Skip to main content

 

[ ในความมืดที่ไม่ถูกสื่อสาร ]

 

 

ตั้งแต่คืนวันที่ 6 เมษายนที่ผ่านมา นับจากเหตุระเบิดและความไม่สงบปูพรมในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่จนป่านนี้ยังไม่ได้ข้อยุติที่ยอมรับกันว่าตกลงทั้งหมดกี่จุด บางแหล่งบอกว่าไม่เกิน 30 จุด บางคนบอกว่าเพียงแค่คืนนั้น 40 จุด บางแหล่งก็อ้างวงในข้อมูลจากหน่วยงานด้านความมั่นคงในพื้นที่มีจำนวนระเบิดที่ถูกติดตั้งทั้งหมด 114 ลูก ทำงาน 76 ลูก กู้ได้ 38 ลูก เป็นระเบิดแบบตั้งเวลา บางส่วนลากสายไฟจุด เป็นระเบิดแสวงเครื่องชนิดเดิมที่ผู้ก่อเหตุเคยใช้ วางพร้อมกัน จุดพร้อม ๆ กัน ไม่ว่าจะกี่จุดก็ตาม หรือการไม่มีใครเสียชีวิตก็ตาม การก่อเหตุครั้งนี้ทำให้เกิดไฟฟ้าดับยาวนานกว่าครั้งใดใน 13 ปีเหตุการณ์ความรุนแรงที่ผ่านมา ในความมืดนั้นมันสร้างผลกระทบทางเศรษฐกิจ และความกลัว ความกังวลให้ผู้คนเกินจินตนาการ

 

ฐ. เคยมีประสบการณ์อยู่ที่ปัตตานี ท่ามกลางความรุนแรง ไฟดับ เสียงระเบิดตูมตามอยู่หลายครั้ง ในความมืดมิดนั้น ทั้งกลัว ทั้งหวั่นไหว ระแวง กังวลสารพัดว่าจะเกิดเหตุใกล้ตัวหรือมีคนที่รักประสบเหตุใด ๆ หรือไม่ ไม่นับกับสภาพทางกายที่ยุงกัด ทั้งร้อน เหงื่อไหล น้ำตาไหล แม้จะหลับก็ไม่สนิทใจ ในความมืดมิดที่ยาวนานของพี่น้องมิตรสหายที่สื่อสารผ่านข้อความใน FB นั้น เรารับรู้ความรู้สึกร่วมอย่างหดหู่ เพราะครั้งนี้ไฟดับ ฝนตก น้ำท่วม พร้อมกัน โหดสุด ๆ เกินบรรยาย

 

เราเห็นอาการมิตรสหายในพื้นที่ปลอบประโลมกันเอง “สู้ๆ” “เอาใจช่วยนะ” “เป็นงัยกันบ้าง” ระหว่างพื้นที่ปัตตานี ยะลา นราธิวาสข้ามไปข้ามมา บางคนสื่อสารความมืดมิดห้วงยามกลางวัน บางคนบอกว่า หุงข้าวอยู่ไฟดับซ่ะงั้น ข้าวยังไม่สุกเลย ต้องงัดความรู้เดิมหุงข้ามแบบเช็ดน้ำ หรือบางคนเตือนเพื่อนให้รีบชาร์ตแบตโทรศัพท์สำรองไว้ เผื่อเกิดเหตุฉุกเฉิน เห็นความพยายามต่อไฟฟ้าไปให้โรงพยาบาลต่าง ๆ เราเห็นรูปเด็กน้อยนั่งเล่นกลางแสงเทียน เราเห็นเพื่อนถ่ายรูปแสงไฟที่วับแวมในความมืดมิดชื่นชมความสวยงามของค่ำคืน คืองัดมุมมองเชิงบวกเป็นความหวังกันสุดฤิทธิ์ทีเดียว

 

เพื่อนบางคนไม่รู้จะทำอะไร ไปให้กำลังใจเจ้าหน้าที่กฟภ. ที่พยายามกู้เสาส่งไฟฟ้าที่หนองจิกก็มี ภาพการพยายามมีชีวิตอยู่ เพื่อบอกว่า “ฉันยังอยู่” ถูกสื่อสารมาอย่างหลากหลาย ท่ามกลางความสว่างของมหานคร ฉันเห็นแต่ความมืดของจังหวัดชายแดนใต้ T_T

 

ยิ่งในกล่องข้อความของมิตรสหายชายแดนใต้หลายคน นอกจากนับเสียงระเบิด ครั้งนี้แม่งนับความมืดความสว่างกันด้วย “ไฟดับครั้งที่ 9” “บ้านใครไฟมาแล้วบ้าง” บางคนแม่งเอาแสงเทียนมาทำศิลปะ ปลอบใจกันไปมา รวมทั้งทีมนับศพ _ ทีมศูนย์เฝ้าระวังสถานการณ์ภาคใต้ ที่ต้องคอยมอเนิเตอร์สถานการณ์เพื่อ warning ความรุนแรง ต้องนั่งมอนิเตอร์สถานการณ์ท่ามกลางไฟติดๆ ดับๆ การเห็น Srisompob Jitpiromsri และ Muhammadayub Pathan ต้อง FB live พยายามสื่อสารกับสาธารณะสรุปสถานการณ์ความรุนแรงท่ามกลางความมืดนี่จี๊ดใจเกินบรรยายจริง ๆ ดูไปได้แป๊บนึง ไม่ไหว ทนดูไม่ได้

 

การเห็นมวลมิตรพยายามทำให้ “ความมืดมิด” > “เหตุความรุนแรง” เป็นเรื่องปกติ เป็น “เหตุรุนแรงปกติ” นี่แม่งโหดสัส ไม่รู้จะเอาใจช่วยอย่างไรจริง ๆ ภาพที่สะเทือนใจสุด ๆ คือภาพที่นักศึกษา มอ. ปัตตานี เรียนหนังสือกันท่ามกลางความมืดมิด นี่แม่งเห็นอนาคตเลย ใจร้ายสุด ๆ ที่ใช้ความรุนแรงขังผู้คนไว้ในความมืด ความกลัว เอาประชาชนเป็นตัวประกัน

 

ความรุนแรงที่พยายามสื่อสารว่า หลังการประกาศใช้รัฐธรรมนูญ 2560 พื้นที่จชต.จะอยู่ในความืดมิดยาวนาน หัวจิตหัวใจช่างทำด้วยอะไร

 

อยากตะโกนบอกผู้ก่อเหตุว่า คุณแพ้แล้ว!!!

ในความมืด และด้านมืดสุด ๆ ของความเป็นมนุษย์

มันบอกเราว่า แสงสว่างคือความหวังจริง ๆ

มันบอกเราว่า ต้องมีความหวังไว้นะ

มันบอกประชาชนว่า “กระบวนการสันติภาพคือความหวัง”

จากนี้ทุกคนจะปฏิเสธความรุนแรงมากขึ้นกว่าเดิม

ดังนั้น ขอให้พลังและความหวังสถิตย์แก่ผู้ประสบภัยทุกคนค่ะ

Cr ภาพ: Walakkamol Ckm