Skip to main content

 

เมื่อ ธนาธร จึงรุ่งเรื่องกิจ อาสาจะเเก้ปัญหาใต้

 

อุสตาซ อับดุชชะกูร บินชาฟิอีย์(อับดุลสุโก ดินอะ)

[email protected]

 

 

เมื่อนักการเมืองรุ่นใหมธนาธร จึงรุ่งเรื่องกิจ เปิดตัวพรรคใหม่ซึ่งช่วงเเรกจะเห็นได้ว่าได้รับกระเเสตอบรับอย่างดีมากๆจะหลายภาคส่วนทั่วทั้งประเทศโดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ทำให้ฝ่ายอำนาจเก่าเผด็จการ เเละเเนวร่วมรู้สึกหวั่นๆในยุคสื่อไร้พรมเเดน ทำให้มีการใช้เเนวทางมากมายตอบโต้ รวมทั้งการวาดภาพต่างๆนานาในการดิสเครดิตเเละใส่ร้ายป้ายสีในโลกสื่อโซเซี่ยล

เอกรินทร์ ต่วนศิริเพื่อนผู้เขียนเเละ อาจารย์คณะรัฐศาสตร์มหาวิทยาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี ให้ทัศนะว่า " วิธีการที่ใส่ร้ายป้ายสีแก่พรรคอนาคตใหม่ เป็นวิธีการที่ไม่สง่างามและพาสังคมไทยห่างเหินจากปัญญา กล่าวให้ถึงที่สุดพรรคการเมืองต่าง ๆ ควรออกมาเรียกร้องให้กลุ่มคนที่ใช้วิธีการแบบนี้หยุดเสียที สังคมไทยก็เช่นกันควรเลิกเชื่อและต่อต้านการกระทำที่ไม่สร้างสรรค์แบบนี้ ทศวรรษที่ผ่านมาเราควรถอดบทเรียนได้แล้ว หากเรายังเชื่อและให้ท้ายกลุ่มลักษณะ องค์กรเสรีไทย ท้ายที่สุดสังคมไทยจะขาดทุนและจะมืดบอดทางปัญญา

คนในสังคมไทยต้องช่วยกันหนุนเสริมให้มีพรรคการเมือง นักการเมืองรุ่นใหม่ที่มีคุณภาพ ให้พื้นที่การเมือง(Political Space) ได้ขยับขยายแข่งขันกันภายใต้นโยบายที่สร้างสรรค์และนำพาสังคมไทยหลุดพ้นจากปากเหว ก้าวมาสู่เวทีประชาธิปไตยที่มั่นคงและสง่ามงามในเวทีนานาชาติ

ตลอดเวลาที่ผ่านมา ผู้สนับสนุนคณะรัฐประหารทั้งได้ใช้ต้นทุนที่มีทั้งหมด เพื่ออธิบายให้ความชอบธรรมกับคณะรัฐประหาร มันควรพอได้แล้ว เราทั้งหมดควรรื้อฟื้นระบอบประชาธิปไตยให้เป็นแก่นหลักแก่ทุกฝ่ายและต่อสู้ภายใต้ระบอบนี้ เพื่อรักษาสถาบันสำคัญ ๆ ของเราห่วงแหนด้วยวิธีการที่สง่างามและมีอารยะ"

การโจมตีต่อธนาธรณ์ ยิ่งมีกระเเสเพิ่มขึ้นหลังจากท่านได้เคยออกมาให้สัมภาษณ์สื่อว่าการเเก้ปัญหาใต้ควรหยุดการอุปถัมณ์ศาสนา(โปรดดู

https://prachatai.com/journal/2018/03/75905)

ซึ่งท้ายสุดท่านออกมาชี้เเจงผ่านเฟสบุคส์ส่วนตัว ว่า

"ความเห็นของผมเรื่องศาสนาที่ได้รับการพูดถึงอยู่ตอนนี้ ผมขอชี้แจงว่าสิ่งที่ผมแสดงความคิดเห็นไว้ถูกตัดออกมาจากบริบทของมัน การแสดงความคิดเห็นของผมในเรื่องนี้ กระทำไว้นานแล้ว และก่อนการเกิดขึ้นของพรรคเสียอีก ดังนั้นมันจึงเป็นการแสดงความคิดเห็นในฐานะส่วนตัว ไม่ใช่เพิ่งแสดงความคิดเห็นเร็วๆนี้ ซึ่งอาจทำให้เข้าใจว่าเป็นนโยบายพรรคได้

๑. อย่างไรก็ตาม โดยส่วนตัวผมเห็นว่า สังคมไทยควรเป็นสังคมที่ไม่นำเรื่องศาสนาซึ่งเป็นสิทธิและความเชื่อส่วนบุคคล มาสร้างความเกลียดชังซึ่งกันและกัน ผมเข้าใจความคับข้องใจของทั้งชาวพุทธและชาวมุสลิมที่ต่างตกเป็นเหยื่อของความขัดแยัง

๒. ดังนั้น จุดเริ่มต้นที่ดีที่สุดในกรณีปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ คือ กระบวนการพูดคุยสันติภาพที่มีความเป็นธรรม มีประสิทธิภาพ และมีส่วนร่วมจากภาคประชาสังคมทุกภาคส่วน เพื่อยุติความขัดแย้งโดยไม่ใช้ความรุนแรง

๓. การกระจายอำนาจให้ประชาชนมีสิทธิในการกำหนดอนาคตตนเองมากขึ้นในทุกภูมิภาค ไม่ใช่เฉพาะพื้นที่ใดพื้นที่หนึ่ง จะเป็นกุญแจสำคัญในการลดปัญหาความขัดแย้งและเพิ่มศักยภาพของสังคมไทยเพื่อสร้างประเทศไทยที่มีอนาคต

๔. หลังจากนี้ ทันทีที่กฏหมายเปิดโอกาส เราจะลงพื้นที่เพื่อพูดคุยกับผู้ได้รับผลกระทบจริง และจะรับฟังว่าพวกเขามีความเห็นในการจัดการความขัดแย้งอย่างไร

๕. อันดับสุดท้าย ผมขอโทษแทนสมาชิกพรรคของเราบางท่านที่ให้สัมภาษณ์ถึงข้อเสนอบางประการเกี่ยวกับการแก้ปัญหานี้ ซึ่งหลายท่านไม่เห็นด้วย เราน้อมรับข้อวิจารณ์ทั้งหมด และจะทำงานอย่างหนักในประเด็นนี้ต่อไป

เมื่อดูกลุ่มคนที่ออกมาต่อต้านท่านพบว่ามีอยู่สองกลุ่มใหญ่

1.คนพุทธในพื้นที่เเละนอกพื้นที่ซึ่งมองว่าจะยิ่งเปิดโอกาสให้กับมุสลิมเพราะในขณะนี้มุสลิมเองได้รับการดูเเลจากรัฐอย่างดีเเต่กลับทิ้งคนพุทธ

เเต่ก็มิได้มิได้หมายความว่ามุสลิมเองจะไม่กังวลเพราะถ้าไม่อุปถัมป์ศาสนาเเล้วมุสลิมก็โดนด้วยไม่ว่าสถาบันการศึกษาศาสนา เเละองค์กรศาสนาอิสลามเเละอื่นๆ

2.กลุ่มข้าราชการนิยม อนุรักษ์นิยม หรือชาติไทยนิยม ซึ่งมองว่าจะทำให้คุณค่าด้านจารีตนิยม เเละเลยเถิดถึงการสถาบันหลักของชาติล่มสลาย

สำหรับการจะกำหนดนโยบายที่ดีสอดคล้องกับเเนวคืดเสรีประชาธิปไตย สิทธิมนุษยชนคือธนาธรณ์เเละคณะสามารถควรจัดเวทีต่อทุกกลุ่ม ทุกภาคส่วน(ตามที่ท่านได้ออกมาเเก้ตัว)หรืออย่างไรโดยเอาเเกนนำภาคประชาชนที่เคยทำเวทีเเล้วตลอด12ปีเพื่อเปิดเวทีทางการเมืองในการนำเสนอทางออกกำหนดชะตากรรมร่วมกันไม่ว่าด้าน การเมือง การปกครอง เศรษฐกิจ การศึกษา ศาสนา วัฒนธรรม ความยุติธรรม สิ่งเเวดล้อม(โดยเฉพทะการสร้างหรือไม่สร้างโรงไฟฟ้าถ่านหินที่เทพา)เเละความมั่นคงหรือเเม้กระทั่งการถอนทหารหรือไม่ถอนทหารในพื้นที่ การไม่ต่อกฎหมายพิเศษหรือไม่อย่างไร อันจะทำให้ทุกคนมีความรู้สึกเป็นเจ้าของพรรคหรืออย่างน้อยที่สุดถึงเเม้จะชนะการเลือกตั้งหรือไม่อย่างไรจะทำให้คนในพื้นที่ที่รู้สึกกดทับในการเเสดงออกความคิดเห็นได้มีโอกาสเเสดงความคิดรวมทั้งคนเห็นต่างจากรัฐด้วยเช่นกัน

ดังนั้นหากธนาธรณ์สามารถทำเวทีเหล่านี้ได้ก่อนเเสดงความคิดเห็นต่อสาธารณะ มวลชนส่วนใหญ่ในพื้นที่จะช่วยปกป้องท่าน มากกว่าโจมตี ท่านจะมีความชอบธรรมมากขึ่้นในการต่อกรทางการเมืองกับอีกขั้วด้วยเช่นกันเพราะถ้าปล่อยให้สถานการณ์อย่างนี้จุดติดต่อไปท้ายสุดธนาธรณ์ จึงรุ่งเรืองกิจอาจตายคาเวทีก่อนเลือกตั้ง(โดยที่คนซึ่งอยู่ในอำนาจเก่าทั้งภาพรวมประเทศไทยเเละจชต.ไม่ต้องลงทุนทำอะไร )