Skip to main content

เกาะติดการพูดคุยสันติภาพปาตานีจากคนใน (ตอน 2): ว่าด้วยสิทธิความเป็นเจ้าของของชนชาติมลายูปาตานี

เขียนโดย อาบูฮาฟิซ อัล-ฮากีม
แปลโดย อับดุลเลาะ วันอะฮ์หมัด (AwanBook)

ต้นฉบับเดิมภาษามลายู: http://www.deepsouthwatch.org/ms/node/4740

**ในตอนแรก (ต้นฉบับเดิม - http://www.deepsouthwatch.org/ms/node/4706 บทแปลเป็นภาษาไทย - http://www.deepsouthwatch.org/dsj/4723) ผู้เขียนได้แจกแจงรายละเอียดของข้อเรียกร้องเบื้องต้นห้าประการอย่างถี่ถ้วน ยกเว้นเพียงเงื่อนไขประการที่สี่ซึ่งเกี่ยวข้องกับสิทธิของความเป็นเจ้าของ ในตอนที่สองนี้จึงใคร่วิพากษ์ถึงประการดังกล่าว-ผู้เขียน


ข้อเรียกร้องเบื้องต้นประการที่สี่ - รัฐบาลไทยต้องยอมรับถึงสิทธิความเป็นเจ้าของเหนือดินแดนปาตานีของชนชาวมลายูปาตานี

ตามที่ได้อธิบายไปแล้วก่อนหน้านี้ถึงเงื่อนไขประการที่สี่ว่าเป็นประเด็นใจกลางที่ได้กลายเป็นแกนหลักต่อเหล่าปัญหาความขัดแย้งที่ยืดเยื้อยาวนานถึง 200 ปี การอภิปรายในเรื่องที่มีความสำคัญเช่นนี้จะหลีกเลี่ยงการกล่าวถึงความจริงในแง่ของประวัติศาสตร์ การเมือง และกฎหมาย มิได้

เพื่อทำความเข้าใจความคิดเกี่ยวกับสิทธิความเป็นเจ้าของของชนชาติมลายูปาตานี จำเป็นต้องพิจารณาจากแง่มุมสามประการสำคัญดังต่อไปนี้คือ ประการแรก ปาตานีคือมาตุภูมิ (PATANI sebagai BUMI) ประการที่สอง ชนชาติมลายูคือชาติพันธุ์ (BANGSA MELAYU sebagai ETNIK) และประการที่สาม สิทธิความเป็นเจ้าของคืออำนาจของผู้ที่เป็นเจ้าของ (HAK PERTUANAN sebagai PEMILIK BERKUASA) จากนี้จะทำความเข้าใจเป็นรายข้อ ดังต่อไปนี้

1. ปาตานีคือมาตุภูมิ เมื่อเอ่ยถึงคำว่าปาตานี สมควรอย่างยิ่งที่จะต้องย้อนกลับไปยังประวัติศาสตร์ นักประวัติศาสตร์ส่วนใหญ่ได้มีความเห็นพ้องต้องกันว่าบริเวณทางตอนใต้ของไทย ที่ประกอบไปด้วยสามจังหวัดคือ ปาตานี ยะลา นราธิวาส และบางอำเภอของจังหวัดสงขลาปัจจุบัน ซึ่งก่อนหน้านั้นบริเวณดังกล่าวเคยเป็นอาณาจักรที่ยิ่งใหญ่ที่รู้จักกันในชื่อลังกาสุกะ นักประวัติศาสตร์ต่างคาดการณ์ว่าอาณาจักรแห่งนี้ได้กำเนิดขึ้นเมื่อคริสตศตวรรษที่หนึ่งหรือก่อนหน้านั้นด้วยซ้ำ

ตามบันทึกของของชาวจีนระบุว่า เมื่อปี ค.ศ.515 กษัตริย์จากลังกาสุกะที่มีพระนามว่าพระเจ้าพากาดัตตา (Bhagadatta)ได้มีความสัมพันธ์ทางการทูตกับเมืองจีน และได้ทรงส่งทูตไปยังเมืองดังกล่าวเมื่อปี ค.ศ.523, 531 และ ค.ศ.568 ในบันทึกของชาวจีนได้กล่าวถึงลังกาสุกะในสำเนียงต่างๆ เช่นลังยาซิว (Lang-Ya-Shiao) ลังยาเซีย (Lang-Yi-Sia) ลังซีเจีย (Lang-see-chia) และอื่นๆ

นี่หมายความว่าอาณาจักรลังกาสุกะได้อุบัติขึ้นก่อนหน้าที่อาณาจักรสุโขทัยจะถือกำเนิดขึ้นเสียอีก (ค.ศ.1238)ตามที่ถูกอ้างโดยชาวสยามว่าเป็นยุคที่การปกครองเพิ่งถูกสถาปนาขึ้น ในขณะที่อาณาจักรลาวที่ได้สถาปนาขึ้นราวปี ค.ศ.450 ซึ่งก็ปกครองโดยชนชาติมอญ (มิได้มาจากชนชาติไทย) ที่เคยอยู่ภายใต้การปกครองของอาณาจักรเขมร จนกระทั่งถูกผนวกเข้าเป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรอยุธยาเมื่อ ค.ศ.1388

ถึงแม้ว่าลังกาสุกะจะเป็นอาณาจักรที่ยิ่งใหญ่ในยุคสมัยหนึ่ง แต่เมื่อเสื่อมอำนาจลงก็ได้ตกอยู่ภายใต้อาณาจักรอื่นที่มีอิทธิพลเหนือกว่า อย่างเช่น อาณาจักรศรีวิชัย (ศูนย์อำนาจอยู่ที่เมืองปาลิมบัง เกาะสุมาตรา) อาณาจักรมัชปาหิต (ศูนย์กลางอำนาจอยู่ที่เกาะชวา) และอาณาจักรสุโขทัยที่ใช้อำนาจปกครองผ่านเมืองบริวารอย่างตามพรลิงค์ (ศูนย์กลางอยู่ที่เมืองลิกอร์) ในขณะที่อำนาจการปกครองจากภายนอกเสื่อมลง อาณาจักรลังกาสุกะได้กลับมามีอำนาจและได้รับอิสรภาพอีกครั้ง ร่องรอยทางประวัติศาสตร์ในรูปของโบราณสถานและสถานประกอบศาสนกิจยังมีให้เห็นได้อย่างทั่วทั้งบริเวณจังหวัดทางภาคใต้ปัจจุบัน โดยเฉพาะจุดศูนย์กลางของเมือง พระราชวังมะฮลีฆัย(KOTA MAHLIGAI) ที่อยู่รอบๆ บริเวณบ้านจาเละ ในอำเภอยะรังปัจจุบัน

เมื่อศูนย์กลางการปกครองได้ย้ายไปยังสถานที่ใหม่ ณ กรือเซะ หรือที่ปาตา อีนี (Pata Ini, หรือบางแหล่งข้อมูลได้เขียนว่าหมู่บ้านเปาะตานี, Pak Tani) แล้ว จึงได้ตั้งชื่อเมืองนี้ว่าปาตานี จนกระทั่งเจ้าเมืองได้เข้ารับอิสลาม (จากเดิมที่นับถือศาสนาพุทธ) และได้วางรากฐานการปกครองแบบอิสลาม และยังได้ตั้งชื่อใหม่ว่า ปาตานีดารุสสลาม ทว่าเมื่อการรุกรานจากสยาม (ที่ต้องการแผ่ขยายอาณาเขต) หลายต่อหลายครั้ง นับตั้งแต่สมัยอยุธยาจวบกระทั่งประสบความสำเร็จเมื่อปี ค.ศ.1786 ในสมัยการปกครองของกษัตริย์รัชกาลที่ 1 แห่งราชวงศ์จักรี นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาสถานะของเมืองปาตานีก็แปรเปลี่ยนอย่างค่อยเป็นค่อยไปจากเมืองที่เคยมีอำนาจและอิสระ สุดท้ายกลายเป็นส่วนหนึ่งของประเทศไทยในปัจจุบัน

เพราะฉะนั้นไม่ว่าแผ่นดินแห่งนี้จะเรียกว่าลังกาสุกะ ปาตานี ปาตานีดารุสสลาม มณฑลปัตตานี หรือเหมือนอย่างปัจจุบันนี้ที่ถูกแยกเป็นจังหวัดเล็กจังหวัดน้อย ซึ่งประกอบไปด้วยจังหวัดปัตตานี ยะลา นราธิวาส และสงขลา ซึ่งอยู่ในภาคใต้ของประเทศไทย ซึ่งในความเป็นจริงแล้วต่างก็เป็นภูมิประเทศเดียวกัน แผ่นดินเดียวกัน กระทั่งน่านฟ้าและน่านน้ำอันเดียวกัน ถึงแม้ว่าในห้วงขณะหนึ่ง แนวชายแดนและอาณาบริเวณที่เคยปกครองได้เปลี่ยนไปแล้ว แต่ในทางภูมิศาสตร์มิได้เปลี่ยนแปลงแต่อย่างใด

2. ชนชาติมลายูคือชาติพันธุ์ อาณาจักรลังกาสุกะถูกระบุโดยนักประวัติศาสตร์ว่าเป็นรัฐมลายูที่ได้รับอิทธิพลมาจากอินเดีย (Indianised Malay State ) บนพื้นฐานที่ถูกยึดครองและปกครองโดยชนชาวมลายู การใช้ภาษามลายู การมีวิถีชีวิตและวัฒนธรรมมลายู มีศาสนาตามความเชื่อที่ได้รับอิทธิพลจากอินเดีย นั่นก็คือศาสนาฮินดูในยุคแรกก่อนที่จะเปลี่ยนเป็นศาสนาพุทธในเวลาต่อมา ภาษาเขียนก็เช่นกันที่เป็นการยืมมาจากตัวอักษรภาษาสันสกฤตในแบบปาละวะ ยกเว้นในสมัยของปาตานีดารุสสลามเท่านั้นที่การเขียนได้หยิบยืมตัวอักษรมาจากอักษรอาหรับที่รู้จักกันในนามอักษรยาวี

ในบรรดา “รัฐมลายูที่ได้รับอิทธิพลจากอินเดีย” (Indianised Malay States) อื่นๆ ที่เคยดำรงอยู่ในหมู่เกาะบนคาบสมุทรมลายู อันได้แก่ อาณาจักรศรีวิชัย ตามพรลิงค์ มัชปาฮิต มะละกา เทมาเส็ก (สิงคโปร์) และอื่นๆ ถึงแม้ว่าจะยังมีชนชาติอื่นนอกเหนือจากชาวมลายูที่เคยอาศัยอยู่บนคาบสมุทรมลายู (Malay Peninsula) เช่น ชาวมอญ(พม่า) ชาวเขมร ชาวสุมาตรา ชาวชวา ชาวสยามไต (ทางตอนใต้) ชาวสยาม (ไทย) ชนเผ่าพื้นเมืองและอื่นๆ แต่ชนชาวมลายูถือเป็นชนชาติที่เด่นชัดและเป็นผู้กุมอำนาจหลัก

หลักฐานการตั้งรกรากและการดำรงอยู่ของอำนาจของคนมลายูในแหลมมลายูแห่งนี้ ไม่ได้เป็นเรื่องยากเย็นที่จะค้นพบ สิ่งสำคัญที่ดำรงอยู่ส่วนใหญ่ก็คือรากศัพท์ในภาษามลายู เริ่มจากบริเวณคอคอดกระ (กระ) ฉาฮายาหรือจายา (ไชยา) ลิกอร์ (นครศรีธรรมราช) ซูรัต (สุราษฎร์ธานี) บือดือลุง (พัทลุง) ฆือรือบี (กระบี่) บูหงา (พูงา/พังงา) บูกิต (ภูเก็ต) รือนุง (ระนอง) ตือรัง (ตรัง) สิงโกรา (สงขลา) ปาตานี (ปัตตานี) ยาลา (ยะลา) มือนารา (นาราธิวาส)และสะตูล (สตูล) นี่ยังไม่รวมถึงชื่ออำเภอและหมู่บ้านเล็กๆ ที่จำนวนมิน้อยมาจากคำภาษามลายู เพียงแต่ว่าภายหลังจากที่ถูกยึดครอง สำเนียงเรียกได้เปลี่ยนไปตามอิทธิพลของภาษาอื่น (สยาม) หรือเป็นการเปลี่ยนไปเป็นชื่อตามภาษาสยามไปเลย

สามารถสรุปได้ว่านับตั้งแต่สมัยลังกาสุกะจนถึงยุคปาตานีดารุสสลามจวบกระทั่งวันนี้ ความเป็นมาและคุณลักษณะเด่นชัดของชาวมลายูที่ได้อาศัยอยู่แผ่นดินแห่งนี้ได้สืบทอดกันมาจากรุ่นสู่รุ่น ไม่เคยเปลี่ยนแปลง นอกจากความเชื่อทางศาสนาเท่านั้นที่มีความเปลี่ยนแปลง จากศาสนาฮินดูเป็นศาสนาพุทธ และสุดท้ายศาสนาอิสลาม

3. สิทธิความเป็นเจ้าของ – คืออำนาจของผุ้ที่เป็นเจ้าของ ในทางภาษาสิ่งนี้หมายถึง "สิทธิของผู้ที่เป็นเจ้าของ” (Ownership right) สิทธิความเป็นเจ้าของเป็นแนวคิดทางการเมืองอย่างหนึ่ง ที่หมายถึง "สิทธิที่ได้รับหรือที่ได้มาโดยคนผู้หนึ่งหรือชนกลุ่มหนึ่งที่จะครอบครองสิ่งหนึ่งสิ่งใดอย่างถูกต้อง โดยที่เขาหรือพวกเขานั้นถืออำนาจอันเบ็ดเสร็จเหนือสิ่งนั้น” (It is the RIGHT given to, or attained by or acquired by a person or people, to OWN something rightfully, which he or they possess ABSOLUTE POWER over it) ด้วยสิทธิที่ถืออยู่นี่เอง ผู้เป็นเจ้าของที่มีสิทธิดังกล่าวอย่างชอบธรรมนั้นจะเป็นผู้มีอำนาจเต็มและมีอิสระในการตัดสินใจทุกเรื่องที่เหมาะสมและเป็นเรื่องดีงามต่อสิ่งที่ตนเป็นเจ้าของ

ตัวอย่างง่ายๆ ก็คือ เช่น มีคนครอบครองที่ดินแปลงหนึ่งด้วยความชอบธรรม ไม่ว่าจะเป็นโดยการซื้อ การแลกเปลี่ยน การให้ หรือการได้รับมรดกตกทอด ตามหลักที่ถูกต้องชอบธรรมนั้น ที่ดินดังกล่าวย่อมเป็นสิทธิของผู้ถือครอง (Ownership Right) เขาย่อมมีอำนาจอย่างเต็มที่บนที่ดินดังกล่าว และมีอิสระที่จะทำสิ่งใดต่อที่ดินแปลงนั้น ไม่ว่าจะเป็นการปลูกผัก สร้างบ้าน ให้เช่า หรือจะขาย หากว่ามีคนต้องการที่จะเช่าที่ดินแปลงดังกล่าว ผู้เช่านั้นมิอาจก้าวก่ายต่อสิทธิความเป็นเจ้าของที่แท้จริงได้

หากว่ามีชนกลุ่มหนึ่งที่ไม่รู้ว่ามาจากที่ใดได้รุกรานและทำการปล้นโดยวิธีการบังคับหรือขับไล่เจ้าของเดิมออกไป เขาก็ยังมิได้หมดสิทธิจากการเป็นเจ้าของที่ดินแปลงดังกล่าวแต่อย่างใด เจ้าของที่ดินเดิมนั้นยังมีสิทธิและจำต้องทวงคืนสิทธิบนที่ดินแปลงนั้นกลับคืนมาเพราะนั่นคือสิทธิโดยชอบธรรม

นับจากสมัยอาณาจักรลังกาสุกะจวบกระทั่งถึงยุคสมัยปาตานีดารุสสลาม สิทธิความเป็นเจ้าของในแง่ของอำนาจอธิปไตย (sovereignty) นั้นอยู่ในมือของกษัตริย์ สุ่ลต่าน หรือนักปกครองที่มาจากชนชาวมลายู ที่ได้สืบทอดตลอดมาในแผ่นดินแห่งนี้จากรุ่นสู่รุ่น แม้ว่าแรกเริ่มนั้นความเชื่อเรื่องศาสนาจะไม่เหมือนกับช่วงสมัยอาณาจักรลังกาสุกะ (ฮินดูและพุทธ) แต่ในเวลาต่อมาได้เปลี่ยนมาสู่ความเป็นอิสลาม พวกเขาเหล่านั้นล้วนมีที่มาจากวงศ์ตระกูลเชื้อสายเดียวกันนั่นก็คือคนมลายู นั่นหมายความว่าสิทธิความเป็นเจ้าของในแง่ของอำนาจการปกครองนั้นอยู่ในอุ้งมือของคนมลายู

ถึงแม้ว่าในบางช่วงนั้น ลังกาสุกะหรือปาตานีได้เสื่อมอำนาจลงเพราะถูกรุกรานจากภายนอก รวมถึงถูกจำกัดและตกอยู่ภายใต้อาณัติของคนอื่น ความจริงแล้วสิทธิความเป็นเจ้าของคนมลายูบนแผ่นดินแห่งนี้ ยังไม่หมดสิ้นไปกับการถูกยึดครองดังกล่าวแต่อย่างใด ถึงแม้สิทธิที่ว่านี้จะถูกปฏิเสธก็ตาม ครั้นเมื่อปาตานีดารุสสลามตกอยู่ในเงื้อมมือของสยามในปี ค.ศ. 1786 คนมลายูก็สูญเสียอำนาจในการปกครอง แต่สิทธิความเป็นเจ้าของของคนมลายูปาตานีก็ยังไม่สูญสลายไป ถึงแม้จะถูกปฏิเสธจากนักล่าอาณานิคมสยามก็ตาม

จากนั้นเริ่มมีชาวมลายูลุกขึ้นมาต่อต้านอำนาจสยามบนแผ่นดินปาตานี ที่นำโดยเต็งกูลามิดดีน, ดาโต๊ะปังกาลัน, เต็งกูอับดุลกอเดร์ กามารุดดีน และลูกชายท่าน เต็งกูมะฮ์มูด มะฮ์ยิดดีน, ต่วนโต๊ะครูหะญีสุหลง และอื่นๆ นับตั้งแต่ยุคสมัยที่อยู่ภายใต้อาณานิคมจวบกระทั่งถึงยุคสมัยของนักต่อสู้ในปัจจุบัน เป้าหมายของพวกเขานั้นก็ไม่มีอะไรนอกเหนือไปจากการทวงคืนสิทธิที่ถูกริดรอนไปเท่านั้น นั่นก็คือสิทธิอำนาจในการปกครอง เพราะว่าแผ่นดินแห่งนี้เป็นสิทธิความเป็นเจ้าของของชนชาวมลายูที่ต้องทวงกลับคืนมาเพื่อมอบให้กับผู้เป็นเจ้าของที่แท้จริง นั่นก็คือคนมลายูปาตานี

เปรียบได้กับตอนที่อยุธยาตกอยู่ภายใต้การยึดครองของพม่าเมื่อปี ค.ศ.1569 ชาวสยามก็ได้ลุกขึ้นมาเพื่อกอบกู้แผ่นดินกลับคืนมา เพราะพวกเขาสำนึกดีว่าการได้สูญเสียแผนดินนั้นเป็นการเพียงพอแล้วที่ชาวสยามจะมีความรู้สึกถึงสิทธิความเป็นเจ้าของของชนชาติสยามเหนือแผ่นดินอยุธยา เมื่อช่วงปี ค.ศ.1593 ภายใต้การนำขององค์กษัตริย์พระนเรศวร ชาวสยามจึงสามารถขับพม่าออกไปและกลับมามีอำนาจใหม่อีกครั้ง

เหตุการณ์ที่คล้ายกันได้หวนกลับมาอีกครั้ง เมื่อช่วง ค.ศ.1767 เมื่ออยุธยาได้ตกอยู่ภายใต้อำนาจของพม่าอีกครั้ง แต่พระเจ้าตากสินมหาราชและชาวสยามได้ทำการกอบกู้เอกราชได้จนสำเร็จ จากนั้นก็ได้ย้ายศูนย์กลางไปยังกรุงธนบุรีหลังจากที่เมืองอยุธยาได้รับความเสียหายย่อยยับจากสงครามอย่างหนัก ความสำนึกที่จะกอบกู้อธิปไตยการปกครองที่ได้สูญเสียไปนั้น ต้องอาศัยหลักความเชื่อมั่นที่ความศรัทธาที่แน่วแน่และสัจจริงว่าสิทธิความเป็นเจ้าของเหนือแผ่นดินสยามนั้นเป็นของปวงชนชาวสยามทั้งมวล

พอจะกล่าวได้หรือไม่ว่าทั้งสองเหตุการณ์นี้ กษัตริย์ทั้งสองพระองค์ ไม่ว่าจะเป็นพระนเรศวรและพระเจ้าตากสินนั้น คือผู้ก่อการกบฏ ผู้แบ่งแยกดินแดน หรือผู้ก่อการร้าย เพียงแค่ว่าพระองค์ทั้งสองได้ทำการต่อสู้เพื่อปลดปล่อยแผ่นดินเกิดจากอาณัติของศัตรู? คงไม่อย่างแน่นอน! เช่นเดียวกับนักต่อสู้ปาตานีที่ไม่ควรเรียกว่าเป็นผู้กบฏ ผู้แบ่งแยกดินแดน หรือผู้ก่อการร้าย เพราะพวกเขาเองก็กระทำการเหมือนอย่างพระองค์ทั้งสอง
ในบริบทของกระบวนการสันติภาพปาตานีซึ่งกำลังดำเนินการอยู่ในตอนนี้ ประเด็นเรื่องของสิทธิความเป็นเจ้าของของชนชาวมลายูปาตานีบนผืนแผ่นดินปาตานีที่ได้รับการปฏิเสธจากรัฐไทยได้กลายเป็นหนึ่งเงื่อนไขพื้นฐานเพื่อกระบวนการพูดคุยจักได้ดำเนินได้อย่างต่อเนื่อง ทางฝ่ายนักต่อสู้ได้เรียกร้องให้การปฏิเสธนั้นเป็นโมฆะ โดยการยอมรับว่าชนชาวมลายูปาตานีจะมีสิทธิความเป็นเจ้าของเหนือแผ่นดินปาตานี

ในกรอบของสิทธิความเป็นเจ้าของที่ประกอบด้วย: สิทธิมนุษยชนและความยุติธรรม (Justice and Basic Human Rights) ของสังคมมลายูปาตานีจะต้องได้รับการยอมรับและความเคารพ สิทธิในการกำหนดชะตากรรมตนเอง (Right to Self-Determination) พันธะสัญญาทางการเมือง เศรษฐกิจ การศึกษา และสังคม ที่มีหลักประกัน และโดยเฉพาะอย่างยิ่งทางรัฐบาลไทยจำเป็นต้องเปิดโอกาสและพื้นที่เพื่อให้ชาวมลายูปาตานีสามารถปกครองตนเองในดินแดนปาตานีได้ รูปแบบและขอบเขตในการบริหารและอำนาจการปกครองจะต้องร่วมกันพิจารณาในรายละเอียดในระหว่างกระบวนการพูดคุยเมื่อถึงขั้นการเจรจาในภายหลัง

ถ้าหากว่าฝ่ายไทยปรารถนาในความสงบสุขที่แท้จริง พวกเขาก็ควรจะตอบรับและตกลงด้วยดีต่อข้อเรียกร้องเบื้องต้นทั้งห้าประการนี้ในระหว่างการพูดคุย เพื่อให้กระบวนการสันติภาพสามารถก้าวไปข้างหน้าได้เพื่อประชาชนในพื้นที่ภาคใต้จะได้สัมผัสดอกผลของสันติภาพอย่างทั่วกัน หลังจากที่ได้ประสบกับกลียุคมานาน


****ความคืบหน้า: ทางฝ่ายบีอาร์เอ็นได้ยื่นรายละเอียดเกี่ยวกับเงื่อนไขเบื้องต้นห้าประการแก่ทางฝ่ายไทย (รวมทั้งข้อสี่) ผ่านทางผู้อำนวยความสะดวก (มาเลเซีย) แล้ว ทางฝ่ายไทยได้ขอเวลาอีกสักระยะเพื่อทำการหารือและคงจะให้คำตอบในช่วงเวลาที่เหมาะสม ถ้าคำตอบเป็นไปในทางบวก ก็คือว่าทางฝ่ายไทยนั้นตกลงที่จะรับเงื่อนไขทั้งห้าดังกล่าวไปพิจารณา วงล้อของกระบวนการสันติภาพที่กัวลาลัมเปอร์จะสามารถขับเคลื่อนใหม่ได้อีกครั้ง

น้ำส้มและน้ำผื้ง - นอกรั้วปาตานี
ซุลเกาะดะฮ์ / กันยายน 2013