบถือพาสปอร์ตหร่า โชว์ชัดว่ามาจากไทย เลยมีคนไทยมาทักและใจดีมากๆพามาส่งถึงโรงแรมอย่างปลอดภัย และได้ยลความนุ่มของเตียงในเวลาต่อมา

หลังจากหลับยาวๆได้พักใหญ่ ก็ตกใจตื่น ดูนาฬิกาแล้วต้องตาโตกว่าปกติสิบเท่า เพราะนาฬิการะบุเวลา จะสิบโมงแล้ว ตายๆๆๆๆๆ สายแล้ว สายแล้ว ไม่น่าเลย คลำโทรศัพท์เพื่อดูเวลาอีกรอบเผื่อฝันไป โธ่เอ้ยยยยยย กูดูเวลาประเทศไทย ตอนนี้เจนีวายังไม่ตี 5 เลย หายใจโล่งสักพักก็ตัดสินใจตื่น ...ตื่นเช้าในเวลาประเทศสวิส 05.30 น. ดูดีในครั้งแรกที่ได้ยิน แต่เมื่อเทียบแล้วมันคือตอนเที่ยงของเวลาประเทศไทยเลยทีเดียว ตื่นขึ้นมาจัดการตัว. อาบน้ำ แต่งตัวและละหมาดเสร็จ คงจะเริ่มหิว ดูนาฬิกา อืม 6.30 น. คือห้องอาหารเช้าเปิดแล้ว เขามาคนแรก เราก็สนุกจริงๆ "good morning" ใส่พนักงานก่อนเลย ร่ายสายตามาสักพัก มีแต่ขนมปังและผลไม้ ไปมั่วๆตรงเครื่องทำกาแฟอัตโนมัติ ไม่มีคำไหนที่เป็นภาษาอังกฤษเลย แต่อยากกินช๊อตโกแลต เลยพยายามกดตรงอะไรสักอย่าง สักพักก็บังเกิดความฉงน เมื่อแก้วน้ำอยู่อีกที่นึง. น้ำร้อนออกมาอีกที่นึง จนพนักงานมาช่วยกดให้แล้วพูดภาษาเขาอะไรสักอย่างและชี้ไปที่ช๊อกโกเเลต ทำหน้างงๆสักพักก็เข้าใจอ่อ ช๊อคโกแลคร้อนที่ว่า คือนมร้อนจากเครื่องแล้วต่อด้วยเทผงเอาเอง โอเคคะ ได้ละ1 อย่างที่อย่าง

หาอะไรกินเสร็จ. มีคนหลายคนเข้ามาในห้องอาหาร และเรื่องบังเกิดตรงที่ว่ามีเสียงจากข้างหลังแว่วๆมา. ไม่ใช่ภาษาอังกฤษ ไม่ใช่ภาษาไทยแต่ฉันรู้แน่ว่าเขาพูดกับฉัน

"....kamu dari malaysia..." ต้นเสียงคือชายวัยกลางคน สวมแว่นตา หน้าตาจีนแต่พูดมาเลย์ได้ ฉันก็ส่ายหน้าควักๆแล้วตอบว่า "...saya dari south thailand ..." และเขาทำหน้าอึ้งๆแล้วก็ต่อบทสนทนากันต่อจนฝรั่งคงจะงง ว่าทำไมไม่นั่งด้วยกันถ้าจะคุยไรงี้ คุยข้ามโต๊ะกันเลยทีเดียว คุยไปมาจนรู้ว่า มาประชุมเหมือนกันแต่คนละที่ สักพักก็หันหลังกินขนมปังต่อไปจนหมดหนึ่งชิ้นเอง

และสักพัก เหมือนจะตอกย้ำอะไรบางอย่าง อยู่ๆชายหนุ่มหน้าอาเซียนอีกคน เดินตรงเข้ามาแล้วทักทาย "อัสลามูอาลัยกุม" แต่ต่างตรงที่เขาใส่ด้วยภาษาอังกฤษ "are you malaysian?" กลืนขนมปังในปากดังอึก พร้อมตอบสั้นๆว่า "South thailand" สักพักเขาก็พยักหน้า และฉันถามกลับว่า "and you?" " I am from malaysia" เลยหันไปทางคนเเรกที่ทัก เเละบอกคนหนุ่มกว่าว่า " He also from malaysia" แล้วสองคนนั้นก็คุยกัน และมีพาดพิงกลับมาว่า นี่ๆสาวนั้นมาคนเดียวนะ อยู่ตั้งอาทิตย์แหน่ะ และฉันก็ยิ้มๆและทำท่าจะกลับห้องละ ลุกขึ้นยืน แล้วไปกล่าวลาทั้งสองท่าน "saya pergi dulu ,assalamualaikum"

หลังจากจบประโยคลาของฉัน ชายหนุ่มคนนั้นพูดกับอีกคนด้วยภาษาอังกฤษว่า ว้าว เธอพูดภาษามาเลย์ได้ด้วยร่อ ... คือก่อนหน้านี้ได้อธิบายกับชายวัยกลางคนไปแล้วว่า ภาษาแม่ของฉันคือมลายูนั่นแหละ แต่สำเนียงกลันตันนะ ...และเราก็คุยกันด้วยภาษามลายู ส่วนชายคนหนุ่มเขามาทักด้วยอังกฤษและพ่นใส่ด้วยอังกฤษเลยไม่ได้พูดมาเลย์อ่ะนะ ....

......

คิดอะไรกับเรื่องเล่าที่ 1

ในโลกใบนี้ ยังไม่รู้จักเราอีกเยอะ แม้แต่คนในประเทศใกล้เคียงยังเข้าใจว่า คนทางสามจังหวัดพูดภาษาไทย แต่นับถือคนละศาสนา แต่ไม่เคยรู้ว่า คนสามจังหวัดพูดภาษามลายูเป็นตั้งแต่เกิด เพิ่งจะดัดจริตพูดไทยก็ตอนเรียนหนังสือสูงนี้แหละ 555555

และการมาครั้งนี้ ทำให้เห็นว่า เพราะไม่รู้ว่าตัวเองต้องใช้ภาษาอังกฤษเพื่ออะไร ทำให้ไม่จริงจังจะศึกษาและฝึกภาษาอังกฤษ และหลายคนเลี่ยงภาษาอังกฤษเพราะไม่คิดว่าตัวเองจะเป็นคนที่ต้องมานำเสนอประเด็นของตัวเองในต่างประเทศ โอกาสจึงตกในมือของคนอื่นตลอดไง แล้วเราก็มางงกันว่า ทำไมไม่มีคนเข้าใจเรื่องเราว่ะ ตายก็เยอะแล้ว เหตุการณ์ก็เดินมาสิบกว่าปีแล้ว

คนต่างถิ่นถึงมาช่วยเราไง ทั้งๆที่เราน่าจะมาเองได้ .... นี้คือความเศร้าของเรื่องที่ 1