Skip to main content

 

ศาสนาจะกลับมามีบทบาทอีก

 

บรรจง บินกาซัน

 

 

คัมภีร์กุรอานบอกกล่าวเรื่องราวการสร้างมนุษย์ไว้อย่างน่าสนใจว่าเมื่อพระเจ้าจะสร้างมนุษย์ขึ้นมา พระองค์ได้เอ่ยบอกบรรดาทูตสวรรค์ที่ทำหน้าที่รับใช้พระองค์ว่าพระองค์จะสร้างตัวแทนขึ้นมาบนโลกใบนี้เพื่อวัตถุประสงค์บางอย่าง เรื่องราวดังกล่าวบอกให้เรารู้ว่าสถานภาพของมนุษย์คือตัวแทนของพระเจ้าบนหน้าแผ่นดิน

เป็นเรื่องธรรมดาที่หากใครจะแต่งตั้งตัวแทนให้ทำหน้าที่อะไรบางอย่างแทนตน ตัวแทนผู้นั้นต้องเป็นผู้มีความรู้ความสามารถพอที่จะทำหน้าที่แทนตนให้สำเร็จลุล่วงไปได้ คัมภีร์กุรอานเล่าเรื่องราวต่อไปว่าเมื่อพระเจ้าทรงสร้างอาดัมให้เป็นตัวแทนเพื่อทำหน้าที่บางอย่างบนโลกใบนี้ พระองค์จึงได้สอนนามต่างๆหรือความรู้ให้แก่อาดัม ไม่เพียงเท่านั้น พระองค์ยังได้สร้างสถานการณ์จำลองเพื่อสอนบทเรียนสำคัญให้อาดัมรู้ว่าบนโลกใบนี้มีซาตานมารร้ายอาศัยอยู่ด้วย จงอย่าหลงเชื่อมัน เพราะมิเช่นนั้นแล้ว ความรู้ที่มนุษย์ผู้เป็นลูกหลานอาดัมได้รับจากพระเจ้าจะถูกนำไปใช้ในทางที่ผิดและเป็นผลร้ายกับมนุษย์เอง

ดังนั้น เราจึงเห็นได้ว่าเมื่อมนุษย์มาจุติบนโลกใบนี้และแพร่ขยายเผ่าพันธุ์จนมีจำนวนนับหลายพันล้านคน มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตเพียงเผ่าพันธุ์เดียวที่ได้รับความรู้ในด้านต่างๆอย่างต่อเนื่อง ความรู้เหล่านี้เองที่ทำให้มนุษย์มีวิวัฒนาการมาโดยตลอดในขณะที่สัตว์สายพันธุ์อื่นๆไม่มีวิวัฒนาการในการดำรงชีพเหมือนมนุษย์ แต่ขณะที่มนุษย์ได้รับความรู้ในทางโลกเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ มนุษย์ก็ได้รับความรู้ที่สำคัญอย่างหนึ่งไปพร้อมๆกันไปโดยไม่ขาด นั่นคือ คือความรู้ทางศาสนาที่มีศาสดาหรือนบีเป็นบรมครูมาพร่ำสอน

ยุคใดก็ตามที่มนุษย์มีความรู้ทางวิชาการและใช้ชีวิตตามคำสอนของศาสนา ยุคนั้นเป็นยุคที่มนุษย์ได้รับความสุขและความเจริญทั้งทางด้านวัตถุและจิตใจ

เนื่องจากความรู้ทางโลกและทางธรรมมาจากแหล่งที่มาเดียวกัน นั่นคือพระเจ้า ดังนั้น ความรู้ทางโลกหรือทางวิทยาศาสตร์จึงสอดคล้องกันและไม่ขัดแย้งกับคำสอนของศาสนา แต่เมื่อใดที่บุคคลทางศาสนาสอนความรู้ทางธรรมที่ไม่ได้เป็นคำสอนที่แท้จริงหรือบิดเบือนคำสอนของศาสนา ความขัดแย้งก็จะเกิดขึ้นและความเสียหายจะติดตามมา

ในยุคที่คริสตจักรเรืองอำนาจ บาทหลวงส่วนใหญ่มีความเชื่อว่าโลกเป็นศูนย์กลางของระบบสุริยจักรวาลและสอนความเชื่อในเรื่องนี้จนดูเหมือนเป็นความเชื่อทางศาสนาทั้งๆที่ความเชื่อในเรื่องนี้ไม่มีอยู่ในคัมภีร์ เพราะพระเจ้าทรงรู้ดีว่าความรู้ทุกอย่างทางด้านกายภาพเป็นสิ่งที่พลังสติปัญญาของมนุษย์สามารถค้นหาได้

และก็เป็นเช่นนั้นจริงๆเมื่อนักวิทยาศาสตร์ยุคกลางอย่างเช่น เคปเลอร์ โคเปอร์นิคัส กาลิเลโอและคนอื่นๆได้พบความจริงและยืนยันด้วยความเชื่อมั่นจากการศึกษาค้นคว้าทดลองว่าดวงอาทิตย์ต่างหากที่เป็นศูนย์กลางของระบบสุริยจักรวาล มิใช่โลก

ความรู้ใหม่ที่ได้รับการยืนยันจนกลายเป็นความเชื่อมั่นของนักวิทยาศาสตร์นี้เองทำให้บาทหลวงในยุคกลางถือว่าเป็นการท้าทายสถานภาพและอำนาจความน่าเชื่อถือของตน ดังนั้น ศาลศาสนาจึงถูกตั้งขึ้นมาเพื่อไต่สวนนักวิทยาศาสตร์ที่ท้าทายบาทหลวงแห่งคริสตจักร นักวิทยาศาสตร์หลายคนถูกทรมานอย่างทารุณเพื่อให้เปลี่ยนแปลงความรู้ของตนให้สอดคล้องกับความเชื่อของบาทหลวง หลายคนต้องพิการและหลายคนต้องถูกทรมานจนเสียชีวิต แต่นักวิทยาศาสตร์เหล่านั้นเชื่อมั่นในความรู้ที่ถูกต้องของตนจนเหมือนกับเป็นความเชื่อในสัจธรรม จึงไม่ยอมราข้อให้บาทหลวงแห่งคริสตจักรแม้ต้องเสียชีวิตก็ตาม

เมื่อไม่ได้รับความเป็นธรรมและถูกกดขี่ข่มเหงรุนแรงมากขึ้น มาร์ติน ลูเธอร์ นักวิทยาศาสตร์และบาทหลวงชาวเยอรมันจึงประท้วงและปฏิเสธการตัดสินของบาทหลวงแห่งคริสตจักร นับแต่นั้นมา คริสตจักรซึ่งเคยเป็นหนึ่งเดียวภายใต้พระสันตะปาปาจึงได้แตกออกเป็นสองซีกใหญ่คือคริสตจักรโรมัน คาธอลิกและโปรเตสแตนท์(ที่แปลว่าผู้คัดค้าน)

หลังจากนั้นเป็นต้นมา โลกของโปรเตสแตนท์ได้รับความเจริญก้าวหน้าทางด้านวิทยาศาสตร์เป็นอย่างมากเพราะการหลุดพ้นจากกรอบความคิดความเชื่อของบาทหลวงแห่งคริสตจักรยุคกลาง แต่ความเจริญก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ทำให้คนยุคใหม่เชื่อมั่นในความรู้ทางวิทยาศาสตร์จนเหมือนกับความศรัทธาทางศาสนาและมองว่าศาสนาเป็นสิ่งล้าหลัง คนรุ่นใหม่หลายคนคลั่งไคล้วิทยาศาสตร์และถือว่านักวิทยาศาสตร์คือศาสดายุคใหม่จนถึงขนาดที่ว่าเมื่อนักวิทยาศาสตร์บอกว่ามนุษย์มีวิวัฒนการมาจากลิง คนเหล่านี้ก็เชื่ออย่างสนิทใจ

การปฏิเสธบทบาทของศาสนาในชีวิตและการจำกัดบทบาทของบุคคลทางศาสนาไว้ในบริเวณศาสนสถานนี้เองที่ทำให้เกิดแนวความคิดที่เรียกว่า“เซคิวล่าริสต์” (secularism) ซึ่งต่อมาได้แตกลูกออกหลานเป็นลัทธิความเชื่อต่างๆที่มาจากความคิดของมนุษย์ล้วนๆโดยไม่มีศาสนาเกี่ยวข้อง ตัวอย่างเช่น ลัทธิทุนนิยมที่ก่อให้เกิดปฏิกิริยาต่อต้านเป็นลัทธิคอมมิวนิสต์ขึ้นมา แต่ทั้งสองลัทธินี้คือด้านหัวและด้านก้อยของเหรียญกษาปณ์อันเดียวกัน กล่าวคือ ทั้งสองลัทธินี้ปฏิเสธบทบาทของศาสนาในการจัดระเบียบทางเศรษฐกิจและสังคมเหมือนกัน

วันนี้ โลกได้เห็นการล่มสลายของลัทธิคอมมิวนิสต์ไปแล้ว ขณะเดียวกัน ลัทธิทุนนิยมก็กำลังอยู่ในอาการโคม่า ในไม่ช้า เมื่อเศรษฐกิจและสังคมของมนุษย์พังทลาย มนุษย์ก็จะเรียกร้องต้องการให้นำคำสอนของศาสนาที่ถูกต้องมาประยุกต์ใช้ในชีวิตทางเศรษฐกิจและสังคมอีกครั้งหนึ่ง