Skip to main content

อารีด้า  สาเม๊าะ โรงเรียนนักข่าวชายแดนใต้

 

 

จากมติที่ประชุมเมื่อวันที่ 31 กรกฎาคม 2554 ที่ห้องประชุมมะปรางค์ คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี 20 องค์กรภาคประชาสังคมในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนใต้ ตกลงร่วมกันที่จะจัดตั้ง “สภาประชาสังคมจังหวัดชายแดนใต้” ครั้งที่ 3

อันนำมาสู่การให้สัตยาบันร่วมกันของ 20 องค์กร ที่โรงแรมซีเอส ปัตตานี เมื่อวันที่ 20 สิงหาคม 2554

เบื้องหลังการรวมตัวกันครั้งนี้ ปฏิเสธไม่ได้ว่า มี “นายแพทย์พลเดช ปิ่นประทีป” แห่งสถาบันชุมชนท้องถิ่นพัฒนา เป็นหนึ่งในหัวเรี่ยวหัวแรงสำคัญ

คำถามก็คือว่า ทำไมต้องมีสภาประชาสังคมชายแดนใต้ฃคำตอบจาก “นายแพทย์พลเดช ปิ่นประทีป” ก็คือ คำว่าสภาดูดีมีน้ำหนัก เท่ากับเป็นการส่งสัญญาณว่าพวกเราคนชายแดนใต้พร้อมแล้วที่ร่วมมือกันจริงๆ สมาชิกในสภาก็เป็นข่ายงานเดิมที่มีกิจกรรมติดต่อถึงกันอยู่แล้ว ส่วนใหญ่เป็นที่รู้จักกันมานาน มีความคิดตรงกันว่า ต้องมีการรวมตัวอย่างจริงจัง จึงมีการวางแผนและตกลงกัน อีกอย่างองค์กรในช่วงก่อตั้งสภาก็เป็นกลุ่มที่มีความเข้มแข็ง และมีเครือข่ายเล็กๆ มากอยู่แล้ว การก่อตัวในครั้งนี้ เป็นเสมือนร่องน้ำใหญ่ ในอนาคตจะมีสายน้ำเล็กมาหนุน และทำให้การขับเคลื่อนงานสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ เข้มแข็งและมีพลังมากขึ้น

สภาประชาสังคมชายแดนใต้ จะขับเคลื่อนประเด็นใหญ่ที่เป็นเรื่องสำคัญๆ อย่างเรื่องการกระจายอำนาจ เรื่องกระบวนการยุติธรรม ซึ่งเป็นข้อข้องใจในสามจังหวัดชายแดนใต้ และการเอาผิดกับเจ้าหน้าที่รัฐ ที่มีพฤติกรรมไม่เหมาะสม จึงต้องสร้างพลังในการขับเคลื่อนร่วมกันของคนในพื้นที่

ตอนนี้สภาประชาสังคมชายแดนใต้ กำลังเตรียมจะออกแถลงการณ์ยื่นข้อเสนอที่มาจากภาคประชาสังคมชายแดนใต้ ต่อนายกรัฐมนตรีเกี่ยวกับนโยบายเกี่ยวกับสามจังหวัดชายแดนภาคใต้หลายข้อ

ผมมองว่าในอนาคตอีก 2–3 ปีข้างหน้า การขับเคลื่อนประเด็นสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ จะเข้มแข็งมากกว่านี้มาก สามารถต่อรองกับอำนาจรัฐได้ทุกเรื่อง โดยเน้นการขับเคลื่อนประเด็นผ่านความเห็นร่วมกันของสภาประชาสังคมชายแดนใต้เป็นหลัก เชื่อว่าจะสามารถสร้างความผลกระเทือนต่อสังคมได้มาก

จากสมาชิกที่เริ่มต้นก่อตั้งสภาประชาสังคมชายแดนใต้ครั้งนี้ ค่อนข้างจะเห็นความแข็งแรงของภาคประชาสังคม เพราะแต่ละองค์กรมีข่ายงานเยอะ คิดว่าการเริ่มต้นจากคนกลุ่มนี้ จะสามารถดึงเครือข่ายเล็กๆ เข้ามาร่วมอีกมากมาย ซึ่งจะยิ่งเสริมให้สภาฯ มีพลังมากขึ้นไปอีก