แถลงการณ์ เชิญชวนพี่น้อง ร่วมเดินเพื่อ “ต่อลมหายใจ คนชายแดนใต้”
โครงการก่อสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหินเทพา จังหวัดสงขลา โดย กฟผ.และรัฐบาล เป็นโครงการโรงไฟฟ้าขนาดใหญ่ถึง 2,200 เมกะวัตต์ ตั้งบนพื้นที่ 3,000 ไร่ ใช้ถ่านหินมาเผาวันละ 23 ล้านกิโลกรัม ใช้น้ำทะเลในกระบวนผลิตวันละ 9 ล้านลูกบาศก์เมตร โครงการดังกล่าวส่งผลเสียอย่างมากต่อประชาชนอันได้แก่
ด้านสิ่งแวดล้อม ทั้งตัวท่าเรือและการใช้น้ำทะเลและปล่อยน้ำทิ้งลงทะเล ส่งผลต่อทะเล การกัดเซาะชายฝั่ง การดำรงชีวิตของปูปลากุ้งหอย ทำลายการประมงพื้นบ้าน ทำให้ป่าชายเลนผืนสำคัญเสื่อมโทรมลงไป รวมทั้งปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์จำนวนมหาศาล อันจะทำให้โลกร้อนเพิ่มขึ้น
ด้านสุขภาพ จากมลพิษทางอากาศจากฝุ่น โลหะหนัก สารไฮโดรคาร์บอน ที่ปล่อยออกมาตลอด 24 ชั่วโมง แม้จะไม่เกินมาตรฐาน แต่ด้วยขนาดกำลังการผลิตที่ใหญ่มาก ทำให้จำนวนมลพิษสะสมในพื้นที่จนเป็นอันตรายต่อสุขภาพในระยะยาวอย่างแน่นอน
ด้านสังคม ต้องมีการย้ายประชาชนกว่า240 ครัวเรือน หรือย้ายผู้คนนับพันคน กระทบต่อมัสยิดและกุโบร์(สุสาน) 2 แห่ง วัด 1 แห่ง และโรงเรียนปอเน๊าะอีก 1 แห่ง ซึ่งต้องย้ายออกไป กระทบต่อหลักศรัทธาของประชาชนในพื้นที่อย่างยิ่ง สภาพวิถีประมงพื้นบ้าน วิถีชีวิตของผู้คนในพื้นที่ที่ใช้ชีวิตบนฐานเกษตรกรรม จะเสื่อมทรุดและสาบสูญ
ด้านความมั่นคง โครงการดังกล่าวได้สร้างแตกแยกในชุมชน จากการที่ กฟผ.ใช้เงินซื้อทุกอย่าง ใช้อำนาจอิทธิพลข่มขู่ อีกทั้งพื้นที่เทพาและชายแดนใต้มีปัญหาสถานการณ์ความไม่สงบอยู่แล้ว โรงไฟฟ้าถ่านหินเทพาจะเป็นภัยแทรกซ้อนที่สำคัญและเป็นเงื่อนไขใหม่ต่อการปะทุของสถานการณ์ความไม่สงบได้
ปัจจุบัน กฟผ.ได้ส่งรายงานผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ (EHIA)ให้กับทางสำนักนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (สผ.)แล้ว การศึกษาผลกระทบฯในรายงานของ กฟผ.นั้น ได้ใช้วิชามารในการจัดทำรายงานและไม่ปฏิบัติตามขั้นตอนทางกฎหมายและวิชาการ กล่าวคือ
1. ได้มีการศึกษาผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม สุขภาพ และสังคม ในรัศมีเพียง 5 กิโลเมตร โดยมีเจตนาที่จะไม่ทำการศึกษาเข้าไปในพื้นที่จังหวัดปัตตานี ทั้งๆที่หมู่บ้านแรกของปัตตานีห่างจากโครงการเพียง 7 กิโลเมตรเท่านั้น อันแสดงถึงความไร้หลักวิชาการ ทั้งๆที่ผลกระทบนั้นไกลถึง 100 กิโลเมตร
2. กระบวนการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนทั้งการทำ ค.1 ค.2 และ ค.3 มีความฉ้อฉล มีการซื้อเสียงด้วยการแจกสิ่งของในเวที ค.1 ไม่มีการรับฟังกลุ่มเห็นต่างในการทำเวที ค.2 และมีการใช้กำลังปิดกั้นการมีส่วนร่วมในเวที ค.3 รวมทั้งไม่มีการจัดเวทีสร้างการรับรู้หรือการรับฟังความคิดเห็นใดๆในพื้นที่ปัตตานี ยะลา นราธิวาส แม้แต่ครั้งเดียว
ยิ่งเมื่อวันที่ 5 เมษายน 2559 ที่ผ่านมา ทางสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ได้รับรองรายงานการศึกษาของคณะกรรมาธิการการพลังงานต่อข้อเสนอโรงไฟฟ้าถ่านหินปานาเระขนาด 1,000 เมกะวัตต์ ยิ่งมีความชัดเจน จังหวัดปัตตานีและจังหวัดสงขลา จะอบอวลไปด้วยมลพิษของควันถ่านหิน ซึ่งอาจจะหนักกว่าควันระเบิดและควันปืน เพราะมลพิษจากถ่านหินนั้นปล่อยออกมาตลอด 24 ชั่วโมงตลอด 40 ปี ซึ่งจะเกิดความเสื่อมโทรมต่อสิ่งแวดล้อม สุขภาพ ศาสนา และความแตกแยกในชุมชน
สถานการณ์ความไม่สงบชายแดนภาคใต้ในปัจจุบันมีสถานการณ์ที่ดีขึ้นบ้างแล้ว แต่ก็ยังเปราะบางมาก การเกิดขึ้นของโรงไฟฟ้าถ่านหินทั้งที่เทพาและปานาเระด้วยกระบวนการที่ไม่เป็นธรรม ไม่มีส่วนร่วมในการรับรู้และการร่วมตัดสินใจของประชาชน ไม่มีการศึกษาผลกระทบอย่างครบถ้วนรอบด้าน ไม่สามารถตอบคำถามข้อสงสัยของชุมชนได้แต่กลับไปใช้การแจกของแจกเสื้อแจกเงินและใช้การดูงานเป็นเครื่องมือซื้อเสียงแทน รวมทั้งในช่วงหลังๆที่ทาง กฟผ.หันไปใช้ภาพของอำนาจทหารภายใต้ มทบ.42 มาสร้างภาพเพื่อกดพื้นที่ไม่ให้คัดค้าน สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นการสร้างเงื่อนไขต่อการพัฒนาพื้นที่ชายแดนใต้อย่างยั่งยืนและต่อการสร้างสันติภาพชายแดนใต้ด้วย
ด้วยเหตุที่โครงการโรงไฟฟ้าถ่านหินเทพามีความฉ้อฉลมากมาย จึงขอเชิญชวนพี่น้องคนไทยทั้งประเทศ โดยเฉพาะคนใต้ มาร่วมเดิน “เพื่อต่อลมหายใจคนชายแดนใต้” ในวันที่ 8-10 เมษายน 2559 จาก มอ.ปัตตานี สู่บ้านคลองประดู่ อำเภอเทพา เพื่อสร้างการรับรู้ต่อประชาชนในพื้นที่ และเรียกร้องต่อรัฐบาลให้ยกเลิกโครงการโรงไฟฟ้าถ่านหินเทพา
เครือข่ายประชาชนจังหวัดชายแดนภาคใต้ปกป้องสิทธิชุมชนและสิ่งแวดล้อมเพื่อสันติภาพ(PERMATAMAS)
เครือข่ายคนสงขลา-ปัตตานีไม่เอาโรงไฟฟ้าถ่านหิน
เครือข่ายนักศึกษา มอ.ปัตตานี เพื่อความเป็นธรรม
8 เมษายน 2559