รีวิวฉบับย่อ อดัม จันทร์แยก โลกแตก ญิน
มีบทวิจารณ์ตัวภาพยนต์แบบนักออกแบบสื่อด้วยกันเขียนให้อ่าน ซึ่งเขียนได้ดีมากแล้ว ถ้าสนใจเรื่องพวกนี้ตามอ่านได้ตามลิ้งค์นี้
https://www.facebook.com/zofron.je/posts/1256569584473735
ส่วนผมจะรีวิวแบบคนนอกวงการนะครับ
น่าสนใจเหมือนกันว่าภาพยนต์ที่มีเป้าหมายในการเผยแพร่ศาสนา จะไปได้ดีแค่ไหนในการสื่อสารความคิดและความเชื่อให้ผู้รับชม
ตัวภาพยนต์เองในความเข้าใจของมวลชนส่วนมากในโลก มันกลายเป็นเครื่องมือของโลกตะวันตกในการสร้างความเชื่อแบบ white supremacy หรือ western supremacy เพราะชาติที่ทำภาพยนต์เก่งที่สุดในโลก มีทุนสร้างและชำนาญในการใช้ภาพยนต์เป็นเครื่องมือในการสื่อความคิดของคนคือ อเมริกา
white or western supremacy ถูกผูกกับค่านิยมแห่งเสรีภาพ ความบันเทิงเริงใจ ทุนนิยม ประชาธิปไตย วัฒนธรรมแบบตะวันตก จนแนบแน่น ทั้งหมดทั้งมวลนี้ดูเหมือนมีหลายอย่างที่อยู่ตรงข้ามคุณค่าแบบจารีต โดยเฉพาะในโลกของศาสนา
โจทย์ใหญ่ข้อแรกที่คนทำหนังแบบนี้ต้องเอาชนะให้ได้คือ ข้อถกเถียงของการทำภาพยนต์เพื่อเผยแพร่ศาสนา แต่ใช้วิธีการที่ถูกผูกกับความเป็นขั้วตรงข้ามของศาสนา
โจทย์ต่อมาคือที่ยากไม่แพ้กัน คือ ในโลกของภาพยนต์มีชีวิตอยู่ ส่วนหนึ่งของมันคือโลกแห่งปรัชญา การถ่ายทอดเรื่องราวอะไรพวกนี้ผ่านภาพยนต์ไม่ได้แตกต่างกับการนำเสนอผลวิจัย หรือการเขียนหนังสือเล่มหนึ่ง ที่สุดท้ายแล้วต้องได้รับข้อถกเถียงย้อนกลับสู่คนทำภาพยนต์
การเอาคำสอนของศาสนามาเล่าผ่านภาพยนต์จึงต้องคมคาย และหลักแหลมพอที่จะนำเสนอเพื่อให้คนรับสารแตกฉานทางปัญญา หรืออย่างน้อยก็สร้าง impact ทางความคิดและความเชื่อที่ยิ่งใหญ่ตามมาได้หลังภาพยนต์จบลง
เขียนตั้งยาวยังไม่เข้าเรื่องเลย
เนื้อเรื่องและการดำเนินเรื่องของหนังเรื่องนี้ เป็นการเล่าเรื่องย่อย 4 เรื่อง ผ่านตัวละครหลักที่ชื่ออดัม ซึ่งเป็นผู้กำกับคนหนึ่งที่เคยทำหนังต่อต้านอิสลาม แล้วอยู่ดีๆก็กลับมาทำหนังเผยแพร่ศาสนาอิสลามเสียอย่างนั้น
จนโดนชายคนหนึ่งที่แค้นฝังใจกับมุสลิมตามมาฆ่า แต่ก่อนตายจะขอฟังเรื่องเล่าจากผู้กำกับทีละเรื่อง ถ้าเท่าไม่ดีก็จะฆ่าเสียตอนนั้นเลย ถ้าเล่าได้ดีก็จะให้เล่าเรื่องต่อไปเรื่อยๆ ซึ่งอดัมก็ได้เล่าเรื่องทั้ง 4 เรื่องไป
ภาพและการตัดฉากเป็นลายเซ็นของผู้กำกับหนังเรื่องนี้ไปแล้ว ภาพสวย เลือกโลเกชั่นตามงบที่มีอยู่จำกัดได้ดี ลำดับภาพดี มุมกล้องดี มีความแปลกใหม่ในเรื่องของการเล่าเรื่องผ่านโทนสี เสียงประกอบก็ผ่าน มีความยากตรงที่หนังอื่นๆเสียงประกอบที่เป็นดนตรีเขาจ้างมาเล่นกันใหญ่โต ถ้าพวกฝรั่งนี่ต้องเอาวงออเคสตร้าที่มีเครื่องดนตรีเป็นร้อยชิ้นมาทำดนตรีประกอบ แต่หนังที่พยายามทำตามกรอบฮาลาลห้ามใช้เครื่องดนตรี เสียงประกอบที่ฮึมฮัมๆตลอดเรื่องนั่นคือเสียงคนล้วนๆ ถ้าอยากลองดูความแปลกใหม่แบบนี้ลองเข้าไปดูกันเองได้
จุดอ่อนสำคัญมากๆคือบทพูดของตัวละคร
คล้ายกับจุดอ่อนเดิมของหนังเรื่องแรกของค่ายไวท์ "อมีน" ที่ตัวละครพูดอะไรเป็น text book ไปหมด ไร้ชีวิตชีวา และตอบรับกับคำสอนที่เป็นปรัชญาได้ง่ายเหลือเกิน
สังเกตดีๆ พลอตหลักของเรื่องนี้คล้ายๆกันกับเรื่อง อมีน
ที่พยายามแสดงให้เห็นว่า มีคนไม่ดีหนึ่งคน เดินเรื่องไปเรื่อยๆ ว่าเขาไปเจอคนดีๆ สถานที่ดีๆ หรือช่วงเวลาสั้นๆดีๆ แล้วปุ้บออกมาเป็นคนดีเฉยเลย ถ้าเอาตามทัศนะของผมคือรายละเอียดการเปลี่ยนความคิด เปลี่ยนความเชื่อ และเปลี่ยนพฤติกรรม ถือว่าหยาบพอควร
บทพูดของตัวละครที่ถกกันเรื่องปรัชญา วิทยาศาสตร์ เป็นอะไรที่อ่อนมากหากเอาเข้าไปในวงนักปรัชญาจริงๆ ความจริงบทพูดไม่ต้องยากหรือยาวเฟื้อย มันควรจะสั้น คม และ สร้างคำถามให้คนกลับไปคิดต่อ
ในอุดมคติเลย ต้องลองดูตัวอย่างของเรื่อง PK (ตอนเรื่องอมีนออกมาก็ยกตัวอย่างหนังเรื่องนี้) ที่ทำให้คนดูหนังเกือบทุกคนตั้งคำถามกับตัวเองว่า เฮ้ยตกลงมีศาสนาหรือไม่มีศาสนาดีกว่ากันวะ
หรืออีกตัวอย่างหนึ่งเช่นการดูหนังเรื่อง The Dark Knight ที่การถกเถียงกันของตัวร้ายตัวดี ทำให้คนสับสนและต้องเอาไปคิดต่ออย่างไตร่ตรองว่าตกลงอะไรมันดีหรือไม่ดีกันแน่
ตัวอย่างสำคัญที่ขอยกว่าบทพูดมันอ่อนแอในทางปรัชญาเช่น ตอนที่เล่าเรื่องเจ้าลัทธิญี่ปุ่นบอกว่าจะมีวันสิ้นโลกในวันที่เท่านี้ๆ แต่ข้อหักล้างกลับเป็นการนำเสนอวันสิ้นโลกในทัศนะของอิสลาม ซึ่งทั้งสองสิ่งนี้เป็นสิ่งที่ตั้งอยู่บนฐานความศรัทธาเหมือนกัน ไม่ใช่ข้อเท็จจริงที่พิสูจน์ได้ทางวิทยาศาสตร์
หรืออีกตอนเช่นตอนที่มีการถกเถียงทางปรัชญาเรื่องมนุษย์กับพระเจ้าบนเครื่องบิน ซึ่งเถียงกันแบบเบาบาง หรือไม่ก็เป็นข้อเท็จจริงฝั่งเดียว จนดูเหมือนเป็นการยัดเยียดคำสอนเข้าไปอีกแล้ว
การศึกษาปรัชญาหรือหลักคิดของความเชื่อแบบอื่นๆอย่างจริงจังและลึกซึ้ง น่าจะช่วยทำให้บทคมคายกว่านี้ อย่างน้อยก็น่าจะเห็นว่าปรัชญาไหนที่ควรเอามาเล่น เอามาจี้ เอาที่เล่นจุดเดียวแล้วน็อคไปเลย จะยิ่งดี
ที่อยากให้บทดีไม่ใช่เพระาอะไร เสียดายศักยภาพและไอเดียการทำหนังของทีมงานนี้จริงๆ ผมได้ยินว่างบแค่ 6 ล้าน แต่โปรดักชั่นดีมาก ภาพสวย เสียงดี ตัดต่อ ลำดับภาพดี จินตนาการในการเล่าเรื่องดี ผกก.ต้องมีพลังและของเยอะมากอยู่แล้ว เชื่อว่าวงการนักทำหนังมุสลิมในระดับโลกเองก็น่าจะมีคนมือถึงระดับนี้ไม่มากหรอก (เทียบจากหนังอินโด มาเล นะ) เรื่องแบบนี้มันไปไกลระดับโลก และข้ามกลุ่มคนดูเฉพาะที่เป็นมุสลิมได้ ถ้ามันคมคายกว่านี้นะครับ
โดยรวมให้ 6/10 ครับ ตัดแค่บทพูดล้วนๆ
ขอบคุณที่ทำหนังดีๆให้ได้ดู
เป็นกำลังใจให้เรื่องหน้าพลางๆ