Skip to main content

หมายเหตุ:  อนุสนธิจากการที่มีการเชิญตัวสมาชิกกลุ่มสื่อทางเลือกในพื้นที่ไปสอบปากคำโดยจนท.ทหารเมื่อต้นสัปดาห์สุดท้ายของเดือนนี้ ได้มีการอัพเดทข้อมูลในโซเชี่ยลมีเดีย ข้อความข้างล่างยกมาจากโน้ตที่โพสต์ในเฟสบุค

อัพเดทกรณีทหารเชิญคนทำสื่อ ซาฮารี เจ๊ะหลง ไปสอบ

by Noi Thamma   on Thursday, 26 July 2012 at 20:13

คำเตือน เนื่องจากมาจากเฟสบุค ภาษาอาจเป็นกันเองมากไป

 

ขออัพเดทข้อมูลเพื่อเพื่อนๆสื่อในกรณีจนท.ทหารเชิญตัวซาฮารี คนทำสื่อทางเลือกในพื้นที่ไปคุย(หรือพูดตรงๆคือเอาไปสอบ) การพูดคุยที่ว่าเกิดขึ้นที่ค่ายทหารที่น้ำดำ ปุโละปุโย ปัตตานี เมื่อวานเป็นวันที่สอง ตอนเย็นของวันปรากฏว่าซาฮารีได้กลับบ้านหลังพูดคุยหลายชม. 

สิ่งที่ น่าสนใจ อันแรก  ซาฮารีบอกว่า ประเด็นในการซักถามของจนท.เริ่มเปลี่ยนไป จากที่ก่อนหน้านี้ถามเรื่องความเกี่ยวข้องกับบางเหตุการณ์ ตอนนี้หันมาถามเรื่องการทำงานในฐานะสื่อ บทบาท แนวคิดของเขา รวมถึงการเป็นผู้นำในการชุมนุมในอดีต ที่น่าสนใจสำหรับบรรดาคนทำสื่อคือมีการตั้งคำถามเชิงตำหนิวิจารณ์การทำงานของสื่อทางเลือกหลายสถานด้วยกันรวมทั้งล่วงเลยไปถึงเรื่องของการให้การสนับสนุนสื่อของบรรดาแหล่งทุนแทบทุกรายที่ให้ทุนกับสื่อทางเลือกเหล่านี้ด้วย  ไล่ตั้งแต่แหล่งทุนจากยุโรป สหรัฐ ไปจนถึงญี่ปุ่นว่าเหตุใดแหล่งทุนเหล่านี้ให้ทุนสื่อมาทำแต่เรื่องการละเมิด สิทธิของมุสลิม ทำไมไม่ทำเรื่องการถูกละเมิดของคนอื่นๆบ้าง 

(ประเด็น นี้ไม่รู้ว่า จนท.ต้องการจะสื่อสารความรู้สึกหรือแรงกดดันอันนี้ผ่านซาฮารีไปยังบรรดาคนทำสื่อทางเลือกหรือเปล่า หรือว่าพวกเขาคิดว่าคนทำสื่อมันมีนอกมีในมีแบคมีฟรอนท์จริงๆ พวกเขามีคำถามสำคัญว่า ใครเป็นคนอยู่เบื้องหลังการทำงานของสื่อทางเลือกเหล่านี้ โอ้ยโย่ คำถามแบบนี้แปลว่ายากส์ครับพี่น้อง)

ประเด็นถัดมาที่น่าสนใจคือเรื่องของเทคนิควิธีการเชิญตัว  จนท.ทหารที่นั่นยืนยันกับซาฮารีว่านี่เป็นการเชิญไปพูดคุยธรรมดาๆไม่ใช่เป็นการใช้อำนาจตามกฎอัยการศึกซึ่งสามารถเอาตัวคนไป "คุย" ได้ถึงเจ็ดวัน แต่ข้อมูลจากซาฮารีคือในการเชิญตัวหนนี้มีการนำตัวไปสถานีตำรวจ และมีการเก็บตัวอย่างดีเอ็นเอจากเจ้าตัวด้วย ทั้งตอนที่เชิญไปก็ดูว่าไม่ได้ทำด้วยท่วงทำนองที่โปร่งใสนัก  ชวนให้สงสัยว่าการชวนไปพูดคุย "ตามธรรมดา" ของจนท.มันมีมาตรฐานอย่างไร

จน ท.อาจจะไม่เข้าใจว่าในปัจจุบันคำว่าการ "เชิญตัว" โดยจนท.ทหารกลายเป็นคำที่น่าหวั่นวิตกเพียงใดสำหรับผู้คนแม้แต่คนที่เชื่อว่าตัวเขาเองบริสุทธิ์จริงๆเนื่องจากข้อมูลเรื่อง "ของแถม" ที่มาพร้อมการไป "คุย" ดังนั้นแม้หลายคนจะพยายามบอกคนที่เจอสถานการณ์แบบนี้ว่า การไปพบจนท.คือการไปเคลียร์ตัวเองและไม่ใช่เรื่องน่ากลัวอันใด รีบไปซะ เคลียร์เรื่องคาใจกันแล้วก็จะได้แล้วกันไปเลิกหวาดระแวงกันเสียทีและมีเวลาไปใช้ชีวิตเยี่ยงคนธรรมดาเขา แต่เวลาได้ยินเรื่องแบบนี้ทำให้เห็นชัดว่ามันยากจะช่วยอธิบายอะไรได้ เพราะวิธีการอันซ้ำซากแบบเดิมๆที่คลับคล้ายว่าเคลียร์แต่ในคำแต่ในการกระทำเป็นอีกอย่าง

กับเรื่องของการเชิญตัวนี้ ขอตั้งข้อสังเกตุตรงนี้หน่อย คือเห็นว่าเดี๋ยวนี้มีทหารหลายแห่งในสามจังหวัดที่มีท่าทีและท่วงทำนองที่ "เป็น" มากขึ้นในเรื่องงานการเมืองและการจัดการความสัมพันธ์กับคนในพื้นที่  ยกตัวอย่างได้ไม่น้อยกว่าสองหรือสามแห่งที่ผู้นำหน่วยทหารในพื้นที่มีวิธีการเข้าหาชาวบ้านแบบได้ใจมากขึ้นแม้แต่กับผู้คนที่พวกเขาสงสัยจริงๆ แต่นั่นแหละ การทำงานของทหารแต่ละแห่งดูจะลักลั่นกันไปแล้วแต่มาตรฐานและแนวคิดของหน.งาน หรือผบ.ในที่นั้น  ท่าทีการทำงานของทหารที่ฐานน้ำดำหนนี้ดูจะยืนยันความแตกต่างอันนี้ได้ไม่ น้อย

ก็หวังว่าอันนี้ไม่น่าจะใช่ทิศทางของจนท.ทหารระดับสูงว่ามีความคิดที่จะเล่นงานสื่อทางเลือกในพื้นที่สามจว.ชายแดนภาคใต้ - หรือรวมไปถึงแหล่งทุนที่เข้ามาสนับสนุนการทำสื่อเพราะไม่น่าจะใช่ทิศทางที่ถูกควรในการแก้ปัญหาสามจังหวัด

ในด้านหนึ่งก็รู้สึกว่าคนทำสื่อเองไม่ควรตีโพยตีพายกับเรื่องอย่างนี้มากนัก เพราะสื่อมีหน้าที่รายงานปัญหาชาวบ้านเป็นหลักมิใช่มีไว้เพื่อต่อสู้ให้กับตัวเอง  แต่อีกด้าน ถ้าสื่อไม่อาจพูดอะไรได้ก็ไม่มีหวังว่าจะไปสะท้อนปัญหาของชาวบ้านได้เช่นกัน ดังนั้นรู้ทิศทางไว้ก็ดีเพราะเราไม่รู้ว่าต่อไปจะเกิดอะไรขึ้น หรือว่าเรื่องนี้มันจะนำไปสู่อะไร  มันอาจจะไม่เกิดอะไรเลยก็ได้ แต่อย่าลืมว่า  สำหรับที่นี่  อะไรก็เกิดขึ้นได้ ดังนั้นก็ชักชวนกันให้พิจารณาอย่างมีสติ (แม้จะไม่มีสตางค์) อย่างรอบคอบ ตรวจสอบตัวเอง ตรวจวัดทางลมและไม่นิ่งนอนใจ ช่วยกันมองไปข้างหน้าเพื่อรับอะไรก็ตามที่อาจจะมาถึง