นี่คือสิ่งที่ผมคิด สิ่งที่ผมพูด ในการแสดงทัศนะในวงสัมมนาสมัชชาองค์กรพัฒนาเอกชนภาคใต้ ในวันนี้ 7 พ.ค. 60 ครับ เป็นความคิดที่ผมกลั่นและสะสมจากประสบการณ์การทำงานหลังเรียนจบมา 23 ปี ถูกสั่งย้าย 2 ครั้ง ถูกปรับทัศนคติ 1 ครั้ง อยู่กับมวลชนชาวบ้านร่วมกิจกรรมปกป้องชุมชนกับชาวบ้านมายาวนาน จนผมมีข้อสรุปบางอย่าง กลั่นออกมาแลกเปลี่ยนกับมวลมิตรเพื่อน NGO ที่ร่วมเคลื่อนไหวมาด้วยกัน เผื่อเพื่อนๆจะสนใจอ่านแม้จะยาวไปนิด
"วันนี้เรากำลังทำอะไรกันอยู่ เราเคลื่อนไหวสังคมไปเพื่ออะไร อะไรคือเป้าหมาย อะไรคือเส้นทางสู่เป้าหมายนั้น เราจะสร้างสังคมปลอดถ่านหินหรือ เราจะสร้างสังคมบริโภคปลอดภัยหรือ เราสร้างสังคมเกษตรอินทรีย์กระนั้นหรือ หรือเรากำลังสร้างสังคมที่ลดความเหลื่อมล้ำ แต่อาจไม่ใช่เรากำลังสร้างสังคมแห่งสุขภาวะต่างหาก ผมว่าทั้งหมดนี้คือวาทกรรม และยังไม่ใช่เป้าหมายร่วมเป้าหมายลึกๆที่แท้จริงของพวกเรา
แท้จริงเรามีเป้าหมายร่วมกัน เป้าหมายที่ทำไปทำมาแอบซ่อนไว้ข้างหลังจนลืมๆไป แท้จริงพันธกิจของเราคือ การสถาปนาประชาธิปไตยที่อำนาจเป็นของประชาชนอย่างแท้จริง ประชาชนต้องมีสิทธิในการกำหนดอนาคตของตนเอง ซึ่งแน่นอนว่า ประชาชนจะมีอำนาจขนาดนั้นได้ เราต้องร่วมกันลดอำนาจรัฐและลดอำนาจทุน สถาปนาอำนาจต่อรองของภาคประชาชน นี่คือภารกิจร่วมของพวกเรา
ส่วนประเด็นที่เราขับเคลื่อนและที่เราสนใจอยู่นั้น คือพาหนะสำหรับการเรียนรู้ประชาธิปไตยและการถางทางไปสู่ประชาธิปไตยที่แท้จริง ประชาธิปไตยที่มวลชนเข้มแข็งพอที่จะปกป้องชุมชนและกำหนดอนาคตตนเองคานกับอำนาจรัฐและอำนาจทุน
การจะได้มาซึ่งประชาธิปไตยของประชาชนนั้น สำหรับผม หนทางสำคัญที่สุดหนทางเดียวที่จะเป็นจริง นั่นคือ ประชาชนต้องตื่นตัวลุกขึ้นมาปกป้องสิทธิของตนเอง ลุกขึ้นมาสร้างบ้านแปลงเมืองให้เป็นบ้านเมืองที่เขาอยากให้เป็น ดังนั้นหัวใจของการขับเคลื่อนและการทำงานของเราก็คือ การสร้างการเรียนรู้และการพัฒนาศักยภาพของภาคประชาชน ให้ขับเคลื่อนสังคมได้อย่างเชื่อมั่น และรับมือกับการตอบโต้ของอำนาจรัฐอำนาจทุนให้ได้
หากนี่คือพันธกิจที่ชัดเจน
เราจะต้องไม่เอาชัยชนะเชิงประเด็นเป็นเป้าหมาย ชนะในประเด็นที่เรียกร้องโดยที่มวลชนไม่ตื่นตัวร่วมสู้ทุ่มสุดตัว ถือว่ายังไม่ใช่ชัยชนะที่ควรจะเป็น แม้ว่าเราจะสามารถใช้กลยุทธ์อันหลากหลายเพื่อชัยชนะเชิงประเด็นได้ แต่ต้องรู้และตระหนักว่า นั่นไม่ใช่เป้าหมาย นั่นเป็นเพียงเครื่องมือ
เราอาจจะชนะเชิงประเด็นด้วยการนำโด่งของผู้นำ ซึ่งส่วนใหญ่คือ NGO แต่มวลชนตามไม่ทัน
เราอาจชนะเชิงประเด็นด้วยการล็อบบี้ ชนะด้วยการต่อรอง เราอาจชนะวันนี้ แต่ไม่ยั่งยืน และที่สำคัญไม่สร้างความเข้มแข็งให้กับมวลชนเลย
เราอาจชนะเชิงประเด็นหยุดนโยบายได้เป็นครั้งคราวจากการจัดเวทีวิชาการ จากการระดมพลเครือข่ายมาแสดงออก ชนะด้วยแถลงการณ์ที่ดุดันกินใจ ชนะด้วยชนชั้นนำบางคนมาหนุนช่วย ชนะมติในคณะกรรมการที่เราร่วมอยู่ หรือชนะจากการต่อสู้ด้วยกระแส online แต่นี่ก็เป็นชัยชนะที่ต้องตระหนักว่า เราจะต้องไม่ละเลยเป้าหมายในการสร้างความเข้มแข็งให้กับภาคประชาชน
ผมจึงเห็นว่า เราต้องกลับไปสู่กระบวนงานการสร้างความเข้มแข็งให้มวลชนอย่างจริงจัง วันนี้เราละเลยงานมวลชนพื้นฐานอย่างมาก
เราถูกทฤษฎีนโยบายสาธารณะชี้นำว่านโยบายดีๆคือคำตอบ เน้นงานวิชาการ ใช้ความรู้นำ มวลชนคือตัวประกอบ
เราถูกทฤษฎีเครือข่ายชี้นำว่า เราต้องเชื่อมประสาน แบ่งบทกันเล่น แบ่งไปแบ่งมาชาวบ้านก็ได้บทเป็นเพียงคนเข้าร่วมให้ห้องประชุมเต็มๆ ให้ม็อบดูดีมีจำนวนมาก แต่บ่อยครั้งที่เราก็ละเลยการใส่ใจกระบวนการเรียนรู้และกระบวนการต่อสู้ให้กับชาวบ้าน
เราถูกทฤษฎีการสื่อสารในโลกยุคดิจิตอลชี้นำว่า การสร้างกระแสสร้างวาทกรรมคือการต่อสู้ด้วย air war ที่นับเป็นหัวใจการต่อสู้แบบใหม่ แต่นั่นเป็นเครื่องมือของชนชั้นกลางมากกว่าชาวบ้านในชนบท
เราถูกทฤษฎีนักเลือกตั้ง บ่มเพาะให้เราเชื่อผู้นำ เชื่อตัวแทน ซึ่งพิสูจน์มาชัดแจ้งแล้วว่า ผู้นำที่ขาลอย มักจะต้านทานอำนาจรัฐอำนาจเงินได้ไม่นาน
ทั้งหมดนี้คือทฤษฎีการขัยเคลื่อนสังคมที่มีส่วนถูก แต่ไม่ใช่ถนนสายหลักที่มุ่งสู่ประตูชัยประชาธิปไตยของปวงชน
ดังนั้นเราจึงควรใส่ใจกับการติดอาวุธทางความคิดให้กับมวลชน เราต้องทนรอให้เขาคิดอ่านแลกเปลี่ยนและเลือกวิธีการเคลื่อนด้วยตัวเขาเอง เราต้องทนยินดีกับการเดินอ้อมเส้นทางเพื่อมวลชนได้ทดลองและเรียนรู้ เราต้องทนที่จะไม่นำเพื่อให้มวลชนก้าวออกมานำแล้วเราคอยตามดูตามสนับสนุน เราต้องใช้คำถามเป็นตัวกระตุ้นไม่ใช่ด่วนสรุปบอกคำตอบหรือชี้นำ เราต้องสรุปบทเรียนอย่างให้เกียรติกับพี่น้องมวลชนของเรา ไม่ปิดกั้นความคิด ยอมรับทั้งสิ่งที่เป็นบทเรียนร่วมกันทั้งที่ชนะและบาดเจ็บพ่ายแพ้
และที่สำคัญ เราต้องฝึกให้มวลชนก้าวข้ามความกลัว ก้ามข้ามวิธีคิดแบบพึ่งพารัฐ ที่เข้าไปเพียงยื่นจดหมายขอให้รัฐทำ 1,2,3 ให้เราแล้วรอฟังผล ซึ่งไม่เคยได้ผล แต่เราต้องร่วมกับมวลชนหล่อหลอมความกล้าหาญในการกล้ารบนาย หากเรายังเชื่อมั่นในคำของบรรพชนคนใต้ที่สรุปประมวลมาแล้วว่า "ไม่รบนายไม่หายจน" แต่แน่นอนว่าต้องเป็นความกล้าบนหนทางอหิงสา รอบคอบและมองให้ไกล อย่ามองเพียงกิจกรรม แต่ให้มองไปให้ถึงเป้าหมายและหลักชัย
ถึงตรงนี้ ผมคิดว่า เราจะขับเคลื่อนโดยมีเป้าหมายการยกระดับศักยภาพของมวลชนโดยมีมวลชนเป็นศูนย์กลาง ไม่ใช่มุ่งทำกิจกรรมเป็นศูนย์กลางหรือเอาชนะในประเด็นที่เราเคลื่อนอยู่เท่านั้น เราจะก้าวเดินด้วยการสะสมมวลชน หล่อหลอมพวกเขา สร้างเครือข่ายของมวลชนด้วยกันให้เป็นแนวร่วมที่พร้อมสนับสนุนกันและกัน สร้างเครือข่ายของกลุ่มคนกลุ่มอื่นในสังคม เช่นนักวิชาการ สื่อ ปัญญาชน นักศึกษา โดยมีมวลชนเป็นศูนย์กลางที่ทุกฝ่ายระดมกำลังมาสนับสนุน
นี่คือเส้นทางของการสร้างประชาธิปไตยรากฐาน ประชาธิปไตยที่เป็นหลักประกันว่า ในระยะยาวอำนาจของภาคประชาชนจะเพิ่มขึ้นจนสามารถดุลกับอำนาจรัฐและอำนาจทุนได้อย่างแท้จริง"