Skip to main content

ในภาพอาจจะมี 2 คน, คนที่ยิ้ม, ผู้คนกำลังยืน

 

#ตัวอักษรที่ท่าน_ดร_สุรินทร์_มิได้อ่าน...

การถูกรถยนต์ขับเบียดแซงหน้าจนจักรยานล้มคะมำทำให้เด็กชายผู้ขับขี่หกล้มระหว่างทางไปโรงเรียน จนเป็นความคับแค้นใจอันแปรเปลี่ยนเป็นแรงขับเคลื่อนทางความคิดให้เกิดความรู้สึกว่า "โตไปจะเป็นนายอำเภอให้ได้" เพื่อจะนำอำนาจนั้นมาปูถนนไร้ฝุ่นนี้ให้สำเร็จ

จุดนั้น เป็นจุดเริ่มต้นของ "ช่วงเวลา" อันยิ่งใหญ่ ที่เด็กชายผู้เปื้อนฝุ่นคลุกโคลนคนนั้น ประกาศให้โลกรู้ว่า "ข้าคือ สุรินทร์ พิศสุวรรณ"

ต่อด้วยความตื่นเต้นในภาษาอังกฤษที่ครูอเมริกันนำมาสอนสั่งในโรงเรียนบ้านนอก ทำให้เด็กชายสุรินทร์ได้สัมผัสโลกใบใหม่ทางภาษาในหน้ากระดาษ ก่อนจะสัมผัสบรรยากาศต่างประเทศด้วยชีวิตจริงในดินแดนแห่งเสรีภาพ

แต่กว่าท่านจะปรากฏตัวอยู่ในดินแดนอันไกลโพ้นอย่างสหรัฐฯได้ ท่านผ่านทางแยกที่ตัดสินใจลำบากมากพอดู โดยเฉพาะความคิดเห็นของทางบ้านผู้ซึ่งมีคุณตา โต๊ะครูผู้สอนศาสนาเป็นหัวเรือใหญ่ หรือความรู้สึกของคุณพ่อที่ขีดเส้นไว้คนละเส้นกับความรู้สึกของท่านในคราวนั้น

เหมือนเป็นทางแยกที่ท่านต้องเผชิญกับความเชี่ยวกราดทางความคิดหลายๆด้าน เด็กชายที่หกล้มกลางหลุมโคลน บัดนี้แข็งแกร่งจนมาอยู่ในสภาพแวดล้อมที่แตกต่างกว่าเดิมมาก ทุกอย่างเป็นโลกใบใหม่ แต่พระเจ้าได้ขีดเส้นให้ดินแดนที่ท่านหายใจอยู่นี้เป็นบทเรียนชีวิตอันยิ่งใหญ่ที่เจ้าตัวไม่เคยคาดคิดมาก่อน

ด้วยความดิ้นรนที่กัดไม่ปล่อยอันเป็นคุณลักษณะติดตัว เพราะท่าน "แพ้ไม่ได้" ความพยายามในการเรียนอย่างหนักหน่วง การขวนขวายทางภาษาที่ท่านทุ่มเทก็ออกดอกผล สุนทรพจน์จากฝีปากของท่านกลายเป็นที่จดจำในฐานะแชมเปี้ยนต่อด้วยระดับรองแชมป์ในระดับรัฐในประเทศมหาอำนาจ ซึ่งเป็นอะไรที่ยอดเยี่ยมมากสำหรับเด็กปอเนาะเมืองไทย

ท่านยังบอกอีกว่านอกจากความสามารถทางภาษาแล้ว ทักษะหนึ่งที่เราควรมีติดตัวคือ "การพิมพ์ดีด" ที่เราต้องเรียนรู้ให้ได้ว่าต้องเขียนอย่างไร มีเอกสารแบบไหนบ้าง

ท่านกลับมาเรียนรัฐศาสตร์ สิงห์แดงธรรมศาสตร์ สถาบันที่ท่านใฝ่ฝันได้สำเร็จ บวกกับพลังฮึดที่ได้มาจากประสบการณ์ชีวิต ระหว่างใช้ชีวิตนักศึกษาในเมืองไทย ท่านก็ใช้ทักษะการพิมพ์ดีดกับภาษาอังกฤษเลี้ยงชีพ ตลอดเวลาในนามนักศึกษาธรรมศาสตร์

จวบจนได้รับโอกาสเข้าเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ก้าวไปจบปริญญาเอกจากมหาวิทยาลัยชั้นนำของโลก

กลับมาเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัย และในปี พ.ศ.๒๕๒๙ ถูกทาบทามจากแกนนำพรรคประชาธิปัตย์ พรรคเก่าแก่ที่สุดในเมืองไทย ให้ออกมารับใช้สังคมในเวทีการเมืองระดับชาติ และที่พวกเราทราบกันดีว่าท่านมีผลงานที่โดดเด่นทั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรนครศรีธรรมราชติดต่อกันถึง ๗ สมัย , เลขานุการประธานสภาผู้แทนราษฎร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ในรัฐบาลชวน ๑ และ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศในรัฐบาลชวน ๒

ในด้านกิจการมุสลิม ท่านยังเคยเป็น "อะมีรุ้ลฮัจญ์" ผู้นำกลุ่มผู้แสวงบุญในนามรัฐบาลไทยถึงสองครั้ง

จนมาถึงความสุดยอดในบทบาท "เลขาธิการอาเซียน" ที่รับภารกิจการช่วยเหลือติมอร์เลสเต การสร้างประชาคมอาเซียน (ASEAN Community) ทั้งสิบประเทศจนเป็นผลสำเร็จก่อนท่านจะส่งต่อให้กับเลขาธิการท่านต่อไป

ผมกล้าพูดเลยว่า

"อาเซียนในยุคของสุรินทร์ เป็นอาเซียนที่มีชีวิตชีวามากที่สุดนับตั้งแต่ก่อตั้งมา"

ซึ่งผมทราบดีว่าความมีชีวิตชีวาที่ท่านพยายามรังสรรค์ขึ้นนั้น ผ่านความเหนื่อยยากมากมาย

จากความฝันถึงตำแหน่งนายอำเภอ ... ท่านมาไกลกว่านั้นมาก

แทนที่จะนำถนนลาดยางเข้าสู่หมู่บ้าน ท่านกลับนำถนนแห่งความศิวิไลซ์เข้าสู่อาเซียนทั้งสิบประเทศ พาความหวังมากมายเข้าสู่ประเทศไทย ถนนแห่งสันติภาพ เส้นทางแห่งความไว้วางใจ

"แผนการของอัลลอฮย่อมดีกว่าเสมอ" เราสองคนเห็นตรงกัน

เมื่อหมดวาระจากเบอร์หนึ่งอาเซียน ท่านมักเดินทางไปดินแดนต่างๆทั่วโลก ไปพบปะพรรคพวก เข้าบรรยาย เป็นอาจารย์สอนในหลายมหาวิทยาลัย โดยเฉพาะที่ญี่ปุ่นนี่เงา ดร.สุรินทร์ ปรากฏบ่อยมาก ปาฐกถาเวทีทั้งในและต่างประเทศ

"Prince !!" เสียงทักทายเสียงดังจากท่านสุรินทร์ นำพาผมดีใจเป็นอย่างมาก เพราะนอกจากการได้ถามไถ่แลกเปลี่ยนข่าวคราวกันแล้วยังมีโอกาสรับฟังคำเสนอแนะมากคุณค่าต่อมาอีกประการหนึ่ง

ท่านเน้นย้ำผมอยู่สองสามเรื่อง ...

หนึ่งคือเรื่องภาษา ที่มักถามอยู่เสมอว่าภาษาอังกฤษเป็นไงบ้าง ? การพูดจาในแชทหรือไลน์หากเขียนภาษาไทยท่านจะไม่ตอบ แต่หากเป็นภาษาอังกฤษท่านจะตอบมาเสมอ จนเราเข้าใจได้เองว่าท่านพยายามบังคับให้ผมสื่อสารภาษาอังกฤษให้เคยชินอยู่ ผมยังตั้งใจเลยว่าจะต้องเขียนสุนทรพจน์ไปอวดท่านให้ได้ในปีหน้า แต่ก็หมดเวลาเสียก่อน

ผมพัฒนาภาษาอังกฤษด้วยแรงบันดาลใจจากท่านมาก็ไม่น้อย จนสามารถคว้าทุนรัฐบาลสหรัฐฯ ไปเรียนรู้อบรมงานเดือนกว่า เปิดโอกาสให้ผมได้ขยายโลกให้กว้างขึ้น แน่นอนว่าเมื่อท่านทราบข่าว ท่านถามอย่างขำขันว่า "ยูไม่โดนคำครหาว่าเป็นซีไอเอบ้างหรือ?" แล้วเราก็หัวเราะร่วนกันสองคน

ผมขอให้ท่านเป็นบุคคลอ้างอิงในการยื่นเอกสารต่อสถานทูตสหรัฐฯ ซึ่งท่านยินดีและเปิดไฟเขียวสนับสนุนอย่างยอดเยี่ยม จนได้ใบรับรองจาก ดร.สุรินทร์ พิศสุวรรณ มาเป็นเอกสารแนบ บัดนี้เอกสารแผ่นนั้นได้กลายเป็นกำลังใจอันยิ่งใหญ่ที่กลายเป็นหนึ่งในเอกสารประวัติศาสตร์ของชีวิตผมไปเรียบร้อยแล้ว

สองคือการหาทางพัฒนาสังคมที่ไม่จำกัดรูปแบบ โดยเฉพาะในด้านการศึกษาที่ท่านมักเน้นและให้ความสำคัญ เพราะเราเห็นตรงกันว่ามันเปลี่ยนชีวิตคนได้ เพราะท่านก็เติบใหญ่กว้างขวางขึ้นนี่ด้วยผลของการศึกษาทั้งนั้น

ท่านมีแนวความคิดที่จะตั้งชมรมเกียรติยศ โดยการนำเอานักเรียนเกียรตินิยมทั้งหลายมารวมตัวกันคิด ร่วมกันทำ สร้างโอกาสให้กับรุ่นน้องต่อไป ท่านชวนผมเข้าประชุมมาร่วมแลกเปลี่ยนความคิดในการประชุมอย่างเป็นทางการนัดแรกในช่วงเวลาเย็น ณ ห้องประชุมของมูลนิธิเพื่อศูนย์กลางแห่งประเทศไทย โดยมีผู้ใหญ่ที่มีแนวความคิดเดียวกันเข้าร่วมพร้อมคนรุ่นใหม่จนแน่นห้องประชุม ผมยังจำบรรยากาศนั้นได้ดีเสมือนเพิ่งเกิดมาเมื่อสัปดาห์ก่อน มันเป็นแรงจุดประกายต่อสังคมที่ดีที่ผมประทับใจ

ท่านเคยเอ่ยปากชวนผมเข้าประกวดโครงการใน"สถาบันออกแบบประเทศไทย" บอกให้ไปหาทีม เขียนโครงการนำไปประชันกัน เสียดายที่วันนั้นไม่ได้ดำเนินการต่อด้วยภารกิจหลายประการ แต่หากย้อนเวลาได้ก็จะยอมแบ่งเวลานอนเอาผลงานไปเสนอท่าน แต่วันนั้นก็คงไม่ย้อนมาอีกแล้ว อย่างไรก็ดีบรรยากาศการเปิดงานของสถาบันออกแบบประเทศไทยนั้น ผมได้ชมจากยูทูปและโหลดเก็บไว้ฟังเวลาส่งลูกไปโรงเรียนเสมอ

.

สามนั้นท่านบอกผมให้พยายามมองโลกให้กว้าง หนึ่งในความกว้างที่เราควรสนุกกับมันคือ "ความแตกต่าง" ซึ่งผมไม่แปลกใจเพราะในฐานะนักศึกษารัฐศาสตร์ด้วยกัน การวิพากษ์และอภิปรายก็ล้วนเจอกับความไม่เหมือนกันอยู่บ่อยๆ

ช่วงที่ผมรวบรวมนักศึกษารัฐศาสตร์เป็นกลุ่มศึกษาปรากฏการณ์โลก เชิญท่านเป็นที่ปรึกษา ท่านบอกว่า "ไปทำมาให้ดี แล้วมาคุยกัน" เสียดายที่เกิดกีฬาสีทางการเมืองขึ้นมาก่อนเลยไม่ได้นำกลุ่มเข้าเส้นชัยตามที่คาดหวัง

น้อยคนจะทราบว่าท่าน ดร.สุรินทร์ พิศสุวรรณ เคยเป็น"รัฐมนตรีเกียรติยศ" ที่ติดตามขบวนเสด็จฯยามเยือนต่างประเทศ ซึ่ง ดร.สุรินทร์ มักเล่าให้ฟังว่าเวลานั่งบนเครื่องบินพระที่นั่งนั้น ท่านมักชอบเขียนโปสการ์ดส่งไปยังร้านกาแฟในหมู่บ้าน ผมใคร่รู้ว่าทำไม ท่านตอบผมอย่างอารมณ์ดีกว่า "ส่งไปที่ร้านกาแฟ ก็เหมือนส่งไปให้ทั้งหมู่บ้านนั้นแหละ เดี๋ยวก็รู้กันทั่ว" นี่คือความฉลสดทางการเมืองที่ท่านมีเซ้นส์อย่างน่ารัก

น้อยคนจะทราบว่าในบ้านท่าน ณ ท่าอิฐ มีรูปที่ท่านได้ฉายภาพร่วมกับในหลวงรัชกาลที่ ๑๐ และอีกใบเป็นรูปที่ท่านฉายภาพร่วมกับสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ ท่านภูมิใจกับรูปสองใบมาก ผมรู้สึกได้

น้อยคนจะทราบว่าท่านสนใจในภาษาอาหรับ และมีพื้นฐานทางภาษาอาหรับในระดับดี เนื่องด้วยวิทยานิพนธ์ของท่านมุ่งเน้นในเรื่องการเมืองในตะวันออกกลาง ท่านเคยลงเรียนวิชาภาษาอาหรับเป็นจริงเป็นจัง ต่อยอดจากความรู้ที่ได้มาจากปอเนาะ ความรู้ที่ได้จากมามา (คุณแม่) ที่พร่ำสอนย้ำเตือนในพระมหาคัมภีร์อัลกรุอ่านตั้งแต่เด็ก

น้อยคนจะทราบว่าท่านได้รับเชิดชูเป็น "Tan Sri" บรรดาศักดิ์ชั้นสููงจากสหพันธรัฐมาเลเซียในสิงหาคมปี พ.ศ.๒๕๕๘ และได้รับปริญญาดุษฎีกิตติมศักดิ์มากถึง ๑๓ สถาบันสมเกียรติยศ

ท่านเคยอธิบายแนวคิดของนักปราชญ์ชาวอาหรับให้ผมฟังอย่างลึกซึ้ง ช่วยให้ผมได้มุมมองใหม่ และมีแหล่งข้อมูลเชื่อมต่อกันก็ไม่น้อย บวกกับทิศทางในตะวันออกกลาง ยุโรป สหรัฐอเมริกาที่ท่านช่ำชองอยู่แล้ว ให้บูรณาการกัน

สิ่งที่ท่านภาคภูมิใจในวลีว่า "ลำธารสองสายมาบรรจบกัน" ซึ่งเป็นหนึ่งในโองการจากพระมหาคัมภีร์อัลกรุอ่าน ท่านกล่าวถึงเรื่องนี้บ่อย เปรียบดั่งความรู้ทางโลกและความรู้ทางศาสนาที่กลมกลืนกลมกล่อมกลายเป็นแหล่งวิชาแห่งการใช้ชีวิต ปอเนาะบ้านตาลแห่งพิศสุวรรณก็ใช้สโลแกนนี้เป็นยุทธศาสตร์ในการจัดการเรียนรู้ ซึ่งแน่นอนว่าตัวตนของ ดร.สุรินทร์ ก็เป็นกระจกเงาของยุทธศาสตร์นี่ดี

ครั้งหนึ่งท่าน ดร.สุรินทร์ ได้รับเกียรติเป็นตัวแทนรัฐบาลไทยในการหาคะแนนสนับสนุนเพื่อให้ประเทศไทยได้เป็นหนึ่งในคณะมนตรีความมั่นคงในสหประขาชาติ (United Nations Security Council) ก่อนไปหาเสียงให้ประเทศไทยท่านได้ไปพูดที่งานของสถาบันมะเซาะ กรุงเทพมหานคร ในเดือนกุมภาพันธ์

ทีี่่่ผมจำได้เพราะมันคือช่วงเวลาแห่งการฉลองวันชาติของคูเวต บ้านหลังที่สองของผม เมื่อท่านเห็นผมท่านทักทายด้วยคำเดิมว่า "Prince !" และเผยให้รู้ว่าหลังจากการปาฐกถาคืนนี้แล้ว ท่านมีกำหนดการต้องไปคูเวต ผมได้รับใช้ท่านด้วยข้อมูลที่น่าจะเป็นประโยชน์ให้ท่านพอสังเขป ท่านจับมือของคุณก่อนจะรีบเดินทางไปสุวรรณภูมิ

มีไม่น้อยที่มีความหวังว่าท่าน ดร.สุรินทร์ พิศสุวรรณ จะก้าวขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรีของประเทศไทย ทุกคนเชื่อมั่นอย่างจริงจังว่าวิสัยทัศน์ของท่าน ความสามารถของท่าน คอนเนคชั่นของท่านจะช่วยทำให้ประเทศชาติวัฒนาอย่างมั่นคงได้ มีความสง่างามในเวทีโลกได้ดียิ่ง น่าเสียดายอย่างมากที่ว่ามันไม่มีวันเกิดขึ้นอีกแล้ว

สำหรับผู้หวังดีกับประเทศไทย ผู้มีความหวังกับอาเซียน การจากไปของ ดร.สุรินทร์ เป็นความสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่ ที่ยากจะหาผู้ใดเทียบเคียงได้

ผมขอยกย่องท่านเป็น "วีรบุรุษ" ของชีวิต เป็น "รัฐบุรุษ" ของโลก

แน่นอนพระเจ้าทรงเมตตายิ่ง ผมขอวิงวอน (ดุอา) ให้พระองค์ทรงประทานความเมตตา อภัยโทษในทุกความผิดบาป ตอบแทนในทุกกุศลผลความดีด้วยสรวงสวรรค์ และขอให้การจากไปครั้งนี้เป็นการจุดประกายให้มีผู้คนอย่าง ดร.สุรินทร์ เพิ่มขึ้นเพื่อพัฒนาสังคม ประเทศชาติ ตามแนวทางอันถูกต้อง ณ พระองค์ด้วยเถิด , อามีน .

ขอแสดงความเสียใจต่อครอบครัวท่าน "ดร.สุรินทร์ พิศสุวรรณ" อย่างสุดซึ้ง , อินนาลิลลาฮีวาอินนาอีลัยฮีรอญิอูน 

ท่านสุรินทร์จากไปแล้ว แต่ความตั้งใจของท่านมิได้ห่างหายไปไหน...

แม้ความเศร้าจะปรากฏลึกในหัวใจ คงเหลือแต่อนาคตที่เราทั้งหลายต้องร่วมใจช่วยให้มันดีขึ้น เพิ่มคุณภาพขึ้น เหมือนความพยายามลุกขึ้นยกจักรยานในกองฝุ่นโคลนสู่ความก้าวหน้าในชีวิตต่อไป

 

ด้วยความอาลัยรัก,

 

#PrinceAlessandro

30-11-2017

 

เหนือท้องฟ้าที่พัดผ่านบ้านตาลสู่มหานครเมืองสยาม.