ช่วงนี้สถานการณ์ในคาบสมุทรเกาหลีกำลังเผ็ดร้อนดุจกิมจิไม่ปาน เพราะทั้งอเมริกาภายใต้ทรัมป์และทั้งเกาหลีเหนือภายใต้คิมน้อยต่างก็ผลัดกันโชว์เขี้ยวเล็บกันอย่างดุเดือด มะกันเชือดไก่ในซีเรียโชว์ด้วยโทมาฮอว์คเกือบ 60 ลูก นอกจากนี้ยังเตะปี๊บโชว์ด้วยการทิ้งบอมบ์ตัวแม่ (MOAB) ใส่อัฟกานิสถาน
โสมแดงภายใต้โอปป้าคิมก็ไช่ย่อย แม้ร่างอาจจะดูอุ้ยอ้ายแต่การตัดสินใจโต้ตอบนั้นรวดเร็วปานนักวิ่งเจ้าเหรียญทองอย่างยูเซน โบลท์ ซ้ำยังโชว์ลีลาอวดเขี้ยวเล็บชนิดตาต่อตา ฟันต่อฟันด้วยการสวนสนามโชว์ขีปนาวุธ และสั่งทดลองนิวเคลียร์ถี่รายสัปดาห์
พฤติกรรมยั่วยุมีทั้งสองฝ่าย หากเราพิจารณาจากการรับชมสื่อกระแสหลักจะมีความรู้สึกว่า โสมแดงนี่ช่างยั่วยุเสียเหลือเกิน คิมน้อยหาเรื่องใส่ตัวแท้ๆ
แต่หากย้อนมองตั้งแต่แรก ถามว่าใครเริ่มวิกฤติการณ์ระลอกนี้? แน่นอนว่าไม่ไช่ใครนอกจาก...มะกัน
อำนาจของสื่อยักษ์ใหญ่มะกันที่ป้อนวัตถุดิบให้แก่สื่อกระแสหลักทั่วโลกรวมถืงเมืองไทย มีอิทธิพลถึงขั้นกล่อมประสาทให้เรารู้สึกว่าโสมแดงเป็นฝ่ายรนหาที่ตาย
... ทั้งๆที่มะกันเป็นฝ่ายเริ่มทั้งนั้น...
โสมแดงรบในบ้าน คงไม่ไช่ฝ่ายเริ่มหรือยั่วยุแน่ๆ
ส่วนฝ่ายที่เริ่มก่อน ฝ่ายที่ยั่วยุ ก็คือฝ่ายที่ส่งกองเรือรบข้ามน้ำข้ามทะเลห่างเขตแดนเป็นพันๆไมล์ แต่หน้าหนากล่าวอ้างว่าฝ่ายตรงข้ามยั่วยุ???
อย่างไรก็ดี การที่มะกันเตะปี๊บโชว์คิมน้อยในซีเรียและอัฟกานิสถาน (ซึ่งนี่แหล่ะที่เขาเรียกว่ายั่วยุ) ขณะเดียวกันก็เคลื่อนกองเรือรบมาที่คาบสมุทรเกาหลี พฤติกรรมเช่นนี้ในทางยุทธศาสตร์แล้ว เรียกว่ากลยุทธ์ไก่อ่อน (Chicken Strategy)
มันคืออะไร เรามาดูกันครับ...
หากเคยดูหนังคาวบอยฝรั่ง ฉากที่ทุกคนคุ้นเคยก็คือฉากดวลปืน ซึ่งถือเป็นซิกเนเจอร์ของหนังประเภทนี้เสมือนฉากวิ่งข้ามภูเขาสำหรับหนังอินเดีย
การดวลปืนของฝรั่งยุคนั้นมักกระทำเพื่อพิสูจน์ความกล้า ซึ่งหากไม่กล้ารับคำท้าก็ย่อมถูกตราหน้าว่า...อ่อนหัด
กาลสมัยต่อมา เมื่อฝรั่งมีรถขับ วัฒนธรรมการดวลปืนยุคคาวบอยจึงกลายมาเป็นการท้าขับรถพุ่งเข้าหากันในลักษณะที่พร้อมจะชนประสานงา
ฝ่ายที่ไม่หักหลบย่อมเป็นฝ่ายชนะ ส่วนฝ่ายที่ยอมหักหลบจะถูกตราหน้าว่า...ไอ้ไก่อ่อน (Chicken)
แต่หากไม่หลบทั้งสองฝ่ายล่ะ?
... ก็จะกลายเป็น ไก่ย่างวิเชียรบุรี ทั้งคู่...
ในเมื่อต่างฝ่ายต่างก็รู้ว่า หากไม่มีฝ่ายใดหักหลบก็ย่อมจะสูญเสียทั้งสองฝ่าย ครั้นจะเป็นฝ่ายหักหลบเสียเอง ก็จะถูกตราหน้าว่าไก่อ่อน...
แต่ละฝ่ายจึงต้องงัดกลเม็ดต่างๆนานาออกมาโชว์ เพื่อต้องการจะสื่อให้ฝ่ายตรงข้ามมั่นใจว่าข้าไม่หลบแน่นอน เอ็งนั่นแหล่ะที่จะต้องหลีกทางให้ข้า
กลเม็ดเหล่านี้ก็มีตัวอย่างเช่น :
หยิบแว่นดำขึ้นมาสวมทั้งๆที่เป็นเวลากลางคืน นัยว่าข้าไม่จำเป็นต้องมองทาง เอ็งต้องเป็นฝ่ายหลบ หรือหยิบขวดวิสกี้มาดื่มแล้วทิ้งลงพื้นถนนให้ฝ่ายตรงข้ามเห็น เพื่อแสดงว่าข้าดื่มย้อมใจเรียบร้อยแล้ว ไม่หลบแน่ๆ
หนักไปกว่านั้น บางคนดึงพวงมาลัยออกมาโชว์ นัยว่า ต่อให้ข้าอยากจะหลบ แต่ก็หลบไม่ได้แล้ว เอ็งนั่นแหล่ะที่ต้องหลบไปซะ...
ในทางยุทธศาสตร์การเมืองระหว่างประเทศแล้ว กลยุทธ์ไก่อ่อนก็คือการที่ต่างฝ่ายต่างโชว์พาวให้ฝ่ายตรงข้ามยอมเจรจา มิฉะนั้นจะเกิดสงครามแน่ๆ
กลยุทธ์นี้ มะกันเคยใช้กับอิหร่านมาแล้วในช่วงวิกฤตพลังงานนิวเคลียร์อิหร่าน แต่ไม่เป็นผลสำเร็จ
หากย้อนไปอ่านข่าวยุคก่อนหน้านี้สัก 6-7 ปีก็ย่อมจะสรุปข่าวได้ว่า...มะกันและอิสราเอลขู่จะโจมตีอิหร่านแทบจะเป็นกิจวัตรประจำวัน
...ทุกเช้า ปธน.มะกันและอิสราเอลตื่นเช้ามา ปิ้งขนมปัง ชงกาแฟ แล้วขู่โจมตีอิหร่าน...
ปรากฏว่าทางอิหร่านจับทางได้ จึงโต้ตอบด้วยยุทธศาสตร์ไก่อ่อนเช่นกัน...
ขู่โจมตีดีนักไช่มั้ย ข้าก็จะปิดช่องแคบฮอร์มุซถ้าเอ็งโจมตี แถมฐานทัพมะกันในโลกอรับก็จะเป็นขนมหวานเคลือบช็อกโกแลต M&M ละลายในปาก ไม่ละลายในมือ...
ผมยังจำได้เมื่อครั้งที่อิสราเอลคำรามเช้าเย็นว่าอาจจะโจมตีโรงงานนิวเคลียร์ในอิหร่าน มะกันอย่าห้าม (นะ)
ผู้นำสูงสุดอิหร่านตอกกลับไปว่า
“หากอิสราเอลบังอาจ เราจะปรับพื้นที่ให้เมืองหลวงเทลาวีฟและเมืองท่าไฮฟาเรียบราบเป็นหน้ากลอง”
เท่านั้นแหล่ะครับท่านผู้ชม...นายกอิสราเอลสงบเสงี่ยมเจียมตัวได้...
อีกนัยหนึ่งคือ อิหร่านมองว่าสองเมืองนี้คือ อาหารคลีน
จะว่าไปแล้ว กว่าอิหร่านจะมาถึงวันนี้ได้ไม่ไช่เรื่องง่าย ผู้เชี่ยวชาญด้านยุทธศาสตร์เผยว่า มะกันใช้ยุทธศาสตร์ต่างๆนานาถึง 11 ประเภทเล่นงานอิหร่าน
ถามว่ามันหนักหนายังไงหรือ?
จะมีสักกี่คนที่ทราบว่า ... อดีตสหภาพโซเวียตล่มสลายด้วยยุทธศาสตร์ระลอกที่ 4 ของมะกัน!!
ยุทธศาสตร์ที่แต่ละประเภทสามารถคว่ำประเทศทั่วๆไปได้ไม่ยาก แต่อิหร่านกัดฟันแลกหมัดยุทธศาสตร์กับมะกันถึง 11 ยก 11 ประเภท!!!
...ตัดภาพกลับมาที่เกาหลีเหนือ...
พฤติกรรมของทรัมป์วันนี้ก็คือ ลุงนักเลงขาดความอบอุ่นที่ท้าเด็กรุ่นหลานมาประลองความกล้าด้วยการชนกันที่คาบสมุทรเกาหลี
เพียงแต่วันนี้ไม่ได้ใช้รถมาชนกัน ... แต่เป็นเรือแทน
แต่เนื่องจากว่า หากคิมน้อยไม่หลบ ระเบิดนิวเคลียร์นัวเนียแน่นอน!!
ทรัมป์จึงต้องสวมแว่นดำโชว์ด้วยการติดตั้งระบบต่อต้านขีปนาวุธ (TAAD) ให้แก่เกาหลีใต้ ทิ้งวิสกี้บนถนนที่ซีเรีย แล้วดึงพวงมาลัยด้วยการทิ้งบอมบ์ตัวแม่ที่อัฟกานิสถาน...
ปรากฏว่าตี๋น้อยก็เล่นบทเดียวกันนี้ และเลือกที่จะไม่ถอย...
หากชนกัน แน่นอนว่าในด้านการทหารนั้น โสมแดงเป็นรองทุกประตู
แต่อย่าลืมว่า ถ้ามะกันชนะ ภาพก็คือผู้ใหญ่รังแกเด็ก
แต่ถ้าซัดกันอย่างสูสี (ไม่ต้องชนะ) ก็ถือว่าแพ้เด็ก
เพราะการที่ลุงแก่ที่ลูกหลานไม่รัก กลับต้องโดนตี๋น้อยถอนหงอกในวัยใกล้ฝั่ง อย่างไรก็ถือเป็นความปราชัยในเชิงภาพพจน์ในสายตาประชาคมโลก
(ถ้ามีโอกาสจะมาเล่าให้ฟังนะครับว่า ทำไมการบุกเกาหลีเหนือจึงไม่ง่ายอย่างที่แฟนคลับอาวุธมะกันคิด)
อย่างที่กล่าวไปในโพสต์ก่อนครับว่า คิม จอง อึน อาจจะมีชื่อเล่นว่า คิม จองเวร
….งานนี้ เกรงว่าทรัมป์จะต้องเลียนแบบชื่อเล่นของคิมน้อยว่า...
....