Skip to main content

 

“What matters in life is not what happens to you but what you remember and how you remember it.”  

― Gabriel García Márquez  

 

มันถูกของกาเบรียล มาร์เกวส ไม่ว่าสิ่งต่างๆจะเข้ามาท้าทายชีวิตของพวกเรามากแค่ไหน มันไม่สำคัญหรอก สิ่งที่สำคัญคือเราบรรจุความทรงจำต่างๆแบบไหนและบรรจุมันไว้อย่างไรต่างหาก โคลอมเบียเป็นทริปในความทรงจำของผม และ มันเกิดขึ้นตอนปลายปี 2014 จวบจนข้ามสู่ศักราชใหม่สู่ปี 2015 และทำให้นึกถึงอีกครั้งในวันที่กลุ่ม FARC กำลังจะแปรเปลี่ยนตัวเองเป็นพรรคการเมือง

 

ผมเริ่มต้นคิดเกี่ยวกับการวางแผนไปเยือนโคลอมเบีย้วยความรู้สึกและเหตุผลสำคัญสองประการคือ หนึ่ง เป็นประจักษ์พยานแด่มิตรสหายที่บรรพบุรุษของเขาสืบเชื้อสายจากเมืองบูคอรอไปเจอว่าที่พ่อตาแม่ยายมัน และสองคือโคลอมเบียเป็นประเทศที่ตั้งอยู่ในทวีปที่เราไม่รู้จักมาก่อนเลย การมาโคลอมเบียคงไม่ใช่เรื่องง่ายหากเดินทางตรงจากอุษาคเนย์ และการมาโคลอมเบียเป็นเรื่องที่น่าตื่นตาตื่นใจมาก เพราะด้วยความที่ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับโคลอมเบียเลยนอกจากฟุตบอลและแน่นอนว่ายาเสพติด มีเพียงแผนการคร่าวๆว่าจะเที่ยวบ้านมิตรสหายสักสองสามวันและจะมุ่งลงใต้ต่อไปยังชิลีและแน่นอนมาจูปิกจูอันโด่งดัง แต่กลายเป็นว่าผมใช้เวลาตลอดทั้งทริปโลดแล่นในโคลอมเบีย 

 

ผมเตรียมการเดินทางด้วยการไปขอวีซ่าซึ่งให้น่าแปลกใจว่ามีไม่กี่ประเทศบนโลกนี้ที่ต้องขอวีซ่าไปโคลอมเบีย ผมใช้เวลาเทียวไปเทียวมาหลายรอบระหว่างที่พักและสถานกงศุล จนเจ้าหน้าที่กงศุลรุ่นใหญ่ซึ่งยังคงความงามแม้ว่าดูจากการวางตัวแล้วเธอคงมีอายุเกินห้าสิบแน่นอน เธอถามผมหลายๆรอบว่าแน่ใจน่ะว่าจะไปโคลอมเบีย ผมตอบเธอด้วยความไม่ลังเลว่ามาถึงขั้นนี้แล้วก็ต้องไปละครับ 

 

 

 

หลังจากใช้เวลาเดินทางอันยาวนอนเนื่องเพราะเครื่องบินดีเลย์กว่าแปดชั่วโมง ผมก็เดินทางถึงโบโกตาอันเป็นเมืองหลวงและเดินทางต่อไปยัง ซีปาเกร่า เมืองปริมณฑล บ้านเกิดแฟนสาวของมิตรสหาย และเป็นเมืองที่ครั้งหนึ่งกาเบรียล มาร์เกสเคยมาเรียนหนังสือ ณ เมืองแห่งนี้ ผมใช้เวลาวันแรกจมจ่อมอยู่บริเวณบ้านที่พัก กินช็อกโกแล็ตร้อน สูบบุหรี่ และนั่งนิ่งๆให้หมาของเจ้าของบ้านจ้องหน้า สลับกันไปคือการคุยกับบรรดาเจ้าของบ้านและทำตัวให้เป็นผู้ใหญ่สักนิดเพื่อที่พวกเขาจะได้ไว้ใจว่าเพื่อนผมนั้นไม่ใช่เด็กที่ไม่เอาไหน พวกเขาเล่าว่า ณ ที่แห่งนี้เคยได้รับผลกระทบจากปัญหาเรื่องที่ดินอันเป็นบ่อเกิดสำคัญของปัญหาความขัดแย้งอย่างยืดเยื้อยาวนาน และแน่นอนได้รับผลกระทบจากกลุ่ม FARC ที่เดินทัพจ่อประชิดใกล้กับเมืองหลวง คุณแม่เล่าว่าเขามักจะต้องชงช็อคโกแล็ตร้อนๆให้กับนายทหารที่ลาดตระเวนแถวบ้านอยู่บ่อยๆ สลับกับทำสิ่งเดียวกันให้กลุ่ม FARC เมื่อผมถามเธอถึงการพูดคุยระหว่างกลุ่ม FARC และรัฐบาล ทั้งหมดในบ้านแทบจะพูดเสียงเดียวกันว่าไม่เชื่อและบอกว่าเป็นเรื่องโกหกพกลมทั้งนั้น ซึ่งไม่รู้ว่าถ้าถามอีกครั้งในตอนนี้คำตอบจะเป็นเช่นไร 

 

ผมอยู่ที่ซีปาเกราเพียงไม่กี่วันก่อนตัดสินใจเดินทางต่อไปยังเมืองเมเดยินเพราะทนเผชิญหน้ากับความหวานแหววของคู่รักไม่ได้ และรู้สึกว่าจิตใจห้าวหาญอันอิสระมันเรียกร้องให้ออกเดินทางไป จนลืมไปว่าภาษาสเปนของผมแทบไม่กระดิกลิ้นกันเลยทีเดียว มารู้ตัวอีกทีก็พบว่าตัวเองนั่งมึนกับแผนที่และเมนูอาหารที่เป็นภาษาสเปนทั้งหมด และคิดถึงคู่รักทั้งสองจนจับใจเลยทีเดียว 

 

แต่โชคเป็นของผมเมื่อผมได้ไปเจอมนุษย์โคลอมเบียคนหนึ่งที่ชื่อว่าเนสเตอร์ด้วยการวางแผนของมิตรสหายที่มาจากบูคอรอ และนายคนนี้ก็พูดภาษาอังกฤษได้ หนำซ้ำยังอยู่ในช่วงตกงานจนมีเวลาว่างพอพาผมไปขึ้นเขาลงห้วยและให้คำแนะนำเวลาผมจะไปเที่ยวไหนคนเดียว ระหว่างอยู่ที่เมืองเมเดยินเป็นช่วงเวลาที่สนุกมากมาย เพราะเนสเตอร์พยายามอธิบายผมทุกเรื่องที่ผมถาม เมเดยินเป็นเมืองที่น่าสนใจมากตรงที่เมื่อราวยี่สิบปีก่อนเป็นเมืองที่มีเจ้าพ่อยาเสพติดชื่อก้องโลกนาม ปาโบล เอสโกบาร์ ใช้เป็นฐานสำหรับการค้ายาเสพติดของเขา เมืองทั้งเมืองตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของเขา แต่ในขณะเดียวกัน ท่านเจ้าพ่อก็ได้ใช้เงินหว่านเพื่อทำนุบำรุงเมืองและแน่นอนหว่านบุญคุณให้ผู้คนยอมรับในตัวเขา ไม่ว่าจะเป็นการสร้างโรงเรียน โรงพยาบาล หรือแม้กระทั้งสนับสนุนทีมฟุตบอลจนสโมสรนั้นสามารถคว้าแชมป์ โคปา ลิเบอร์ตาโดเรส ครั้งแรกและครั้งเดียวของสโมสรจากประเทศโคลอมเบีย เครือข่ายของเอสโกบาร์ยิ่งใหญ่เสียจนสามารถจ้างกลุ่ม ทหารพราน หรือ อ.ส. และ FARC บางส่วนให้ทำหน้าที่ลำเลียงยาเสพติด กล่าวกันว่า กลุ่มของเอสโกบาร์คือคนที่สอนให้นักรบ FARC บางส่วนรู้จักการใช้ระเบิดแสวงเครื่อง และแน่นอนเมื่อเอสโกบาร์ตายไปอิทธิพลบางส่วนของเขาก็ตกไปอยู่กับนักรบของ FARC และนั่นก็เป็นเหตุผลส่วนหนึ่งที่ทำให้ผู้คนจำนวนไม่น้อยเสื่อมศรัทธาต่อกลุ่ม FARC 

 

และเมื่อเอสโกบาร์ตายแต่ความทรงจำของเมืองก็ไม่ได้ตายไปพร้อมกับเขา แต่ทิ้งไว้ซึ่งร่องรอยของเมืองแห่งยาเสพติด และนั่นจึงทำให้เกิดความพยายามที่จะเปลี่ยนเมืองและเปลี่ยนความทรงจำเมืองครั้งใหญ่ด้วยศิลปะจากความพยายามของหลายภาคส่วน สถานที่หลายแห่งในเมืองถูกเปลี่ยนเป็นแกลเลอรี่ เป็นพิพิธภัณฑ์ ที่ว่างในเมืองจำนวนมากถูกพ่นถูกระบาย ความพยายามหลายสิ่งหลายอย่างได้เปลี่ยนให้เมเดยินจากเมืองแห่งยาเสพติดกลายเป็นเมืองแห่งศิลปะ ความทรงจำเกี่ยวกับเอสโกบาร์อาจเหลือเพียงภาพวาดใบเดียวที่วาดโดย โบเตโร ศิลปินนามอุโฆษ ที่สละผลงานศิลปะจำนวนมากของเขา ณ พิพิธภัณฑ์ที่ใหญ่ที่สุดกลางเมือง.............. 

 

  

สิ่งที่น่าสนใจประการหนึ่งสำหรับการรับรู้ของผมหลังจากเดินทางในโคลอมเบีย คือ ผู้คนที่รักสนุก ความสนุกสนานซ่อนตัวอยู่ในหลายๆที่แต่ที่โดดเด่นมากคือ รถประจำทางของพวกเขา ที่มักจะมีสีสดๆแซมอยู่ในส่วนใดส่วนหนึ่งของรถและแน่นอนความบันเทิงผ่านบทเพลงที่ขับออกมาจากลำโพงในรถประจำทางส่วนใหญ่ บ่อยครั้งผมรู้สึกราวกับกำลังนึกถึงตอนนั่งรถสองแถวที่ผมโดยสารเป็นประจำตอนเด็กๆ ผู้คนเป็นมิตรพร้อมที่จะส่งยิ้มให้และจะทำหน้าขวยเขินเมื่อผมทักพวกเขาเป็นภาษาอังกฤษและพวกเขาไม่รู้จะตอบผมยังไง ต่างหันรีหันขวางปรึกษาหารือกันในหมู่พวกเขาว่าจะตอบผมยังไงดี และก็เฮลั่นเมื่อพวกเขาพูดอะไรบางอย่างแล้วผมตอบว่า ซี ซึ่งแปลว่าครับ แม้ทั้งผมและพวกเขาจะไม่รู้เลยว่ากำลังสนทนาเรื่องอะไรกันก็ตาม 

 

และแน่นอนที่การเดินทางในโคลอมเบียทำให้ผมพบว่าผู้คนที่นี่ชอบนั่งร้านกาแฟ ร้านกาแฟบรรยากาศบ้านๆสามารถหาได้ทั่วไปตามพื้นที่ที่มีชุมชน และกาแฟท้องถิ่นรสชาตดีที่ชื่อว่า ตินโต ราคาแก้วละสามบาทเป็นเมนูกาแฟที่ทุกคนต้องกิน ผมสำเร็จโทษกาแฟตินโตไปไม่รู้กี่สิบแก้ว แต่ก็ไม่วายที่ต้องเตือนตัวเองว่าระวังกระเป๋า สิ่งมีค่าให้จงดีเพราะอาจถูกฉกได้ทุกเมื่อ นอกจากกาแฟตินโตแล้ว ผมยังมีโอกาสไปกินกาแฟในร้านที่ขึ้นชื่อที่สุดในเมืองเมเดยิน และว่ากันว่ากาแฟของร้านนี้เคยได้รับรางวัลกาแฟที่ดีที่สุดในโลกครั้งหนึ่งเมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมา 

 

ผมใช้เวลาที่เมืองเมเดยินหลายวันจนเนสเตอร์ชวนผมไปนอนที่บ้านสวนของเขาซึ่งอยู่นอกเมืองไปราวครึ่งชั่วโมง ราวกับเป็นค่านิยมของคนมีสตังค์ในแถบนี้ที่ต้องมีบ้านสวนไว้ประดับบารมี ในหุบเขานอกเมืองเราจะเห็นบ้านสวนขนาดใหญ่จำนวนมาก และแน่นอนที่จะต้องมีฟาร์มไว้เลี้ยงวัว ปลูกหญ้า หรือมีเอาไว้ประดับบารมีเฉยๆก็ยังดี เนสเตอร์พาผมไปเยี่ยมบ้านสวนของญาติๆเขา บ้านหลังใหญ่ซ่อนอยู่ในหุบเขา พวกเรานั่งรวมพลกันผิงไฟ เพื่อขับไล่ความหนาว จากบทสนทนามันทำให้ผมรู้สึกว่าเมื่อคุณเป็นอีลิตของที่นี่คุณต้องมีความสัมพันธ์อย่างใดอย่างหนึ่งกับอเมริกา ประธานาธิบดีของพวกเขาหลายคนล้วนแต่ได้รับการศึกษาจากอเมริกาและหลายคนในจำนวนนั้นมีที่ดินที่พวกเขาครอบครองเป็นจำนวนมากซึ่งแน่นอนแตกต่างจากผู้คนส่วนใหญ่ในโคลอมเบีย ญาติๆของเนสเตอร์เล่าเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับอเมริกาให้ผมฟังตลอด ภาษาอังกฤษของเขาดีมาก และหนึ่งในจำนวนญาติๆของเนสเตอร์ กำลังทำปริญญาเอกอยู่ที่นิวยอร์กและว่ากันว่าเขาเป็นหนึ่งในวิทยาศาสตร์ดาวรุ่งอันดับต้นๆของโคลอมเบีย 

 

 

ผมอยู่เมเดยินจนถึงช่วงเทศกาลปีใหม่ และอีกครั้งที่เนสเตอร์ชักชวนผมให้ไปฉลองวันข้ามปีใหม่ที่บ้านของญาติเขาอีกคนหนึ่งที่อยู่บนภูเขา ด้วยที่มาที่ไปทำให้ผมต้องคอยตอบคำถามหลายคำถาม แต่หนึ่งในคำถามที่ผมไม่อยากเชื่อว่าจะถูกถามก็คือเรื่องไก่ชน ญาติของเขาคนนึงถามผมราวกับว่าผมเป็นผู้เขี่ยวชาญเรื่องไก่ชน เล่นเอาผมอึ้งไปเหมือนกัน 

 

หนึ่งในญาติๆของเนสเตอร์เป็นอาจารย์สอนวิชาปรัชญา ผมมีโอกาสได้คุยกับเขานานพอตัวและพลาดไม่ได้ที่จะถามถึงเรื่องกระบวนการพูดคุยสันติภาพที่กำลังดำเนินอยู่ ระหว่างกลุ่ม FARC และ รัฐบาลที่กำลังดำเนินอยู่ที่กรุงฮาวานาประเทศคิวบา ซึ่งถือได้ว่าเป็นมุมมองที่ค่อนข้างลบและไม่ค่อยจะน่าเชื่อเลยก็คือ อาจารย์เขากลัวว่า ฝ่าย FARC นั้นจุดประสงค์ของพวกเขาคืออยากจะยึดกุมอำนาจรัฐ และควบคุมประเทศนี้ อาจารย์ย้ำว่าสิ่งที่พวกเขาต้องการนั้นคืออำนาจ และแนวทางของหลายๆประเทศในอเมริกาใต้เช่น เวเนซูเอลา เอกวาดอร์ หรือ โบลิเวีย มุ่งสู่ทางเบี่ยงซ้าย และหากมีการเซ็นสัญญาสันติภาพจริง เขากลัวว่า FARC จะเข้ามาเล่นการเมือง และได้รับเลือกเป็นรัฐบาล เพราะฝ่ายนั้นมีทุกอย่างแล้วโดยเฉพาะเงินที่ได้จากการค้าขายยาเสพย์ติด 

 

เมื่อใกล้เข้าสู่ช่วงใกล้นับเวลาถอยหลังเข้าสู่ปีใหม่ ญาติๆของเนสเตอร์เตรียมหุ่นจำลองที่ทำจากฟาง นัยว่าหุ่นนี้เป็นหุ่นจำลองของปีศาจที่จะต้องเผาเสีย ผมถามว่าปีศาจตนนี้มีชื่อว่าอะไร พวกเขาตอบผมว่า ปีศาจตัวนี้ชื่อซานโต๊ส ซึ่งคือชื่อประธานาธิบดีคนปัจจุบันของโคลอมเบียที่สนับสนุนกระบวนการสันติภาพสุดลิ่มทิ่มประตู และเมื่อช่วงเวลาปีใหม่มาถึง เสียงพลุ เสียงปะทัดก็ดังขึ้น และชั่วขณะอึดใจเดียว หุ่นปีศาจซานโต๊สก็ถูกเผา พร้อมคำสบถทิ้งท้ายว่า ไปลงนรกซ่ะ...ซานโต๊ส........