Skip to main content

 

ไทยร่วมมติยูเอ็นค้านสหรัฐฯรับรองเยรูซาเล็ม

 

มารียัม อัฮหมัด
จังหวัดชายแดนภาคใต้
 
    171222-TH-prayers-1000.jpg
    ผู้นำศาสนาและประชาชนร่วมละหมาด ที่มัสยิดกลางประจำจังหวัดปัตตานี ร่วมแสดงจุดยืนปกป้องอัลกุดส์ เมื่อวันที่ 22 ธันวาคม 2560
     มารียัม อัฮหมัด/เบนาร์นิวส์
     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    ผู้นำศาสนาอิสลามและชาวไทยมุสลิมในพื้นที่ภาคใต้นับหมื่นคนร่วมละหมาดที่มัสยิดในแต่ละพื้นที่กว่า 3,000 แห่ง ในวันศุกร์ (22 ธันวาคม 2560) นี้ เพื่อขอพรจากอัลลอฮ์ให้ปลดปล่อยเมืองอัลกุดส์หรือเยรูซาเล็ม จากการครอบครองของอิสราเอล รวมทั้ง เพื่อเป็นการแสดงการต่อต้านรัฐบาลนายโดนัลด์ ทรัมป์ ที่ประกาศรับรองให้เยรูซาเล็มเป็นเมืองหลวงของอิสราเอล และกล่าวขอบคุณรัฐบาลไทยที่คัดค้านการประกาศของรัฐบาลสหรัฐฯ ครั้งนี้

    หลังจากที่เมื่อวานนี้ ประชุมสมัชชาใหญ่สหประชาชาติ ประกอบด้วยประเทศสมาชิกทั้งหมด 193 ประเทศ สมาชิก 128 ประเทศ รวมทั้งประเทศไทย มีมติออกเสียงเห็นชอบให้คัดค้านการประกาศของสหรัฐฯ และเรียกร้องให้สหรัฐฯ เพิกถอนการรับรองสถานะของนครเยรูซาเล็ม เป็นเมืองหลวงของประเทศอิสราเอล โดย 35 ประเทศ งดออกเสียง และ 9 ประเทศ ที่สนับสนุนการประกาศของสหรัฐฯ คือ อิสราเอล, กัวเตมาลา, ฮอนดูรัส, สาธารณรัฐหมู่เกาะมาร์แชลล์, ไมโครนีเซีย, นาอูรู, ปาเลา, โตโก และสหรัฐอเมริกาเอง ส่วนที่เหลือ 21 ประเทศไม่เข้าประชุม

    ซึ่งการลงมติสมัชชาใหญ่สหประชาชาติ มีขึ้น หลังจากที่ นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ขู่จะตัดความช่วยเหลือด้านการเงินกับชาติที่ออกเสียงสนับสนุนมติสมัชชาใหญ่สหประชาชาติ

    ด้าน นายซาการียา ดาเล็ง ผู้นำศาสนาอิสลามจากจังหวัดปัตตานี กล่าวต่อเบนาร์นิวส์ว่า ขอบคุณรัฐบาลไทยที่คัดค้านการประกาศของรัฐบาลสหรัฐฯ ครั้งนี้ และเชื่อว่าการลงมติคัดค้านของสหประชาชาติจะเป็นประวัติศาสตร์ที่ต้องถูกบันทึก

    “ขอเรียกร้องให้ทุกคนจดจำเป็นบันทึกประวัติศาสตร์ กรณีสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติลงมติยืนยันปกป้องอัลกุดส์ ให้คำประกาศของอเมริกาเป็นโมฆะ เพราะขัดแย้งกับมติสหประชาชาติ และสภาความมั่นคงที่ผ่านๆ มา ขอบคุณรัฐบาลไทย ขอบคุณนานาอารยประเทศ ขอบคุณตุรกีที่ทุ่มเทสุดกำลัง ขอบคุณโลกมุสลิม และโลกอาหรับทุกประเทศ ต่อจุดยืนเกียรติยศในครั้งนี้” นายซาการียากล่าว

    การรวมตัวของชาวไทยมุสลิม และผู้นำศาสนาอิสลามครั้งนี้ เกิดขึ้นหลังจากที่สำนักจุฬาราชมนตรี สำนักงานคณะกรรมการกลางอิสลามแห่งประเทศไทย และสำนักงานคณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัดทั่วราชอาณาจักร ประกาศให้พี่น้องมุสลิมทั่วประเทศไทยร่วมกันละหมาดฮายัตขอพรจากอัลลอฮ์ (ซ.บ.) เพื่อขอให้ทรงโปรดปลดปล่อยมัสยิดอัลอักซอ ซึ่งเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่ 3 จากอิสราเอล

    นายแวดือราแม มะมิงจิ ประธานคณะกรรมการอิสลาม จังหวัดปัตตานี เปิดเผยว่า สำนักจุฬาราชมนตรี คณะกรรมการกลางอิสลามแห่งประเทศไทย ได้เรียกร้องให้ประเทศมุสลิมร่วมกันปกป้องสิทธิของชาวปาเลสไตน์ และคุ้มครองพื้นที่มัสยิดอัลอักซอในอัลกุดส์ ให้กับคนปาเลสไตน์ และมีพี่น้องชาวมุสลิมนับหมื่นคนได้ร่วมละหมาดที่มัสยิดทั่วประเทศในวันนี้

    “สำนักจุฬาราชมนตรี คณะกรรมการกลางอิสลามแห่งประเทศไทย ในนามมุสลิมไทยทั้งมวล ขอเรียกร้องให้รัฐบาลประเทศมุสลิมทั้งหมดเร่งปฏิบัติตามมติ เมื่อวันที่ 13 ธันวาคม 2560 ของที่ประชุมองค์การความร่วมมืออิสลามที่อิสตันบูล ซึ่งขอให้รัฐบาลของทุกประเทศในองค์การความร่วมมือฯ เร่งสร้างเอกภาพ และภราดรภาพพิทักษ์มัสยิดอัลอักซอ และคุ้มครองสิทธิเสรีภาพของพี่น้องปาเลสไตน์ โดยให้ถือเป็นวาระแห่งชาติของทุกประเทศ” นายแวดือราแม กล่าวแก่ผู้ร่วมละหมาด

    “ขอให้ประเทศสมาชิกไอโอซีทั้งหมดร่วมกันสร้างพลัง เพื่อถ่วงดุลอำนาจของอเมริกา หรือชาติอื่นใด ที่ทำการละเมิดสิทธิมนุษยชน ดินแดน และบูรณภาพของประเทศอื่น ขอให้มุสลิมไทยทุกคนร่วมสนับสนุนการต่อสู้ของพี่น้องปาเลสไตน์ในการพิทักษ์คุ้มครอง มัสยิดอัลอักซอ โดยถือเป็นหน้าที่สำคัญอย่างหนึ่งของความเป็นมุสลิม” นายแวดือราแมกล่าวเพิ่มเติม

    นายแวดือราแม กล่าวอีกว่า ขอให้พี่น้องประชาชนคนอเมริกันเข้าใจว่า ชาวมุสลิมมิได้เป็นปฏิปักษ์กับประเทศ และประชาชนอเมริกัน แต่เป็นปฏิปักษ์กับความอธรรม ความฉ้อฉล และการใช้อำนาจในทางมิชอบของรัฐบาลนายโดนัลด์ ทรัมป์ มุสลิมมิใช่ผู้ก่อการร้าย แต่รัฐบาลนายโดนัลด์ ทรัมป์ กำลังใช้นโยบายสนับสนุนความรุนแรง และการก่อการร้ายของระบอบไซออนิสต์

    เมื่อวันที่ 7 ธันวาคม 2560 นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ได้ประกาศว่ารัฐบาลสหรัฐอเมริกา รับรองสถานภาพของกรุงเยรูซาเล็ม เป็นเมืองหลวงของประเทศอิสราเอล อย่างเป็นทางการ ซึ่งหลังจากนี้รัฐบาลสหรัฐฯ จะเดินหน้าตั้งสถานเอกอัคราชทูตสหรัฐฯ ที่กรุงเยรูซาเล็มด้วย การประกาศดังกล่าวทำให้อิสราเอลนำกำลังทหารเข้าสู่พื้นที่เยรูซาเล็มตะวันออก และพื้นที่เมืองเยรูซาเล็มเก่า ซึ่งเป็นที่ตั้งของมัสยิดอัลอักซอ

    อิสราเอล ประกาศให้เยรูซาเล็มตะวันออก และเขตเมืองเก่าเป็นเมืองหลวงของอิสราเอล หลังจากที่ชนะสงครามระหว่างอิสราเอล และประเทศเพื่อนบ้านในปี พ.ศ. 2510

    อย่างไรก็ตามชาวปาเลสไตน์ และนานาชาติไม่เห็นด้วยกับคำประกาศ และไม่เคยมีการรับรองดินแดนในพื้นที่ดังกล่าวเป็นเมืองหลวงของอิสราเอลแต่อย่างใด โดยประเทศต่างๆ ได้ตั้งสถานทูตฯ ประจำอิสราเอลของตนที่กรุงเทลาวีฟ แทนที่จะเป็นเยรูซาเล็ม และนานาชาติประกาศว่าจะยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงสถานะของเยรูซาเล็ม จนกว่าการเจรจาสันติภาพระหว่างอิสราเอลและปาเลสไตน์ได้ข้อยุติ

    การประกาศรับรองเยรูซาเล็มเป็นเมืองหลวงของประเทศอิสราเอล โดยรัฐบาลสหรัฐฯ สร้างความไม่พอใจให้กับประเทศมุสลิมทั่วโลก นำไปสู่การเดินขบวนประท้วง และการเรียกร้องที่หน้าสถานทูตฯสหรัฐ ฯ ในประเทศต่างๆ และในวันที่ 13 ธันวาคม 2560 ที่ประชุมสุดยอด วาระวิสามัญขององค์การความร่วมมืออิสลาม ที่ประกอบด้วยสมาชิก 57 ชาติ ซึ่งจัดประชุมในเมืองอิสตันบูล ประเทศตุรกี ได้ประกาศให้เยรูซาเล็มตะวันออกเป็นเมืองหลวงของรัฐปาเลสไตน์ และเรียกร้องให้ทุกประเทศให้การรับรองรัฐปาเลสไตน์ และเยรูซาเล็มตะวันออกเป็นเมืองหลวงที่ถูกยึดครองของรัฐแห่งนี้

     

    เผยแพร่ครั้งแรกที่ http://www.benarnews.org/thai/news/TH-deepsouth-jerusalem-12222017145410.html