ผมตัดสินใจไปเกาหลีใต้เมื่อช่วงเดือนเมษายนที่ผ่านมาด้วยเหตุผลเดียวคือ ไปเยี่ยมเพื่อนที่เคยอุตส่าห์ถ่อลงมาเยี่ยมผมถึงปัตตานีเมื่อสักสองปีที่แล้ว เธอบินดุ่ยๆจากเกาหลีแวะไปเที่ยวกรุงเทพฯ และบินลงมาปัตตานีมาสมทบกับเพื่อนอีกสองคนที่บินตรงดิ่งมาจากอเมริกาเพื่อมาเที่ยวปัตตานี ผมนับถือน้ำใจของเพื่อนกลุ่มนี้มากและโดยเฉพาะเธอที่เมื่อใครๆที่เธอเจอรู้ว่ากำลังจะมาปัตตานี ทุกคนจะส่ายหัวและบอกเธอว่าอย่าไปเพราะอันตราย แต่เธอก็ยังมา และได้ร่วมกิจกรรมมากมายในพื้นที่ที่จัดในช่วงนั้น และโดยเฉพาะอย่างยิ่งงานรำลึกการสูญหายของหะยีสุหลง ที่ทำเอามิตรสหายชาวฮาวายถึงกับตะลึง อย่างไรก็ดีการมาของเธอรวมทั้งรูปร่างหน้าตาของเธอก็ทำให้หนุ่มๆมลายูหลายคนพยายามที่จะทำตัวเป็น Oppa กันเป็นทิวแถว
ผมจองตั๋วเครื่องบินของสายการบิน Vietnam Airlines โดยบินออกจากกรุงกัวลาลัมเปอร์ ด้วยช่วงไฮซีซั่นของไทยและมาเลเซียนั้นคนละช่วงเวลากันรวมทั้งค่าเงินริงกิตที่อ่อนค่าทำให้การซื้อตั๋วเครื่องบินโดยบินออกจากกัวลาลัมเปอร์นั้นถูกกว่าบินออกจากกรุงเทพฯเป็นไหนๆ ผมต้องแวะเปลี่ยนเครื่องที่นครโฮจิมินห์ประเทศเวียดนาม อีกหนึ่งสนามบินที่แออัดและบรรลุถึงขีดสุดของศักยภาพในการรองรับผู้โดยสารและจำนวนเครื่องบิน เครื่องบินที่นำพาพวกเราเหินฟ้าไปยังกรุงโซลเป็นเครื่องบินรุ่นล่าสุดจากค่ายแอร์บัสนั้นคือ A350 ด้วยรูปทรงดีไซน์ที่ล้ำสมัย ความเงียบของห้องโดยสาร และความแรงของเครื่องทำให้การกระชากตัวออกจากรันเวย์ขึ้นสู่ท้องฟ้าทำได้อย่างเนียนตา และนั่นเองก็ทำให้ผมพบว่าการได้นั่งเครื่องบินรุ่นนี้ทำให้ผมเป็นอีกหนึ่งคนที่ได้นั่งเครื่องบินพานิชย์ของตระกูลแอร์บัสจากยุโรปไปแล้วทุกรุ่นที่มีการผลิตออกมาตั้งแต่รุ่น A300 ยันรุ่นปลาวาฬแห่งท้องนภาอย่าง A380
ผมถึงกรุงโซลตั้งแต่เช้าตรู่ นั่งรถไฟเข้าเมืองและไปเช็คอินในโฮสเทลรูหนูที่ตั้งอยู่แถว ฮงเด ย่านวัยรุ่นอันเลื่องชื่อ แต่เอาจริงๆผมเองก็ไม่ได้ไปเดินอะไรมากมายนักในย่านที่ผู้คนเขาเดินกันไม่ว่าจะเป็นทั้ง ฮงเด เมียงดง หรือ กังนัม ที่แรกที่ผมไปนั่งจับเจ่าคือแถวๆสวนสาธารณะที่ตั้งอยู่ริมแม่น้ำฮานมากกว่า ผมชอบน้ำ ผมชอบสายน้ำ ทุกครั้งที่นั่งริมน้ำพรแห่งวารีมักสะกดมนตราใส่ผมให้นิ่งงันอยู่ริมตลิ่ง มองไปยังแผ่นดินฟากตรงข้าม ใบหน้าสัมผัสกับสายลมอ่อนๆที่ค่อยๆถาโถม่เข้ามา ช่วงนั้นผมกำลังนั่งอ่าน Museum of Innocence ของ Orhan Pamuk อยู่และนั่งคิดว่าจะเป็นไปได้เหรอที่คนหนึ่งคนจะสร้างพิพิธภันฑ์เพื่อบรรจุความทรงจำได้ถึงเพียงนั้น แค่สายน้ำ ท้องฟ้า และ แสงอาทิตย์ก็เพียงพอแล้วที่จะบรรจุความรู้สึกและล้นทะลักออกมาผ่านสิ่งที่เรียกว่าความทรงจำ
ประเทศเกาหลีใต้ถูกจัดให้เป็นอันดับหนึ่งของจุดหมายที่คนในประเทศจีน ญี่ปุ่น และ ไทยอยากไปมากที่สุด และนั้นทำให้ทุกที่ที่ผมไปจะได้ยินสรรพสำเนียงของคนจากสามประเทศนี้อยู่ทุกที่ ดอกซากุระกำลังเบ่งบานทั่วกรุงโซล ความเพริดพริ้งของมันสะกดทุกสายตาให้จ้องมอง แต่ความงามของมันก็คงอยู่เพียงชั่วครั้งชั่วคราว และร่วงหล่นเพื่อรอให้มันเบ่งบานอีกครั้งในปีถัดไป มิตรสหายของผมโผล่ขึ้นมาจากสถานีรถไฟใต้ดิน เธอพาผมเดินเล่นชมนั่นชมนี่ เธอพาผมเดินผ่านตึกของบริษัทฮุนได และ เดินผ่านอาคารรัฐสภา ด้วยสถานการณ์ความตึงเครียดในคาบสมุทรเกาหลีถูกรายงานผ่านสื่อเป็นระยะๆทำให้ผมถามเธอว่าในฐานะที่อยู่ในระยะทำการของขีปณาวุธจากเกาหลีเหนือได้ถึงขนาดนี้ เธอมีความกังวลบ้างไหม เธอตอบด้วยใบหน้าเรียบเฉยและบอกผมว่า สิ่งที่สำคัญตอนนี้คือการมีประธานาธิบดีให้ได้เสียก่อนและภัยคุกคามจากเปียงยางก็ไม่ได้น่ากลัวถึงขนาดนั้น เธอสอนคำในภาษาเกาหลีจำนวนหนึ่งให้ผม แต่คำที่ผมจำได้กลับมีเพียงคำว่า Kyopta อันแปลว่า สวย ซึ่งนั่นเป็นคำที่ผมใช้อุทานบ่อยๆเวลาเจอสาวๆในกรุงโซล และไม่รู้ว่าเพราะอากาศหรือเกสรดอกซากุระที่ลอยละล่องทั่วบรรยากาศในกรุงโซลที่ทำให้ผมต้องมานั่งเช็ดเลือดกำเดาที่ไหลออกมาอยู่บ่อยๆ
หลังจากเดินเล่นในกรุงโซลอย่างหนำใจแล้วผมก็ตีตั๋วนั่งรถบัสไปเมือง Andong เมืองที่ว่ากันว่าอนุรักษ์นิยมที่สุดในเกาหลี แม้ผมจะงงๆกับคำว่าอนุรักษ์นิยมในเวอร์ชั่นเกาหลีแต่ผมก็พบว่าผมพาตัวเองไปเดินเล่นอยู่ในหมู่บ้าน Hahoe ที่ผมแอบเรียกมันว่า หมู่บ้านห่าเหว ซึ่งเป็นหมู่บ้านเก่าแก่ที่ยังคงอนุรักษ์ความเป็นเกาหลีดั้งเดิมได้อย่างถึงที่สุดและแน่นอนเป็นฉากหลังของซีรีส์ดัง ซีรี่ส์รักมากมายของเกาหลี ผมมาเมือง Andong เพื่อมาเซย์เฮลโหลกับมิตรสหาย ซึ่งนั้นทำให้ผมรู้ซึ้งว่าวัฒนธรรมการทำงานของเกาหลีนั้นเข้าขั้นโหดสัส และเมื่อเสร็จสิ้นภารกิจผมก็ตีตั๋วรถบัสกลับเข้ากรุงโซลอีกครั้ง
อาจด้วยภูมิศาสตร์ของการตั้งกรุงโซลก็เป็นได้ ที่ถึงแม้จะมีคนอาศัยอยู่ในเมืองนี้กว่าสิบล้านคนแต่ก็ไม่ทำให้รู้สึกว่าแออัด เคบับของพวกเติร์กมีขายอยู่ในทุกย่านดังๆของเมือง เหมือนเมืองใหญ่อื่นๆ มัสยิดในกรุงโซลตั้งอยู่บนชัยภูมิที่ดีมาก อยู่บนเนินที่ทำให้เห็นวิวทิวทัศน์ของเมืองอย่างน่าประทับใจ
สถานที่สุดท้ายที่ผมไปก่อนกลับบ้านคือ พิพิธภัณฑ์สงครามและสิทธิมนุษยชนของผู้หญิง ว่ากันง่ายๆเป็นสถานที่บรรจุความทรงจำอันขมขื่นของผู้หญิงเกาหลีที่ถูกทำให้เป็นทาสบำเรอกามแก่ทหารญี่ปุ่นในช่วงสงครามมหาเอเชียบูรพา อารมณ์แห่งความรู้สึกหดหู่ปกคลุมตั้งแต่ก้าวท้าวแรกเข้าสู่พิพิธภัณฑ์ จวบจนก้าวสุดท้ายที่เดินออกมา สงครามมักจะทิ้งบาดแผลให้ผู้คนเสมอ แม้สงครามจะจบไปแล้วอย่างยาวนาน แต่ความทรงจำของผู้คนที่ได้รับผลกระทบกลับยืนยาว และสร้างปมให้ชีวิตหลายๆคนจวบจนลมหายใจสุดท้ายแห่งชีวิต