Skip to main content

 

แถลงการณ์
ข้อกังวลต่อการบังคับใช้ม.๒๑ พรบ.การรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร พ.ศ.๒๕๕๑
ในพื้นที่ ๔ อำเภอของจังหวัดสงขลา
 
                                ตามที่ ฯพณฯ นายกรัฐมนตรี ในฐานะผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร จักได้มีการออกระเบียบเกี่ยวกับการปฏิบัติงานของคณะอนุกรรมการหรือคณะทำงานที่พิจารณาสำนวนการสอบสวน เพื่อส่งผู้ต้องหาเข้ารับการอบรม ตามพระราชบัญญัติการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร พ.ศ.๒๕๕๑ มาตรา ๒๑ นั้น ข้าพเจ้าในฐานะองค์กรด้านสิทธิมนุษยชนตามรายชื่อข้างท้ายนี้รู้สึกห่วงใยถึงระเบียบดังกล่าวเป็นอย่างยิ่ง เนื่องจากพระราชบัญญัติดังกล่าวออกมาใช้บังคับ โดยมีเจตนารมณ์เพื่อส่งเสริมให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในการป้องกันและรักษาความมั่นคง รวมทั้งเสริมสร้างความเข้มแข็งในท้องถิ่นของตน ระเบียบดังกล่าวอาจมีผลกระทบต่อส่วนได้เสียสำคัญของประชาชนในพื้นที่ที่ระเบียบนั้นใช้บังคับ แต่รัฐบาลมิได้จัดให้มีกระบวนการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนในพื้นที่ดังกล่าวอย่างทั่วถึงก่อนดำเนินการ อันเป็นไปตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยเป็นเบื้องต้น
                                นอกจากนี้ การออกระเบียบมาใช้บังคับเฉพาะพื้นที่ ๔ อำเภอของจังหวัดสงขลา ได้แก่อำเภอจะนะ อำเภอนาทวี อำเภอสะบ้าย้อยและอำเภอเทพาเป็นพื้นที่นำร่องนั้นอาจไม่เหมาะสม เนื่องจากรัฐธรรมนูญแห่งราชอาจักรไทยได้บัญญัติให้บุคคลเสมอกันในกฎหมาย และได้รับความคุ้มครองตามกฎหมายโดยเท่าเทียมกัน แต่ในพื้นที่ ๔ อำเภอดังกล่าวกลับมิได้รับการบังคับใช้เฉพาะตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาเหมือนพื้นที่อื่นเท่านั้น
                                     แต่ประการใดก็ตามจากการปฏิบัติที่ผ่านมาของเจ้าหน้าที่รัฐอาจสรุปได้ว่ามิได้เกิดขึ้นจากความสมัครใจของผู้ต้องหาอีกด้วย ด้วยเหตุนี้ข้าพเจ้าจึงใคร่ขอเสนอแนวทางในการออกระเบียบดังกล่าว ทั้งนี้ เพื่อให้เป็นไปตามเจตนารมณ์ของพระราชบัญญัตินั้นตามที่กล่าวมาแล้วข้างต้น ดังนี้
                                ข้อ ๑. คณะอนุกรรมการหรือคณะทำงานที่พิจารณาสำนวนการสอบสวน เพื่อส่งผู้ต้องหาเข้ารับการอบรม ควรประกอบด้วยบุคคล ๒ ฝ่าย ฝ่ายที่หนึ่งเป็นเจ้าหน้าที่รัฐที่เกี่ยวข้อง ฝ่ายที่สองเป็นบุคคลที่ผู้ได้รับผลกระทบไว้วางใจ ในอัตราส่วนที่ใกล้เคียงกันเป็นผู้พิจารณาให้ความเห็น
                                ข้อ ๒.คณะอนุกรรมการหรือคณะทำงานตาม ข้อ ๑. ต้องได้รับสำนวนการสอบสวนจากเจ้าหน้าที่โดยครบถ้วน และคณะอนุกรรมการหรือคณะทำงานดังกล่าวต้องถือว่าสำนวนดังกล่าวเป็นความลับ หากนำไปเปิดเผยสมควรกำหนดให้มีบทลงโทษ เพื่อให้ความเห็นของคณะอนุกรรมการหรือคณะทำงานเป็นไปโดยถูกต้องและเที่ยงธรรม
                                ข้อ ๓. สถานที่ใช้ฝึกอบรมควรเป็นสถานที่ของหน่วยงานรัฐที่รับผิดชอบในการฝึกอบรบ โดยตั้งอยู่ในจังหวัดเดียวกับภูมิลำเนาของผู้ต้องหา เพื่อญาติของผู้ต้องหาสามารถเยี่ยมเยียนได้สะดวก และไม่เพิ่มค่าใช้จ่ายในการเดินทาง
                                ข้อ ๔.หลังจากมีการใช้บังคับระเบียบดังกล่าวในระยะเวลาหนึ่ง สมควรให้มีการประเมินถึงผลที่ได้รับว่าเป็นประการใด โดยตั้งเป็นคณะอนุกรรมการหรือคณะทำงานต่างหากอีกชุดหนึ่ง โดยมีองค์ประกอบระหว่างฝ่ายรัฐและฝ่ายประชาชนเช่นเดียวกับข้อ ๑. พร้อมทั้งเปิดเผยผลการประเมินดังกล่าวให้ทุกภาคส่วนได้รับทราบ
 
มูลนิธิผสานวัฒนธรรม
เลขาธิการศูนย์ทนายความมุสลิม
คณะกรรมการรณรงค์เพื่อสิทธิมนุษยชน(ครส.)