Skip to main content

   
 
รอฮานี จือนารา
เมื่อหยิบหนังสือและพบข้อความว่า  “มุสลิมที่ปฏิบัติภารกิจเพื่อหวังกอบกู้เกียรติยศของอิสลาม ทุกคนจำเป็นต้องอ่านหนังสือเล่มนี้” ใจก็ฉุดคิดว่าน่าจะเป็นหนังสือที่น่าสนใจ และจำเป็นต้องอ่านโดยเร็ว เมื่อได้เปิดอ่านก็รู้สึกอัลฮัมดูลิลเลอ์ ซูโกรต่อเอกองค์อัลลอฮมาก รู้สึกปลื้มปิติ ยินดี เป็นอย่างมาก และสำหรับดิฉันหนังสือเล่มนี้เป็นหนังสือที่ยอดเยี่ยมกว่าหนังสืออื่น ๆ เป็นที่สุด เพราะเห็นภาพและเข้าใจประวัติศาสตร์ของโลกอิสลาม ที่สำคัญสามารถวิเคราะห์ถึงความเป็นไปของโลกปัจจุบัน ทั้งในเหตุการณ์ความไม่สงบในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ และสถานการณ์โลกอาหรับปัจจุบัน ว่าเหตุใดที่เกิดความวุ่นวายถึงเพียงนั้น
            หนังสือนี้เขียนปราชญ์มุสลิมแห่งชมพูทวีป-อินเดีย นามว่า ซัยยิด อบุลหะซัน อาลี อัลนัดวีย์ (Sayyed Abul-Hasan Ali Nadwi) ท่านเสียชีวิตเมื่อปี ค.ศ. 1999 โดยท่านฝากงานเขียนและวรรณกรรมมากกว่า 700 เรื่อง และถูกถ่ายทอดเป็นภาษาต่าง ๆ เกือบทั่วโลก และหนังสือที่เป็นชิ้นเอกคือหนังสือเล่มนี้ เพราะภาษาอาหรับอย่างเดียวถูกพิมพ์ซ้ำแล้ว 20 ครั้ง
                 ดิฉันจึงเห็นว่ากลุ่มแกนนำผู้หญิงในพื้นที่ที่หวังจะทำงานเพื่อกอบกู้ความเป็นอิสรภาพและความเป็นธรรม จำเป็นต้องอ่านหนังสือเล่มนี้  เพราะผู้หญิงซึ่งเป็นเพศที่อ่อนแอในขณะที่ผู้หญิงหลายคนที่ต้องสูญเสียสามี แต่ต้องแบกรับภาระที่หนักอึ้งเหลือเกิน อีกทั้งยังต้องเผชิญกับปัญหาสังคมที่รุมเร้า จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องสร้างอีมานศรัทธาให้ความเข้มแข็ง เพราะหากจิตใจมีแรงศรัทธาที่แรงกล้าแล้ว แม้ว่าลมพายุเข้ามากระหน่ำก็ยากที่จะล้มลงได้
                ทั้งนี้หนังสือเล่มนี้ประกอบด้วย 5 บทด้วยกัน บทแรกจะกล่าวถึง สภาพอันเลวร้ายของมนุษยชาติในยุคญาฮีลียะห์ (ยุคงมงาย) ถูกครอบงำด้วยอำนาจอธรรมและการตกเป็นทาส ต้องตกอยู่ในกระแสของความฟุ้งเฟ้อ เช่น สตรีในยุคญาฮีลียะห์นั้น ต้องตกเป็นเป้าของการหลอกลวงและการกดขี่ ถูกลิดรอนสิทธิต่าง ๆ อันพึงได้รับ ทรัพย์สินถูกยึด ห้ามรับมรดกหลังการหย่าร้าง หรือกรณีที่สามีเสียชีวิตหล่อนไม่อาจแต่งงานกับชายใหม่ที่หล่อนพอใจได้ หล่อนเป็นดั่งมรดกที่ถูกสืบทอดเช่น ทรัพย์สินหรือสัตว์พาหนะตัวหนึ่งเท่านั้น 
                 หลังจากนั้นหนังสือได้กล่าวถึง  การเปลี่ยนผ่านจากยุคงมงายสู่ยุคอิสลาม บทบาทแห่งการปลดปล่อยจิตวิญญาณจากจินตนาการที่ผิดๆ และความคร่ำครึ จากความเป็นทาส สู่การรังสรรค์สังคมโลกบนรากฐานของความศีลธรรม บริสุทธิ์ มีทัศนคติเชิงบวก มีความคิดสร้างสรรค์ เสรีภาพ และการพัฒนาที่เปลี่ยนแปลง บนรากฐานของการศึกษา  ความเชื่อมั่นไว้ใจ และความศรัทธา ความยุติธรรม และเกียรติยศ และมุ่งมันทำงานเพื่อความสัมฤทธิ์ผลในการพัฒนาและความเจริญงอกงามของชีวิต  เนื่องจากท่านนบีมูฮำหมัด (ซ.ล.) เริ่มจากสร้างจิตวิญญาณ ในหลักความเชื่อ (หลักอากีดะห์) รวมเวลา 13 ปี ทำให้พวกเขามีความเชื่อมั่นในอิสลาม และไม่หวั่นเกรงต่อศัตรูใด แต่ก็ไม่ได้หยิ่งผยองต่อความศรัทธาเหล่านี้ แต่พวกเขาปฎิบัติศาสนกิจอย่างเคร่งครัด เหล่านี้ทำให้พวกเขาสามารถกำราบมหาอำนาจทั้งเปอร์เซีย และโรมได้
            ซึ่งบทนี้ดิฉันรู้สึกประทับใจกับความกล้าหาญของคอลีฟะห์ทั้งสี่ และ ซอฮาบะห์ (ผู้ร่วมสมัยท่านนบี)ทั้งหลาย ที่พวกเขายอมเสียสละทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อเชิดชูอิสลาม และที่สำคัญพวกเขามีความเฉลียวฉลาด และปราดเปรื่อง ทั้งทางด้านความเชื่อศรัทธาและความรู้ทั่วไป โดยไม่ได้แยกศาสนาและการเมือง และทำงานเพื่อปลดปล่อยมนุษย์จากการเป็นทาสของมนุษย์สู่การเป็นทาสของอัลลอฮเพียงองค์เดียว  ฉะนั้นอิสลามมีความสมบูรณ์แบบ และให้เกียรติต่อชีวิตมนุษย์ หรือกล่าโดยปัจจุบัน ก็คือ อิสลามเคารพในสิทธิมนุษยชนเป็นอย่างมาก และพร้อมที่จะให้มนุษย์อยู่ในครรลองที่ถูกต้องงดงามเป็นที่สุด
                ต่อมาหนังสือได้กล่าวและสาธยายถึงสาเหตุความตกต่ำทั้งทางด้านจิตวิญญาณและด้านวัตถุ กล่าวถึงประชาชาติมุสลิมที่ต้องประสบเมื่อพวกเขาไร้อุดมการณ์ทางศาสนา และละเลยพันธกิจที่ต้องรับผิดชอบ รวมทั้งสิ่งต่าง ๆ ที่โลกโดยรวมต้องประสบเมื่อมุสลิมสูญเสียอำนาจแห่งการเป็นผู้นำอันเที่ยงธรรมไป กลายเป็นสังคมที่ย้อนยุคสู่ ญาฮีลียะห อีกครั้ง และมันคือสภาพความเป็นไปของปัจจุบันที่เราเห็นอยู่ทั่วไป
                ถึงเวลาที่สังคมต้องไตร่ตรองและทบทวนบทบาทหน้าที่ของตัวเอง เพื่อเข้าสู่พระผู้เป็นเจ้า และการเชื่อมั่นต่อวันปรโลก และพร้อมเพรียงในการเชิญชวนการเข้าสู่อิสลาม เพื่อออกจากความมืดมนต่าง ๆ สู่แสงสว่างจากการบูชาไหว้มนุษย์ด้วยกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งหนังสือเล่มนี้ได้ตระหนักถึงผู้นำทั้งหลายให้ทำความเข้าใจหลักศรัทธาให้ลุ่มลึกและพร้อมปฏิบัติอย่างเคร่งครัด ทำความเข้าใจถึงจิตวิญญาณของอิสลาม เข้าใจในเจตนารมณ์ของบทบัญญัติ รอบรู้ถึงหลักกฎหมายอิสลาม และสามารถวินิจฉัย (ทั้งโดยส่วนตัวและส่วนรวม) ต่อการแก้ไขปัญหาต่าง ๆ และสามรถชี้นำประเทศชาติในยามที่เต็มไปด้วยความสับสนวุ่นวายได้ และได้กล่าวถึงคุณสมบัติของผู้นำที่ดีอีกด้วย
                ฉะนั้นพวกเราทุกคนไม่สามารถยอมแพ้ หรือยอมจำนนต่อสภาพอันบีบบังคับต่าง ๆ ได้ หรือโยนความผิดว่าเป็นการลิขิตจากพระเจ้า (กอฎอ-กอดัร) เพราะหากยอมจำนน นั่นเราจะถูกอยู่ในจำพวกคนที่อ่อนแอ และคนทุพพลภาค ดังนั้นผู้ศรัทธา (มุอ์มิน) ที่เข้มแข็ง ตัวของเขานั่นแหละเป็นสิ่งบันดาลให้ของพระเจ้า และ เป็นการลิขิตอันแน่นอนที่ไม่มีวันแปรเปลี่ยน
                ท้ายนี้หวังว่าทุกคนจะได้มีโอกาสอ่านหนังสือเล่มนี้และพร้อมไม่อ่อนข้อ และชิงชังต่อญาฮีลียะห์ และปฎิเสธต่อระบบต่าง ๆ ที่ล้มเหลวและไร้ศักยภาพ เข้มแข็งในหลักอากีดะห์ และยึดมั่นในความถูกต้องเป็นธรรม และกล้าที่จะลุกขึ้นปฏิบัติการที่เป็นสันติวิธี  โดยเฉพาะแกนนำทุกคนที่พร้อมจะนำการเปลี่ยนแปลงสู่ความเป็นอิสลาม หรือสังคมที่ปรองดองในที่สุด อินสาอัลลอฮ.