UNDP ร่วม STEP และศอ.บต. หนุนวิทยาลัยอิสลาม ม.อ. ทำแผนช่วยประชาชนด้านกฎหมายชายแดนใต้ ศึกษารูปแบบการให้ความรู้ของรัฐและภาคเอกชน เวทีกลุ่มย่อยเผยทั้ง 2 ฝ่ายยังทำงานไร้เอกภาพ ผู้ใช้กฎหมายมีปัญหา ภาคประชาชนยังมองแคบ แต่ช่วยอุดช่องโหว่กระบวนการยุติธรรม
เมื่อเวลา 09.00 น. วันที่ 23 พฤษภาคม 2555 ที่ห้องประชุมอีหม่ามฆอซาลีย์ อาคารนานาชาติ วิทยาลัยอิสลามศึกษา มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ (ม.อ.) วิทยาเขตปัตตานี วิทยาลัยอิสลามศึกษา จัดเวทีระดมความเห็น “แผนยุทธศาสตร์การช่วยเหลือประชาชนทางกฎหมายเชิญรุก” โครงการเสริมสร้างการตระหนักด้านกฎหมายแก่ชุมชนท้องถิ่นในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ ภายใต้การสนับสนุนของสำนักงานโครงการพัฒนาแห่งสหประจำชาติ(UNDP)โครงการส่งเสริมความเข้มแข็งและการมีส่วนร่วมในภาคใต้ของประเทศไทย (STEP) และศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.)มีผู้เข้าร่วม 30คน
นางสาววิปัญจิต เปิดเผยว่า จากนั้นทางโครงการจะสรุปจากการระดมความคิดเห็นเป็นรายงานและทำข้อนำเสนอเชิงนโยบาย เสนอต่อหน่วยงานส่วนกลาง ได้แก่ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงยุติธรรม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการยุติธรรมใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ โครงการนี้มีระยะเวลาตั้งแต่เดือนมีนาคม – กันยายน 2555
นายสุทธิศักดิ์ ดือเระ หัวหน้าโครงการเสริมสร้างการตระหนักด้านกฎหมายแก่ชุมชนท้องถิ่นในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ เปิดเผยว่า โครงการนี้ มีผลผลิต 4 ชิ้น ได้แก่ 1.การทำแผนที่ (Mapping) ขององค์กรที่ช่วยเหลือทางด้านกฎหมายในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ 2.จัดทำแผนยุทธศาสตร์การช่วยเหลือเชิงรุกทางด้านกฎหมายแก่ประชาชนใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ จัดทำแผนยุทธศาสตร์การเผยแพร่ข้อมูลข่าวสาร เพื่อสร้างความตระหนักในด้านกฎหมาย 4.จัดทำคู่มือสำหรับผู้ช่วยทนายหรือผู้คู่มือกฎหมายสำหรับผู้สนใจเรื่องกฎหมาย โดยทั้ง 4 ชิ้นจะต้องส่งให้ UNDP ภายในเดือนกรกฎาคม 2555
จากนั้นมีการแบ่งกลุ่มองค์กรช่วยเหลือประชาชนทางกฎหมายออกเป็น 2 กลุ่ม ได้แก่ ภาครัฐและภาคเอกชน ในการระดมความคิด เพื่อพัฒนาแผนยุทธศาสตร์การช่วยเหลือประชาชนทางกฎหมายเชิงรุก
background:white">ผศ.ดร.นิเลาะ แวอุเซ็ง อาจารย์คณะวิทยาลัยอิสลามศึกษาและทีมงานโครงการ กล่าวสรุปการระดมความเห็นของกลุ่มภาครัฐว่า มีจุดแข็ง คือ มีงบประมาณ มีบุคลากรที่มีความรู้ มีความพร้อมที่จะทำงานเชิงรุกส่วนจุดอ่อน คือ 1 บุคคลากรโดยเฉพะเจ้าหน้าที่ระดับชุมชนไม่มีความรู้เรื่องการบังคับกฎหมาย ขาดในจิตสำนึก มีความหวาดระแวงระหว่างเจ้าหน้าที่รัฐกับประชาชน กับเจ้าหน้าที่กันเอง และกับประชาชนกันเอง ไม่สามารถบูรณการการทำงานระหว่างหน่วยงานได้ ขาดความเป็นทีม การประสานระหว่างหน่วยงานมีปัญหา มีขั้นตอนที่ล้าช้า
background:white">ผศ.ดร.นิเลาะ สรุปอีกว่า ประชาชนในพื้นที่ยังไม่สามารถใช้กฎหมายเป็นประโยชน์ได้ ถือเป็นโอกาส เพราะประชาชนที่นี่เป็นมุสลิม 80 เปอร์เซ็นต์ มีวิถีอิสลามและยึดหลักความเป็นพี่น้อง หากสามารถใช้โอกาสนี้นำกฎหมายมาสร้างความเข้มแข็งในการแก้ปัญหาได้ จะสร้างความเชื่อมั่นต่อหน่วยงานภาครัฐได้ ซึ่งปัจจัยความสำเร็จอยู่ที่การมีส่วนร่วมของประชาชนเป็นสำคัญ ให้เครือข่ายภาคประชาชนมีส่วนรวมมากที่สุด มีเจ้าภาพที่ชัดเจน สร้างโอกาสให้ประชาชนสามารถเข้าถึงบริการจากภาครัฐ สามารถบูรณการและทำงานเป็นทีม นำไปสู่การแก้ปัญหาในระยะยาว
นายฮาฟิต สาและ อาจารย์คณะรัฐศาสตร์ ม.อ.วิทยาเขตปัตตานีและทีมงานของโครงการ กล่าวของสรุปของกลุ่มภาคประชาชนว่า จุดแข็ง คือมีบุคลากรที่เป็นคนในพื้นที่ รู้ภาษาของคนในพื้นที่ มีจิตอาสาจึงได้รับความไว้วางใจจากชาวบ้าน มีการลงพื้นที่แม้พื้นที่เสี่ยง บางองค์กรมีการพัฒนาองค์กรและบุคคลากรทีเป็นมืออาชีพ ให้ความสำคัญกับข้อมูล มีการศึกษาวิจัยและนำผลวิจัยมาใช้
นายฮาฟิต กล่าวสรุปอีกว่า จุดอ่อน ไม่มีการประสานงานระหว่างองค์กรในพื้นที่ ไม่มีงบประมาณ บางองค์กรไม่มีเจ้าหน้าที่ที่มีความรู้ด้านกฎหมาย ขาดนักวิชาการมาอธิบายปรากฏการณ์โดยเฉพาะมิติทางสังคม เพราะองค์กรที่ทำงานด้านกฎหมายเองก็ยังมีความคิดที่จำกัด มองแต่ในเชิงคดี ไม่มีความแหลมคมในภาพกว้าง
นายฮาฟิต กล่าวสรุปด้วยว่า ส่วนโอกาส คือมีเครือข่ายกว้างขวางและชาวบ้านยอมรับมากขึ้น เพราะมีการพูดถึงเรื่องความเป็นธรรมซึ่งเป็นที่ค้นหาของคนในพื้นที่มาตลอด 8 ปี่ที่ผ่านมา มีความพยายามพัฒนากระบวนการยุติธรรม และพยายามอุดช่องโหว่ให้กระบวนการยุติธรรมของภาครัฐ ที่สำคัญ ประชาชนเริ่มเข้มแข็งและกล้าหาญมากขึ้น ซึ่งเป็นผลพวงจากการทำงานของภาคประชาสังคม
นายฮาฟิต สรุปอีกว่า ส่วนอุปสรรค คือ การทำงานของเครือข่ายยังไม่มีเอกภาพเช่นเดียวกับภาครัฐ ซึ่งเป็นอุปสรรค์ใหญ่ ขณะที่ผู้ใช้กฎหมายเองก็มีปัญหา เพราะใช้อำนาจหน้าที่ไม่เป็นไปตามเจตนารมณ์ของกฎหมาย และมองอีกฝ่ายว่าให้ความช่วยเหลือฝ่ายตรงข้าม