Skip to main content

อารีด้า สาเม๊าะ โรงเรียนนักข่าวชายแดนใต้ ศูนย์เฝ้าระวังสถานการณ์ภาคใต้ (DSJ)

 

 

เมื่อวันที่ 22 กันยายน 2554 ที่โรงแรมซีเอสปัตตานี นายไชยยงค์ มณีรุ่งสกุล สมาชิกสภาที่ปรึกษาการบริการและพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ ภาคสื่อมวลชน ได้เสนอปัญหาการลักลอบขนน้ำมันเถื่อนผ่านด่านสะเดา จังหวัดสงขลา ต่อที่ประชุมสภาที่ปรึกษาการบริหารและพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ว่า สองปีที่ติดตามการค้าน้ำมันเถื่อนในจังหวัดชายแดนภาคใต้พบว่า นอกจากการลักลอบค้าน้ำมันเถื่อนนับวันจะรุนแรงยิ่งขึ้นแล้ว ยังเข้าไปเกี่ยวโยงกับขบวนการก่อการร้ายใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ด้วย เห็นได้จากพล.ท.อุดมชัย ธรรมสาโรรัชน์ แม่ทัพภาคที่ 4 ออกมาให้ข้อมูลต่อสาธารณะชนว่า เงินส่วนหนึ่งที่ได้จากการค้าน้ำมันเถื่อน ถูกนำไปสนับสนุนการก่อความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ และขบวนการค้าน้ำมันเถื่อนในจังหวัดสงขลา ก็เป็นกิจการของคนจาก 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้

            นายไชยยงค์ แจ้งต่อประชุมว่า ภายหลังจากที่ตนนำเสนอปัญหานี้ต่อที่ประชุมสมาชิกสภาที่ปรึกษาการบริการและพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ครั้งที่ผ่านมา นายภาณุ อุทัยรัตน์ เลขาธิการศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ ได้มีคำสั่งให้รองผู้ว่าจังหวัดแต่ละจังหวัด ตั้งคณะทำงานจับตาและติดตามการลักลอบค้าน้ำมันเถื่อน ทำให้จำนวนน้ำมันเถื่อนหายไปประมาณ 60 เปอร์เซนต์ โดยเฉพาะในจังหวัดสงขลา กิจการน้ำมันเถื่อนทำให้รายได้จากการขายน้ำมันของธุรกิจถูกกฏหมายหายไป สามในสี่ส่วนคือประมาณ 14,000 ลิตร จากที่เคยขายได้ 56,000 ลิตรต่อสัปดาห์ หลังจากมีการตรวจสอบของคณะทำงานแต่ละจังหวัด ทำให้รายได้กลับคืนมาเกือบเหมือนเดิม

นายไชยยงค์ ระบุว่า ที่ผ่านมา การปฏิบัติระหว่างด่านสะเดากับด่านปาดังเบซาร์ มีความแตกต่างกัน ด่านศุลกากรสะเดาอนุญาตให้รถติดถังสองถึงสามพันลิตรเข้าออกได้ หลายคนมองว่าการทะลักของน้ำมันเถื่อนเกิดจากความไม่เข้มงวดของเจ้าหน้าที่ด่านศุลกากร การที่เจ้าหน้าที่ปล่อยปละละเลยทำให้มีการค้าน้ำมันเถื่อน ทำให้ประเทศเสียรายได้มหาศาล น้ำมันเถื่อน 1 ลิตรประเทศสูญเสียรายได้จ่ากการจัดเก็บภาษี 6–7 บาท ศูนย์อำนวยการบริหารราชการจังหวัดชายแดนภาคใต้ ต้องเร่งจัดการเพื่อรักษาผลประโยชน์ของประเทศ อำเภอสะเดา จังหวัดสงขลา เป็นพื้นที่ที่ถูกจับตามองเรื่องการลักลอบค้าน้ำมันเถื่อนมากที่สุด และหน่วยงานที่ถูกกล่าวหาว่า เอื้อต่อการทะลักของน้ำมันเถื่อนในจังหวัดสงขลาคือ ด่านศุลกากร

“น้ำมันจำนวนมากที่กระจายไปยังจังหวัดสงขลา จังหวัดปัตตานี และจังหวัดยะลา เป็นน้ำมันจากประเทศมาเลเซียเข้ามาทางด่านศุลกากรสะเดา ด่านศุลกากรปาดังเบซาร์ และด่านศุลกากรตำบลประกอบ อำเภอนาทวี จังหวัดสงขลา ซึ่งเป็นพื้นที่ดูแลของกรมศุลกากรทั้งสิ้น จากพื้นที่ประตูผ่านด่านจำกัดเพียงสิบเมตร ทำให้เกิดข้อสังเกตว่า ลำเลียงเข้ามาอย่างไร เพราะสามารถตรวจสอบได้ เนื่องจากรถผ่านด่านได้ครั้งละหนึ่งคันเท่านั้น” นายไชยยงค์ กล่าว

นายอาทิตย์ วิสุทธิสมาจารย์ ผู้ช่วยนายด่านศุลกากรสะเดา ตอบว่า ทั้งประเทศมาเลเซียและประเทศไทย มีกลไกป้องกันและปราบปรามการลักลอบค้าน้ำมันเถื่อน มีการจับกุมรถที่ใช้ถังน้ำมันบรรจุสองพันลิตร เห็นได้จากตัวเลขการจับกุมการลักลอบน้ำมันเถื่อนเพิ่มขึ้นจากปี 2553 จาก 500,000 กว่าลิตร จับกุมเพิ่มเป็น 700,000 ลิตร เหตุจูงใจในการลักลอบค้าน้ำมันเถื่อน เนื่องจากราคาน้ำมันเถื่อนถูกมาก น้ำมันทางมาเลเซียราคาเพียง 18 บาท ขณะที่ประเทศไทยราคาสูงถึง 30 กว่าบาทต่อลิตร นอกจากน้ำมันเถื่อนแล้ว ชายแดนด้านอำเภอสะเดา ยังมีการขนย้ายยาเสพติดระหว่างประเทศ มีการปราบปรามอย่างหนัก ทั้งฝ่ายไทยและมาเลเซีย สำหรับปี 2554 แนวโน้มการลักลอบค้าน้ำมันเถื่อน และขนยาเสพติดโดยเฉพาะใบกระท่อมเพิ่มขึ้น

ขณะเดียวกันนายภาณุ ได้สไกป์เข้ามายังที่ประชุม กล่าวว่า ตนพร้อมจะเอาผิดต่อเจ้าหน้าที่ที่เอื้อต่อการลักลอบค้าน้ำมันเถื่อน พร้อมกับเสนอให้ตั้งกรรมาธิการตรวจสอบ เพื่อให้เกิดความชัดเจน สำหรับบ่อนการพนันในอำเภอสะเดา มีการตรวจสอบหลายครั้งแล้วแต่ไม่พบ ให้เจ้าหน้าที่ติดประกาศแจ้งต่อสาธารณชนว่า ตรวจสอบตามที่ร้องเรียนแล้วไม่พบ เพื่อแสดงให้เห็นถึงความรับผิดชอบของเจ้าหน้าที่