นูรยา เก็บบุญเกิด โรงเรียนนักข่าวชายแดนใต้ (DSJ)
เมื่อวันที่ 18 สิงหาคม 2554 ภาควิชาประวัติศาสตร์ แผนกวิชามลายูศึกษา คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ และสถาบันสันติศึกษา มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ (ม.อ.) ร่วมกับหน่วยวิจัยภูมิภาคศึกษา มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ (มวล.) โดยการสนับสนุนของมูลนิธิเอเชีย จัดโครงการศึกษาเอกสารประวัติศาสตร์จังหวัดชายแดนใต้ : ร้อยเอกสารสำคัญเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ปัตตานี หรือ 100 Important Documents about Patani History Project ที่ใต้ถุนห้องประชุมองค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.)รูสะมิแล ตำบลรูสะมิแล อำเภอเมือง จังหวัดปัตตานี มีผู้เข้าร่วมประมาณ 50 คน โดยมีการนำเสนอเอกสารเกี่ยวประวัติศาสตร์ปัตตานี 100 ชิ้น ทั้งที่เป็นเอกสารภาษามลายู ภาษาไทยและภาษาต่างประเทศ
ดร.
ดร.อาหมัดอูมาร์ กล่าวว่า เอกสารการเขียนประวัติศาสตร์ปัตตานี แม้ไม่ค่อยมีคนเขียนมากนัก แต่ปัจจุบันมีงานเขียนด้านนี้มากขึ้น โดยเฉพาะงานเขียนวิชาการ
ดร.อาหมัดอูมาร์ กล่าวว่า ในอดีตขบวนการแบ่งแยกดินแดนยังไม่มี แต่มีเพียงการเรียนร้องสิทธิของชาวมลายู จนกระทั่งปี ค.ศ.1960 จึงเกิดขบวนการแย่งแยกดินแดนขึ้นมา จุดเปลี่ยนสำคัญที่ส่งผลให้เกิดขบวนการแบ่งแยกดินแดนในจังหวัดชายแดนภาคใต้ คือ การหายตัวไปของฮัจยีสุหลงในช่วงก่อนหน้านั้นไม่กี่ปี
ดร.อาหมัดอูมาร์ กล่าวว่า การเมืองไทย ไม่ได้ส่งผลให้เกิดความขัดแย้งเฉพาะในจังหวัดชายแดนภาคใต้เท่านั้น เพราะนักการเมืองหลายคนในปัจจุบันก็เป็นผู้ที่เคยจับอาวุธ แต่หลังจากที่มีนโยบาย66/23 ทำให้พวกเขาหันมาต่อสู้ทางการเมืองแทน
พล.ต.ต.
พล.ต.ต.จำรูญ กล่าวว่า เอกสารประวัติศาสตร์ปัตตานีส่วนใหญ่จะบันทึกเป็นภาษาต่างประเทศ เนื่องจากชาวต่างชาติจะบันทึกโดยไม่มีอคติ หนึ่งในนั้นมีจดหมายฉบับที่เขียนเป็นภาษาอังกฤษ โดยชาวต่างชาติคนหนึ่งที่เข้ามาทำเหมืองแร่ในปัตตานี ได้เขียนเล่าเรื่องราวในปัตตานีสมัยก่อน ปัจจุบันจดหมายฉบับนี้ถูกเก็บไว้ที่พิพิธภัณฑ์แห่งหนึ่งในประเทศอังกฤษ
“การค้นบ้านผู้ต้องสงสัย มีการค้นพบเอกสารเกี่ยวกับปัตตานี ที่เป็นภาษายาวีทุกครั้ง ดังนั้นจึงเป็นเหตุผลหลักที่ทำให้เอกสารทั้งหมด ต้องถูกขนย้ายออกไปอยู่ที่ประเทศมาเลเซีย” พล.ต.ต.จำรูญ กล่าว
พล.ต.ต.จำรูญ กล่าวต่อไปว่า การเขียนประวัติศาสตร์ปัตตานีมักถูกบิดเบือน ล่าสุดตนพบเอกสารในตัวผู้เสียชีวิตรายหนึ่งที่อำเภอบันนังสตา จังหวัดยะลา เอกสารดังกล่าวเป็นภาษายาวี หลังจากนำมาแปลเป็นไทยแล้ว พบว่าเอกสารดังกล่าวเป็นเอกสารที่มีเนื้อหาบิดเบือนจากข้อเท็จจริง
พล.ต.ต.จำรูญ กล่าวว่า การเขียนเอกสารประวัติศาสตร์ปัตตานีส่วนใหญ่ เขียนเป็นภาษายาวี แต่น่าเสียดายที่เด็กในจังหวัดชายแดนภาคใต้ส่วนใหญ่ในปัจจุบัน มักจะทิ้งภาษายาวีไป แล้วหันไปเขียนและอ่านเอกสารที่เป็นภาษาไทย ทำให้ไม่สามารถเข้าถึงอรรถรสในงานเขียนภาษายาวีได้ เนื่องจากอักขระแต่ละตัวแฝงไปด้วยความหมายมากมาย
นายอุดม ปัตนวงศ์ ตัวแทนจากมูลนิธิวัฒนธรรมอิสลามภาคใต้ กล่าวว่า การบันทึกประวัติศาสตร์ในสมัยศรีวิชัย เป็นการบันทึกโดยใช้ภาษาสันสกฤต ด้วยอักขระปารวะ ซึ่งเป็นภาษามลายูโบราณ แต่เมื่อ 800 กว่าปีที่ผ่านมามีการเปลี่ยนภาษาในการบันทึกประวัติศาสตร์จากอักษรปารวะเป็นภาษายาวี แม้เซนต์ ฟรานซิส ซาเวียร์จะเผยแพร่ศาสนาคริสต์ ก็ยังต้องเผยแพร่ศาสนาด้วยภาษายาวี และอยากฝากถึงคนรุ่นหลังให้เขียนประวัติศาสตร์ปัตตานีให้มากขึ้น เนื่องจากการเขียนประวัติศาสตร์ยังสามทรถเป็นประจักษ์พยานในทางวิชาการอีกด้วย
นาย