Skip to main content

สัมมนาครบรอบ 9 ปีความรุนแรงภาคใต้  ผลักการพูดคุย กระจายอำนาจ ปฏิรูปการศึกษา กระบวนการยุติธรรม เพื่อดับไฟใต้ ย้ำรัฐต้องมีเอกภาพในการดำเนินนโยบาย ดึงการมีส่วนร่วมของประชาชน

เวลา 14.00 น. วันที่ 29 มิถุนายน  2555 ที่โรงแรมอินเตอร์คอนติเนนตัล กรุงเทพฯ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) แผนงานสร้างเสริมนโยบายสาธารณะที่ดี (นสธ.) คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และหนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์ ได้ร่วมกันจัดเวทีสาธารณะเรื่อง “9 ปีความรุนแรงภาคใต้ : อัศจรรย์ความรู้ในแดนเนรมิต?” 

 
 (ภาพ : เครือข่ายช่างภาพชายแดนใต้)
 
ในการอภิปรายในหัวข้อเรื่อง “ทางเลือกสำหรับทางรอดของภาคใต้”  นายศรีสมภพ จิตร์ภิรมย์ศรี อาจารย์คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี กล่าวว่าเหตุการณ์ที่ผ่านมา 101 เดือน ตั้งแต่เดือน ม.ค. 2547 ถึง พ.ค. 2555 มีเหตุการณ์กว่่า 11,700 ครั้ง มีผู้เสียชีวิตและได้รับบาดเจ็บ 1.4 หมื่นคน แบ่งเป็นผู้เสียชีวิต 5 พันคน บาดเจ็บอีก 9 พันคน โดยช่วงแรกมีเหตุการณ์เกิดขึ้นสูงมาก แต่หลังจากปี 2550 เหมือนเหตุการณ์จะลดลง แต่ยังคงที่เดือนละ 60 - 100 ครั้ง แต่เมื่อเปรียบเทียบกับเหตุการณ์แต่ละเดือน พบว่าความสูญเสียไม่เด่นชัดเท่ากับจำนวนของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น สรุปได้ว่าเหตุการณ์ความรุนแรงลดลง แต่ความตาย ความบาดเจ็บยังคงที่ ซึ่งเรามองว่าเหมือนเป็นโรคเรื้อรัง ซึ่งคลายกับหลายประเทศทั่วโลกที่มีปมปัญหาภายในที่แก้ไม่ตก คล้ายกับว่าเมื่อถึงจุดหนึ่งขึ้นไปสู่ที่ราบสูงที่ยาวมาก แต่กลับไม่มีทางลง
 
ดร.ศรีสมภพ กล่าวต่อว่า นโยบายของรัฐที่ลงไปในพื้นที่ 9 ปีที่ผ่านมา มีงบประมาณ 1.8 แสนล้านบาท แต่งบประมาณที่ลงไปต่อปีถือว่าช่วยพยุงให้ภาวะเศรษฐกิจอยู่ได้ แต่การกระจายรายได้ยังไม่ตกไปถึงคนส่วนใหญ่ เนื่องจากมีปัญหาความไม่โปร่งใส และนโยบายมีการใช้เรื่องการทหารมาก มีกำลัง 1.5 แสนคน ทั้งทหาร ตำรวจอาชีพ อาสาสมัคร เป็นต้น ซึ่งสามารถแก้ปัญหาได้ระดับหนึ่ง แต่ความรู้สึกของประชาชนที่มีต่อเจ้าหน้าที่ของรัฐยังมีไม่สูง จึงต้องดูว่าทางรอดจะมีอย่างไรบ้าง โดยมีข้อเสนอเรื่องการกระจายอำนาจแบบพิเศษ 6 โมเดล อาทิ มีศอ.บต. มีการเลือกตั้งผู้ว่าฯโดยตรง หรือมหานครปัตตานี ซึ่งโมเดลทั้งหมดก็ยังอยู่ในกรอบรัฐธรรมนูญ นอกจากนี้ยังมีข้อเสนอพูดคุยกับผู้ใช้ความรุนแรงในการเจรจาฝ่ายตรงข้ามกับรัฐเพื่อหาทางออกด้วย
 
นายดนัย มู่สา ผู้อำนวยการสำนักยุทธศาสตร์ความมั่นคงจังหวัดชายแดนภาคใต้และชนต่างวัฒนธรรม สภาความมั่นคงแห่งชาติ กล่าวว่าการร่าง “นโยบายการบริหารและการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ พ.ศ. 2555 – 2557 ซึ่งตนได้มีส่วนร่วมนั้นใช้เวลาดำเนินการกว่าหนึ่งปีและได้ไปพูดคุยกับคนหลากหลายภาคส่วน ซึ่งหลายฝ่ายก็มองปัญหาไม่ตรงกันเลย  นอกจากนี้ ปัญหาที่ท้าทายอีกอย่างคือ เจ้าหน้าที่นั้นไม่ได้นำนโยบายไปปฏิบัติ โดยมี 3 ประเภท คือ หนึ่ง ไม่เข้าใจจึงไม่นำไปปฏิบัติ สอง เข้าใจแต่ไม่เห็นด้วยจึงไม่ปฏิบัติ และสาม  เข้าใจ ไม่เห็นด้วยและปฏิบัติสวนทาง 
 
สิ่งที่รัฐบาลต้องทำภายใน 3 ปี  เพื่อเป็นทางออกของปัญหาความรุนแรงในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้นั้นมี 5 ข้อ คือ 1.ต้องใช้พื้นฐานการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนในการแก้ปัญหา  2.ความรุนแรงไม่สามารถแก้ปัญหาด้วยความรุนแรงได้ ควรใช้แนวทางสันติวิธี 3.ความสมดุลในเรื่องการปกครองหรือการกระจายอำนาจในพื้นที่  4. การเคารพในเรื่องสิทธิมนุษยชน มีนิติธรรมและนิติรัฐ และ 5.การปฏิบัติงานของหน่วยงานภาครัฐต้องมีเอกภาพ  ทั้งนี้หัวใจของทางรอดในระยะเฉพาะหน้า คือ ต้องสร้างความปลอดภัยและการพัฒนาคุณภาพชีวิต  และในระยะยาวจะต้องให้ความสำคัญกับเรื่องของการปฏิรูปการศึกษา  รัฐจะต้องมีความเข้าใจตรงกันในเชิงนโยบาย  และจะต้องเอาภาคส่วนอื่นๆ มาร่วมกับรัฐ  และที่สำคัญรัฐบาลจะต้องส่งสัญญาณอย่างชัดเจนว่าต้องการที่จะเดินในแนวทางนี้  
 
นายปิยะ กิจถาวร   รองเลขาธิการศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) กล่าวว่าสังคมไทยมี “ความไม่รู้” และ “อคติ” เกี่ยวกับพื้นที่ภาคใต้มาก  การเอาไม้บรรทัดเดียวกันที่ใช้ที่กรุงเทพฯ หรือเชียงใหม่ไปวัดภาคใต้นั้นจะทำให้เกิดความเข้าใจที่ผิดพลาด ระบบการจัดการศึกษาของรัฐไทยที่ผ่านมาเต็มไปด้วยบาดแผลและความขัดแย้ง  จำเป็นจะต้องมีการปรับเปลี่ยนปัญหาหลักของการศึกษา คือ เด็กในพื้นที่นั้นต้องเรียนทั้งศาสนาและสามัญซึ่งทำให้เด็กต้องเรียนหนังสือหนักมาก  ครูมีเวลาสอนไม่ครบ เพราะปัญหาในเรื่องของความปลอดภัย นอกจากนี้ยังขาดทุนการศึกษาและอุปกรณ์การศึกษา  จริงๆ แล้วเด็กในพื้นที่ภาคใต้ตอนล่างนั้นมีศักยภาพเพราะเขาพูดได้อย่างน้อยสองภาษาอยู่แล้ว คือ ไทยและมลายูถิ่น ซึ่งสามารถจะพัฒนาไปเป็นการพูดมลายูกลางซึ่งใช้อยู่ในประเทศมาเลเซียได้ง่าย 
 
นายปิยะกล่าวว่าตนเชื่อว่าการศึกษาและศาสนาเป็นหัวใจในการเปลี่ยนให้ความขัดแย้งกลายเป็นสันติสุข   รัฐไทยจะต้องเปลี่ยน ไม่รวมศูนย์หรือปิดกั้นความเห็นต่าง   หากว่าเราสนับสนุนให้คนมีสิทธิ์มีเสียง ก็จะแก้ไขปัญหาได้ นายปิยะกล่าว
 
นายมูฮำหมัดอายุบ ปาทาน สื่อมวลชนอาวุโส  ศูนย์เฝ้าระวังสถานการณ์ภาคใต้ (Deep South Watch) กล่าวว่าการมีทางเลือกนั้นสะท้อนว่าเรายังคงมีความหวัง ภาคประชาสังคมมีบทบาทสำคัญในการเปิดพื้นที่กลางและพื้นที่ปลอดภัยให้คนในพื้นที่ได้เสนอทางเลือก  การพูดคุยระหว่างฝ่ายรัฐและขบวนการที่ต่อต้านรัฐอย่างเดียวนั้นไม่อาจจะทำให้เกิดสันติภาพอย่างยั่งยืนได้   จำเป็นที่เสียงของภาคประชาสังคมและรากหญ้าจะต้องถูกรวมเข้าไปด้วย
 
การแก้ไขปัญหาภาคใต้ต้องทำ 3 ส่วน คือ หนึ่ง ต้องปรับบริบทการเมืองการปกครองให้เหมาะสมกับพื้นที่ชายแดนภาคใต้ซึ่งมีลักษณะเฉพาะในเชิงอัตลักษณ์  ถ้าไม่มีทางออกทางการเมืองก็ไม่สามารถแก้ปัญหาความขัดแย้งอย่างยั่งยืนได้  สอง ต้องมีการปรับปรุงเรื่องกระบวนการยุติธรรม  และสาม  ตนเห็นด้วยกับกรอบนโยบายของสมช. ที่ส่งเสริมเรื่องของการพูดคุยกับผู้เห็นต่าง  แต่ก็ยังไม่แน่ใจว่า สมช.จะสามารถทำให้นโยบายแปรไปสู่การปฏิบัติได้หรือไม่  นอกจากนี้ ยังเห็นว่าการดำเนินการในการแก้ไขปัญหาภาคใต้นั้นควรจะเดินด้วยความรู้ ไม่ใช่ความรู้สึกและต้องมีการสื่อสารกับสาธารณะให้มาก
 
พ.อ.ชินวัฒน์  แม้นเดช ตัวแทนจากกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้ากล่าวว่าปัญหาภาคใต้นั้นกระทบกับรากฐานของประเทศ  ความรุนแรงที่เกิดขึ้นนั้นเป็น “movement” ไม่ได้เป็น “event”  มีกระบวนการดำเนินการที่ต่อเนื่อง  แต่ว่าที่ผ่านมายังคงไม่มีใครมาแสดงความรับผิดชอบอย่างเปิดเผย  ในขณะเดียวกันมีการโฆษณาชวนเชื่อในพื้นที่อย่างกว้างขวางและบางครั้งมีการบิดเบือนข้อเท็จจริง เช่น ผ่านการออกใบปลิว  หรือการปลอมตัวโดยสวมใส่ชุดทหารเข้าไปก่อเหตุ   ทำให้เกิดความสับสนในพื้นที่   
 
การแก้ไขปัญหา จำเป็นที่จะต้องเข้าใจถึงแก่นของปัญหาให้ถ่องแท้  สิ่งที่ตนมองก็คือภาคใต้มีสิ่งที่เรียกว่า “อิสลามเชิงจารีตนิยม” และมีความโดดเด่นในเชิงอัตลักษณ์  นโยบายรัฐที่ผ่านมาได้ทำลายความแตกต่างเพื่อสร้างความเหมือน ซึ่งทำให้เกิดปัญหาและเกิดการต่อต้านรัฐขึ้น    แต่ที่จริงแล้วความแตกต่างเหล่านี้เป็นต้นทุนทางสังคมที่สามารถนำมาสร้างศักยภาพของประเทศได้    นโยบายการสร้างความเหมือนเหล่านี้ไม่ควรมีอีกต่อไป  
 
ตัวแสดงหลักในภาคใต้ในทัศนะของตนมี 3 ส่วน คือ หนึ่ง state actor คือเจ้าหน้าที่ของรัฐ  สอง คือ sub-state actor คือ กลุ่มหัวรุนแรงที่ต้องการรักษาอัตลักษณ์และแบ่งแยกดินแดน จึงได้ลุกขึ้นมาต่อสู้กับรัฐ  สาม คือ ประชาชนมลายูมุสลิมในพื้นที่  ซึ่งอยู่ตรงกลางระหว่างตัวแสดงทั้งสองข้างตน  sub-state actor ไม่เคยแสดงตนและแอบอยู่หลังประชาชนอย่างลับๆ  การศึกษาเกี่ยวกับ sub-state actor นั้นมีค่อนข้างน้อย  เขามีกระบวนการคัดเลือกคนเข้าขบวนการและบ่มเพาะความเป็นชาตินิยมมลายู  โดย  บอกว่าปัตตานีนั้นเป็น Dar al-Harb (แผ่นดินที่ปกครองโดยผู้นำที่ไม่ใช่มุสลิมและเข้าเงื่อนไขในการทำสงคราม)
 
พ.อ.ชินวัตรกล่าวทิ้งท้ายว่ารัฐไทยจะต้องสร้างเอกภาพทางความคิดและ “ยิงปืนให้ตรงเป้า” รัฐจะต้องกุมสภาพสามอย่างให้ได้ คือ  หนึ่ง กุมสภาพประชาชนในพื้นที่  รัฐจะต้องได้ใจประชาชน เพื่อให้ sub state actor ถูกโดดเดี่ยว สอง ศอ. บต. กอ. รมน. จะต้องมีนโยบายไปในทิศทางเดียวกันอย่างเป็นเอกภาพ  และ สาม คือการสร้างความยอมรับและความชอบธรรมในเวทีระหว่างประเทศ  หากเราคุมสามอย่างนี้ได้ การแก้ไขปัญหาสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ก็ไม่ยาก
 
ศ.ดร.ชัยวัฒน์ สถาอานันท์  อาจารย์คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์กล่าวในปัจฉิมกถาว่าสันติสนทนากับการเจรจาสันติภาพนั้นไม่ใช่สิ่งเดียวกัน เพราะว่าการเจรจาสันติภาพนั้นเน้นในการได้ข้อยุติ แต่ว่าสันติสนทนานั้นมุ่งที่จะสร้างความเชื่อมั่น  นอกจากนี้การตั้งเขตปกครองพิเศษนั้นอาจจะไม่จำเป็นที่จะนำไปสู่การแบ่งแยกดินแดนเสมอไป กรณีแบบนี้มีอยู่แต่ว่าเป็นส่วนน้อย   แต่ว่ามีการศึกษาที่ชี้ให้เห็นว่าเขตปกครองพิเศษนั้นกลับสามารถเป็นตัวหยุดการแบ่งแยกดินแดนได้  
 
ศ.ดร. ชัยวัฒน์ กล่าวทิ้งท้ายว่าการแก้ไขปัญหาภาคใต้นั้นยากเพราะปัจจัย 3 เรื่อง หนึ่ง เกิดสภาวะ “อุตสาหกรรมความไม่มั่นคง” ในพื้นที่ หลายฝ่ายได้ประโยชน์จากการที่สถานการณ์ความรุนแรงดำรงอยู่ สอง ทางเลือกที่จะเกิดนั้นยากเพราะ “วาทกรรมความมั่นคง” ที่ครอบอยู่ และสาม สังคมไทยเข้าใจว่าตนเองนั้นเป็นสังคมที่ดี โอบอ้อมอารีและอดทนต่อความแตกต่าง แต่ว่าปัญหาภาคใต้นั้นเหมือนเป็นหนามที่ทิ่มแทงความสำเร็จนี้อยู่ เหมือนเป็นก้อนกรวดในรองเท้า   ด้วยเหตุที่สังคมไทยมองตนเองว่าเป็นสังคมที่ดีจึงปฏิเสธที่จะมองความเป็นจริงนี้อย่างซึ่งหน้า