ศาลอาญารับฎีกาถอนคำสั่งคดีตากใบ ญาติใช้สิทธิตามรัฐธรรมนูญ ร้องคำสั่งศาลสงขลาไม่เป็นธรรม ชี้ตายเพราะขาดอากาศหายใจแต่ไม่ระบุพฤติกรรมถูกมัดมือไขว้หลังให้นอนทับบนรถ ปิดทางเอาผิดเจ้าหน้าที่ ศาลปัตตานีสืบพยานลับปากสุดท้าย ไขปริศนาการตาย ‘สุไลมาน แนซา’
มูลนิธิผสานวัฒนธรรม แจ้งว่า ศาลอาญามีคำสั่งรับฎีกาคำร้องขอให้เพิกถอนคำสั่งไต่สวนการตายกรณีผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์สลายการชุมนุมพื้นที่อำเภอตากใบของศาลจังหวัดสงขลา เนื่องจากเห็นว่าเป็นคำสั่งที่ไม่ถูกต้องและไม่เป็นธรรมตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย และขอให้ส่งฎีกาให้ศาลฎีกาพิจารณาต่อไปแล้ว
ทั้งนี้ ทนายความของญาติผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์สลายการชุมนุมอำเภอตากใบ จังหวัดนราธิวาส เมื่อปี 2547 จำนวน 34 คน ได้ยื่นฎีกาดังกล่าวต่อศาลอาญา เมื่อวันที่ 6 กรกฎาคม 2555 ที่ผ่านมา
มูลนิธิผสานวัฒนธรรม แจ้งว่า การยื่นฎีกาดังกล่าวเป็นการใช้สิทธิตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยที่ผู้ร้องสามารถใช้สิทธิทางศาลได้โดยตรง หลังจากศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษายืนตามศาลอาญา ที่ไม่รับคดีไว้พิจารณา เมื่อวันที่ 8 มิถุนายน 2555 เนื่องจากเห็นว่าศาลจังหวัดสงขลารับคดีไว้และทำการพิจารณาพิพากษาไปแล้ว ศาลอาญาจึงไม่อาจรับคดีไว้พิจารณาอีก เป็นการต้องห้ามตามพระธรรมนูญศาลยุติธรรม มาตรา 15
มูลนิธิผสานวัฒนธรรม แจ้งด้วยว่า คดีนี้สืบเนื่องจาก ญาติผู้ตายทั้ง 34 คน ได้ยื่นคำร้องต่อศาลอาญา เพื่อขอให้เพิกถอนคำสั่งไต่สวนการตายกรณีผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์สลายการชุมนุมที่อำเภอตากใบของศาลจังหวัดสงขลา ศาลอาญามีคำสั่งไม่รับคำร้อง ผู้ร้องซึ่งเป็นญาติผู้ตายทั้ง 34 คน จึงได้ยื่นอุทธรณ์ ต่อมาศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษายืนตามศาลอาญา
“ผู้ร้อง จึงได้ยื่นฎีกา โดยให้เหตุผลว่า คำร้องของผู้ร้อง มีวัตถุประสงค์ว่าคำสั่งของศาลจังหวัดสงขลานั้น ไม่ถูกต้องไม่เป็นธรรม ขัดหรือแย้งกับบทบัญญัติตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ผู้ร้องจึงยื่นคำร้องต่อศาลอาญาเพื่อเพิกถอนคำสั่งดังกล่าว การยื่นคำร้องของผู้ร้องในคดีนี้ไม่ใช่คดีที่ศาลจังหวัดสงขลารับไว้พิจารณาแล้ว ซึ่งต้องห้ามตามพระธรรมนูญศาลยุติธรรม มาตรา 15” มูลนิธิผสานวัฒนธรรม ระบุ
มูลนิธิผสานวัฒนธรรม แจ้งอีกว่า เมื่อไม่มีศาลใดมีเขตอำนาจเฉพาะ จึงต้องยื่นต่อศาลที่มีเขตอำนาจทั่วไป คือศาลอาญา เพราะศาลอาญามีเขตอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีอาญาทั้งปวงได้ทั่วราชอาณาจักร
มูลนิธิผสานวัฒนธรรม แจ้งด้วยว่า สำหรับคดีนี้ มีการโอนให้ศาลจังหวัดสงขลาพิจารณา ซึ่งคำสั่งไต่สวนการตายของศาลจังหวัดสงขลา กรณีผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์สลายการชุมนุม อำเภอตากใบในคดีหมายเลขดำที่ ช.16/2548 คดีหมายเลขแดงที่ ช.8 /2552 ระบุว่า ผู้ตายทั้งหมดเสียชีวิตเนื่องจากขาดอากาศหายใจ โดยไม่กล่าวถึงเหตุและพฤติการณ์ที่ตาย
“กล่าวคือ ไม่ระบุข้อเท็จจริงเรื่องที่ผู้ถูกควบคุมตัวจำนวน 78 คน ที่เสียชีวิต ถูกบังคับให้ถอดเสื้อและมัดมือไขว้หลัง บังคับให้นอนคว่ำหน้ากับพื้นรถยนต์บรรทุก ทับซ้อนกันเป็นชั้น ประมาณ 4-5 ชั้น และไม่ระบุชื่อบุคคลผู้ออกคำสั่งให้เจ้าหน้าที่ปฏิบัติตามคำสั่งและเจ้าหน้าที่เกี่ยวข้องในการปฏิบัติตามคำสั่ง ซึ่งเป็นผู้สั่งการหรือกระทำการอันเป็นเหตุให้ผู้ตายถึงแก่ความตาย”
“จากคำให้การของประจักษ์พยานในที่เกิดเหตุจำนวนมาก และพยานหลักฐานต่างๆ ในสำนวนได้ปรากฏข้อเท็จจริงทั้งหมดอย่างชัดแจ้ง รวมตลอดถึงข้อเท็จจริงสำคัญอื่นๆ ที่แสดงให้เห็นว่า การปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องกับการควบคุมผู้ร่วมชุมนุม และนำตัวไปที่ค่ายอิงคยุทธบริหาร อำเภอหนองจิก จังหวัดปัตตานี โดยไม่คำนึงถึงหลักนิติธรรม ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ สิทธิและเสรีภาพของผู้ถูกควบคุมตัวแต่อย่างใด”
“คำสั่งของศาลจังหวัดสงขลาย่อมกระทบต่อสาระสำคัญแห่งสิทธิและเสรีภาพในชีวิตและร่างกายของผู้ตาย และญาติผู้ตาย ซึ่งได้รับการรับร้องไว้ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ขัดกับบทบัญญัติประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 150 และบทบัญญัติรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย จึงสมควรถูกเพิกถอนและมีคำสั่งใหม่ที่เป็นธรรม”
มูลนิธิผสานวัฒนธรรม ระบุด้วยว่า ในตอนท้ายของฎีกา ผู้ร้องได้ระบุด้วยว่า คำสั่งของศาลจังหวัดสงขลาที่ไม่ถูกต้องตามรัฐธรรมนูญและกฎหมาย ส่งผลให้เจ้าหน้าที่รัฐไม่ต้องรับผิดในการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายและสิทธิมนุษยชนแต่ประการใด และอาจเป็นช่องทางให้เจ้าหน้าที่ของรัฐกระทำการอันไม่ชอบด้วยกฎหมาย ละเมิดสิทธิเสรีภาพของบุคคล โดยการปฏิบัติที่ทารุณ โหดร้าย และย่ำยีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ได้อีกซ้ำแล้วซ้ำเล่า
สืบพยานลับปากสุดท้าย ไขปริศนาการตาย ‘สุไลมาน แนซา’
ก่อนหน้านี้ เมื่อวันที่ 19 กรกฎาคม 2555 ศาลจังหวัดปัตตานี ไต่สวนพยานคดีชันสูตรพลิกศพ (ไต่สวนการตาย) ของนายสุไลมาน แนซา ซึ่งเสียชีวิตตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2553 ในสภาพศพแขวนคอด้วยผ้าขนหนูมัดกับกรงเหล็กดัดหน้าต่างในห้องควบคุมตัวของศูนย์เสริมสร้างสมานฉันท์ (ศสฉ.) ในค่ายอิงคยุทธบริหาร จังหวัดปัตตานี เป็นวันสุดท้าย ก่อนจะนัดฟังคำสั่งคดีชันสูตรพลิกศพในเวลา 13.30 น. วันที่ 20 กันยายน 2555
ในระหว่างการไต่สวน พยานปากหนึ่งซึ่งเป็นผู้ถูกควบคุมตัวในสถานที่และช่วงเวลาเดียวกับนายสุไลมาน เกรงว่าคำเบิกความบางส่วนอาจส่งผลต่อความปลอดภัยของตัวเอง เพราะปัจจุบันยังมีเจ้าหน้าที่มาถามหาอยู่เป็นประจำ จึงกลัวและไม่สะดวกใจที่จะเบิกความ จึงขอศาลให้สืบพยานโดยลับ ศาลจึงสอบถามพนักงานอัยการแล้วไม่คัดค้าน จึงมีคำสั่งให้ไต่สวนพยานปากดังกล่าวเป็นการลับ โดยให้บุคคลที่ไม่ใช่คู่ความในคดีออกจากห้องพิจารณาคดีทั้งหมด
คดีนี้พนักงานอัยการได้ยื่นคำร้องขอให้ชันสูตรพลิกศพต่อศาลจังหวัดปัตตานีเมื่อ วันที่ 21 ธันวาคม 2553 ต่อมานายเจะแว แนซา บิดาของนายสุไลมาน ได้ยื่นคำร้องคัดค้านเพื่อให้ทนายความได้ทำการซักค้านพยานผู้ร้องและนำพยานฝ่ายตนเข้าทำการไต่สวน เพราะเชื่อว่านายสุไลมานไม่ได้เสียชีวิตโดยการผูกคอตายด้วยตนเอง
การไต่สวนคดีนี้ใช้เวลานานเกือบ 2 ปี และเป็นคดีที่อยู่ในความสนใจของสาธารณชน ทั้งฝ่ายอัยการและฝ่ายญาติได้นำพยานเข้าทำการไต่สวนอย่างเต็มที่ โดยการสืบพยานครั้งล่าสุด เมื่อวันที่ 17 กรกฎาคม 2555 เป็นการไต่สวนพยานฝ่ายผู้ร้อง 1 ปาก วันที่ 18 กรกฎาคม 2555 ไต่สวนอีก 1 ปาก และในวันที่ 19 กรกฎาคม 2555 ไต่สวนพยานฝ่ายผู้คัดค้านอีก 3 ปาก หนึ่งในนั้นใช้วิธีไต่สวนลับ
อนึ่ง บิดามารดานายสุไลมานเป็นโจทก์ฟ้องเรียกค่าเสียหายจาก สำนักนายกรัฐมนตรี กระทรวงกลาโหมและกองทัพบก ต่อศาลจังหวัดปัตตานีไว้แล้ว ศาลกำหนดนัดเริ่มสืบพยานในวันที่ 13 พฤศจิกายน 2555