กรุงเทพฯ / บรัสเซลล์, ๓ พฤศจิกายน๒๕๕๓ : รัฐบาลไทยจะต้องฝ่าสภาวการณ์ชะงักงันของปัญหาความขัดแย้งในภาคใต้ด้วยการผลักดันการแก้ปัญหาด้วยการเมืองอย่างจริงจัง ด้วยการชำระปัญหาความอยุติธรรมในอดีต พูดคุยกับกลุ่มก่อความไม่สงบและแสวงหารูปแบบการปกครองแบบใหม่
สภาวการณ์ชะงักงันในภาคใต้ของไทย* เป็นรายงานชิ้นล่าสุดของอินเตอร์เนชั่นแนลไครซิสกรุ๊ปที่วิเคราะห์ถึงปัญหาความขัดแย้งในภาคใต้ในช่วงปีที่สองของรัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ในขณะที่การชุมนุมประท้วงของกลุ่มต่อต้านรัฐบาลใน กรุงเทพฯ ในช่วงต้น ปี ๒๕๕๓ ได้สะกดความสนใจของผู้คน ความรุนแรงในภาคใต้ก็ยังคงดำเนินต่อไป ปัญหาได้กลายเป็นประเด็นชายขอบของความสนใจสาธารณะและยังคงไม่อาจแก้ไขได้ มีผู้คนเสียชีวิตไปกว่า ๔,๔๐๐ คนแล้วในความขัดแย้งนี้ซึ่งปะทุขึ้นเมื่อกว่าหกปีที่แล้ว
“ในขณะที่รัฐบาลอภิสิทธิ์ตระหนักว่าการแก้ปัญหาด้วยการเมืองนั้นเป็นสิ่งจำเป็นต่อการยุติความขัดแย้ง แต่ก็ไม่สามารถปฏิบัติตามคำพูดที่กล่าวไว้ได้”, รุ่งรวี เฉลิมศรีภิญโญรัช นักวิเคราะห์ประจำประเทศไทย ของอินเตอร์เนชั่นแนลไครซิสกรุ๊ป กล่าว “การเปลี่ยนกระบวนทัศน์เป็นสิ่งที่จำเป็น ควรจะมีการยอมรับว่าการผนวกกลืนเอาคนมลายูมุสลิมเข้ากับวัฒนธรรมของสังคมใหญ่นั้นล้มเหลว การยอมรับถึงอัตลักษณ์เฉพาะทางศาสนาและเชื้อชาติของพวกเขาเป็นสิ่งสำคัญต่อการแก้ปัญหาภาคใต้”
รัฐบาลนี้ไม่สามารถทำตามสิ่งที่เคยประกาศไว้ว่าจะพิจารณายกเลิกประกาศภาวะฉุกเฉินในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ซึ่งบังคับใช้มาตั้งแต่ปี ๒๕๔๘ ในทางตรงกันข้าม กฎหมายฉบับนี้กลับถูกนำไปใช้ในจังหวัดอื่นๆ เพื่อปราบปรามผู้ที่เคลื่อนไหวต่อต้านรัฐบาล นอกจากนี้ ยังไม่มีความคืบหน้าในการนำเอาผู้ที่ละเมิดสิทธิมนุษยชนมาเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม ในขณะที่การซ้อมทรมานและการละเมิดอื่นๆ ต่อผู้ที่ถูกควบคุมตัวยังคงดำเนินต่อไป ซึ่งสิ่งเหล่านี้ได้ตอกย้ำถึงปัญหาการละเว้นการลงโทษผู้กระทำผิดและสนับสนุนคำอธิบายของขบวนการถึงการปกครองอันอยุติธรรม นอกจากนี้ ยังมีส่วนผลักดันให้คนเข้าสู่ขบวนการอีกด้วย
การปฏิรูปการบริหารการปกครองโดยเพิ่มอำนาจให้ท้องถิ่นจัดการกับปัญหาของตนเองจะเป็นหนทางหนึ่งในการสร้างพื้นที่ให้คนมลายูมุสลิมได้พูดถึงความอึดอัดคับข้องใจและผลักดันความต้องการของพวกเขาอย่างสันติ แม้ว่าจะมีการเปิดพื้นที่ให้มีการพูดคุยในเรื่องนี้ได้อย่างเปิดเผยขึ้นกว่าเดิม แต่ก็ยังไม่มีความพยายามอย่างจริงจังในการแสวงหารูปแบบการปกครองที่เป็นไปได้ของการกระจายอำนาจภายใต้กรอบความเป็นรัฐเดี่ยวของประเทศไทย
รัฐบาลจะต้องพยายามอย่างจริงจังที่จะพูดคุยกับกลุ่มก่อความไม่สงบและพร้อมที่จะยินยอมตามข้อเสนอบางอย่าง ที่ผ่านมา รัฐบาลได้เพิกเฉยต่อการประกาศหยุดปฏิบัติการรุนแรงแบบฝ่ายเดียวในพื้นที่จำกัดของกลุ่มก่อความไม่สงบสองกลุ่ม
รัฐบาลควรจะดำเนินตามนโยบายที่วางไว้ในการลดจำนวนทหาร โดยใช้กำลังตำรวจและอาสาสมัครในการปฏิบัติหน้าที่รักษาความปลอดภัยแทนในบางส่วน ในขณะที่กองทัพคาดหวังว่านโยบายตามมาตรา 21 ที่คล้ายกับการนิรโทษกรรม ซึ่งคาดว่าจะมีการบังคับใช้ในเร็ววันนี้จะสามารถโน้มน้าวให้ผู้ก่อความไม่สงบมามอบตัวได้ กลุ่มนักสิทธิมนุษยชนกลับเกรงว่ามาตรการนี้อาจจะนำไปสู่การบังคับให้สารภาพ อย่างไรก็ดี มาตรการนี้เพียงอย่างเดียวย่อมไม่เพียงพอ ตราบใดที่บริบททางสังคมการเมืองที่เป็นปัญหายังคงไม่ได้รับการแก้ไข
หากการเมืองในกรุงเทพฯ ยังคงไร้เสถียรภาพ รัฐบาลซึ่งวุ่นวายกับการจัดการปัญหาของตนเองเพื่อความอยู่รอดก็จะยังคงเพิกเฉยต่อปัญหาภาคใต้
“แม้ว่าจะมีเรื่องอื่นๆ มาดึงความสนใจ ในทุกภาคส่วนของรัฐบาลก็ควรจะครุ่นคิดว่าจะตอบสนองต่อท่าทีของขบวนการอย่างไร” จิม เดลลา-จิอาโคม่า ผู้อำนวยการโครงการเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ของอินเตอร์เนชั่นแนลไครซิสกรุ๊ปกล่าว “ในขณะที่ทั้งสองฝ่ายต่างตระหนักว่าไม่สามารถที่เอาชนะกันได้ด้วยการทหาร การแก้ปัญหาความขัดแย้งนี้จะต้องแก้ด้วย การพูดคุยและประนีประนอม ซึ่งหมายถึงว่าฝ่ายขบวนการเองก็จำเป็นต้องมีข้อเสนอทางการเมืองที่เป็นเอกภาพด้วย”