ปรัชญเกียรติ ว่าโร๊ะ
โรงเรียนนักข่าวชายแดนใต้ ศูนย์เฝ้าระวังสถานการณ์ภาคใต้
นายประทีป มีคติธรรม คณะทำงานติดตามแผนพัฒนาภาคใต้ จังหวัดสุราษฎร์ธานี เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 27 เมษายน 2554 ที่ผ่านมา ได้มีการพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืนในท้องที่ตำบลท่าเคย ตำบลหนองไทร อำเภอท่าฉาง ตำบลลีเล็ด ตำบลศรีวิชัย ตำบลมะลวน ตำบลหัวเตย ตำบลท่าข้าม ตำบลพุนพิน ตำบลน้ำรอบ ตำบลหนองไทร ตำบลบางงอน อำเภอพุนพิน และตำบลท่ากระดาน อำเภอคีรีรัฐนิคม จังหวัดสุราษฎร์ธานี พ.ศ. 2554 เพื่อดำเนินโครงการพัฒนาลุ่มน้ำตาปี–พุมดวง จังหวัดสุราษฎร์ธานี โดยไม่มีชาวบ้านคนใดรับทราบเรื่องการออกพระราชกฤษฎีเวนคืนที่ดินฉบับนี้มาก่อน
“ผมพบพระราชกฤษฎีกาฉบับนี้ปรากฏในอินเตอร์เน็ตโดยบังเอิญ เบื้องต้นได้นำพระราชกฤษฎีกาฉบับนี้ไปถ่ายเอกสารแจกจ่ายชาวบ้านที่ได้รับผลกระทบ จากนั้นจะหารือกับเครือข่ายพิทักษ์ลุ่มน้ำตาปี–พุมดวงว่า จะดำเนินการอย่างไรต่อไป” นายประทีปกล่าว
นายประทีป กล่าวว่า ผลกระทบที่ชาวบ้านจะได้รับจากโครงการพัฒนาลุ่มน้ำตาปี-พุมดวงคือ สูญเสียที่ดินทำกินเนื่องจากการก่อสร้างคลองกว่า 3,000 ไร่ มีผู้ได้รับผลกระทบกว่า 1,000 ราย หากมีการก่อสร้างคลองส่งน้ำความกว้าง 5–55 เมตร ระยะทางเกือบ 40 กิโลเมตร ต้องยกคันคูสูงขึ้นจากพื้นกลายเป็นเขื่อนขวางทางน้ำ ทำให้น้ำท่วมขังตามแนวคลองส่งน้ำรุนแรง สร้างความเสียหายให้กับพื้นที่เกษตรกรรม ขณะที่โครงการฯลงทุนกว่า 3,000 ล้านบาท แต่ส่งน้ำไปใช้ประโยชน์ได้เพียงแค่ 4 เดือนต่อปีเท่านั้น และบางปีแทบไม่ได้ใช้ประโยชน์อะไรเลย
นายประทีป กล่าวต่อไปว่า โครงการพัฒนาลุ่มน้ำตาปี–พุมดวง เป็นโครงการที่ไม่ได้ศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) จึงไม่มีการประเมินผลกระทบด้านต่างๆ โดยเฉพาะผลกระทบจากการขาดแคลนน้ำจืดไปเลี้ยงระบบนิเวศชายฝั่งโดยเฉพาะในฤดูแล้ง ซึ่งจะทำให้น้ำเค็มรุกล้ำพื้นที่เกษตรกรรม ส่งผลกระทบต่อระบบประปาของเทศบาลนครสุราษฎร์ธานี และปัญหาขาดน้ำจืดลงไปผลักดันน้ำเสีย ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อการประมงเพาะเลี้ยงชายฝั่ง เช่น ปลาในกระชัง ความเค็มที่เพิ่มขึ้นส่งผลกระทบต่อป่าชายเลนอ่าวบ้านดอน เป็นต้น
“ก่อนหน้านี้กรมชลประทานส่งเจ้าหน้าที่ปักหลักหมุดเสาปูนเป็นแนวคลองส่งน้ำขนาดกว้าง 55 เมตร ในพื้นที่ จุดที่เป็นบ้านพื้นปูนก็ตอกตะปูและลงสีแดงขนาดเท่าหัวเสาปูนเป็นเครื่องหมาย เมื่อชาวบ้านเห็นก็ไล่ออกจากพื้นที่ พอพระราชกฤษฎีกาฯ ออกมาแบบนี้ ชาวบ้านมีโจทย์ใหญ่ว่า หลังจากนี้จะคัดค้านโครงการกันอย่างไร” นายประทีป กล่าว
ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 26 เมษายน 2554 ที่วัดยางงาม ตำบลหนองไทร อำเภอพุนพิน จังหวัดสุราษฎร์ธานี นายแพทย์นิรันดร์ พิทักษ์วัชระ กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ในฐานะประธานอนุกรรมการสิทธิชุมชนและฐานทรัพยากร คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ พร้อมคณะได้เดินทางมารับฟังความคิดเห็นจากส่วนราชการและประชาชนที่เกี่ยวข้องเกี่ยวกับโครงการพัฒนาลุ่มน้ำตาปี-พุมดวง เนื่องจากได้รับการร้องเรียนจากชาวบ้านว่าโครงการดังกล่าว ส่งผลกระทบต่อวิถีชีวิตและชุมชน
จากการรับฟังความคิดเห็นฝ่ายต่างๆ ทางคณะอนุกรรมการสิทธิชุมชนและฐานทรัพยากรมีความเห็นว่า โครงการพัฒนาลุ่มน้ำ-ตาปี เป็นโครงการที่เริ่มมาตั้งแต่ปี 2510 สำรวจมาตั้งแต่ปี 2533 สมัยนั้นยังมีที่นาอยู่มาก ขณะที่ปัจจุบันพื้นที่ทำนาเปลี่ยนเป็นสวนยางพารา และสวนปาล์มน้ำมัน ลักษณะการใช้น้ำต่างกัน โครงการจึงไม่สอดคล้องกับความเป็นจริง และไม่สอดคล้องความต้องการใช้น้ำของภาคเกษตรกรในปัจจุบัน
ลักษณะโครงการไม่มีการศึกษารายละเอียด ผลกระทบชุมชน พืชเศรษฐกิจ และสิ่งแวดล้อม นอกจากนี้โครงการหลีกเลี่ยงการศึกษาผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม โดยกำหนดตัวเลขพื้นที่ดำเนินโครงการไว้เพียง 73,890 ไร่ จงใจหลีกเลี่ยงไม่ทำรายงานการศึกษาผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม (EIA) ทั้งที่ข้อเท็จจริงจากการตรวจสอบพบว่า พื้นที่ชลประทานที่จะได้รับผลกระทบมากกว่า 80,000 ไร่ จากการขยายโครงการในระยะต่อไป ซึ่งเข้าข่ายจะต้องศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อม
ประชาชนผู้ได้รับผลกระทบจากการสร้างหัวงานและคลองส่งน้ำ ไม่เห็นด้วยกับโครงการ เพราะกระทบต่อพืชเศรษฐกิจหลัก คือสวนยางพารา และปาล์มน้ำมัน เนื่องจากในช่วงที่วางแผนโครงการราคายางพาราเฉลี่ยอยู่ที่กิโลกรัมละ 14 บาท แต่ปัจจุบันราคายางพาราเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณกิโลกรัมละ 100 บาท การประกาศกฤษฎีการเวนคืนที่ดินฯ และการดำเนินโครงการดังกล่าว ขาดการมีส่วนร่วมของชุมชนในการตัดสินใจ ทั้งที่ประชาชนมีสิทธิจัดการและกำหนดวิถีชีวิตของชุมชน ตามฐานทรัพยากรธรรมชาติ
จากข้อเท็จจริงที่ปรากฏ แม้กรมชลประทานจะชี้แจงว่า มีการประชุมเพื่อรับฟังความคิดเห็นกว่า 40 ครั้ง แต่ปรากฏว่าประชาชน ที่จะได้รับผลกระทบไม่เคยได้รับเชิญเข้าร่วมรับฟังคำชี้แจงแต่อย่างใด นอกจากนี้การเข้าไปปักหลักหมุดของกรมชลประทานในเขตบ้านเรือน สวนยางพารา และสวนปาล์มน้ำมันของชาวบ้าน โดยไม่มีการแจ้งว่าทำเพื่อการใด ยังส่งผลให้ชาวบ้านเกิดความแตกตื่น ถือเป็นการละเมิดสิทธิส่วนบุคคล และเป็นการบุกรุกเข้าไปในสถานที่ส่วนบุคคลโดยไม่ได้รับอนุญาต
สำหรับโครงการพัฒนาลุ่มน้ำตาปี–พุมดวง เป็นโครงการที่ทางเครือข่ายพิทักษ์ลุ่มน้ำตาปี–พุมดวง ซึ่งรวมตัวกัน เมื่อวันที่ 7 พฤศจิกายน 2552 ออกมาคัดค้านอย่างต่อเนื่อง ด้วยการยื่นหนังสือคัดค้านโครงการฯ ไปยังหน่วยงานต่างๆ เช่น องค์กรปกครองท้องถิ่นต่างๆ ในพื้นที่, กรมชลประทาน, รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ, นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี, นายดำริห์ บุญจริง อดีตผู้ว่าราชการจังหวัดสุราษฎร์ธานี, ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์, ประธานกรรมาธิการศึกษาตรวจสอบเรื่องทุจริตและเสริมสร้างธรรมาภิบาล วุฒิสภา และประธานคณะกรรมาธิการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมวุฒิสภา เป็นต้น
โครงการพัฒนาลุ่มน้ำตาปี-พุมดวง จังหวัดสุราษฎ์ธานี1. ความเป็นมา 2. ความจำเป็นที่ต้องดำเนินการโครงการ 3. วัตถุประสงค์โครงการ 4. รายละเอียดของโครงการ 5. ระยะเวลาดำเนินการ 8 ปี (พ.ศ. 2552–2559) 6. งบประมาณ วงเงินโครงการทั้งสิ้น 3,330.00 ล้านบาท
มีแผนการใช้จ่ายงบประมาณในแต่ละปี ดังนี้
7. การวิเคราะห์ทางเศรษฐศาสตร์
8. ประโยชน์ของโครงการ 10. สถานภาพโครงการ ที่มา : กรมชลประทาน
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|