มูลนิธิศูนย์ทนายความมุสลิม
มูลนิธิศูนย์ทนายความมุสลิมเปิดเผยผลการศึกษาความชอบด้วยกฎหมายของคดีความมั่นคงในภาคใต้จำนวน100 ร้อยคดี พบข้อเท็จจริงว่ามีคดีที่ศาลยกฟ้องกว่า 70เปอร์เซ็นต์ ในขณะที่รายละเอียดของการศึกษาชี้ให้เห็นว่า มีผู้ต้องหาถูกทำร้ายทุกขั้นตอนของการสอบสวนที่เริ่มตั้งแต่การเชิญหรือจับกุมตัวไปจนถึงการควบคุมตัวและซักถาม ทั้งนี้ไม่ว่าจะเป็นการดำเนินการภายใต้กฎหมายพิเศษหรือกฎหมายธรรมดาก็ตาม
ข้อสรุปดังกล่าวมาจากการศึกษา ข้อมูลสถิติคดีและและประมวลผลคดีความมั่นคง ภายใต้โครงการการตรวจสอบความชอบด้วยกฎหมายของคดีความมั่นคงในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งเป็นการศึกษาข้อมูลคดีความมั่นคงที่ผ่านการพิพากษาของศาลชั้นต้นระหว่างปี 2553 ถึงต้นปี 2554 จำนวน 100 คดี ข้อสรุปที่สำคัญคือในจำนวนคดีที่ศึกษาทั้งหมดนั้น มีถึง 72 คดีที่ศาลสั่งยกฟ้องด้วยเหตุเพราะพยานหลักฐานไม่เพียงพอ มีเพียง 28 คดีที่ถูกพิพากษาลงโทษ
“ส่วนใหญ่แล้วพยานหลักฐานที่ศาลไม่รับฟัง แต่ปรากฏมากในสำนวนฟ้องของเจ้าหน้าที่มักจะเป็นเรื่องของการอาศัยคำรับสารภาพที่ได้มาจากในชั้นการซักถามภายใต้กฎหมายพิเศษ ไม่ว่าจะเป็นกฎอัยการศึกหรือพระราชกำหนดบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน” อนุกูล อาแวปูเตะ ประธานมูลนิธิศูนย์ทนายความมุสลิมประจำจังหวัดปัตตานีระบุ “ที่ศาลไม่รับฟังนั้นส่วนหนึ่งเพราะถือว่า การได้มาซึ่งคำสารภาพหรือหลักฐานเช่นนี้อยู่นอกเหนือวิธีการได้มาซึ่งพยานหลักฐานที่ถูกต้องตามกฎหมายที่ใช้ในการพิจารณาคดี นั่นคือตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา”
นักกฎหมายของมูลนิธิศูนย์ทนายความมุสลิมชี้ด้วยว่า ยังมีเหตุผลอื่นๆอีกหลายประการที่มีส่วนทำให้พยานหลักฐานที่เจ้าหน้าที่นำเสนอในชั้นศาลขาดน้ำหนัก ส่งผลให้ตัวเลขการยกฟ้องอันเนื่องมาจากพยานหลักฐานไม่เพียงพอมีสัดส่วนสูง หากเทียบแล้วถือได้ว่าอัตราส่วนของคดีที่ยกฟ้องด้วยเหตุผลเพราะพยานหลักฐานไม่เพียงพอเท่ากับ 100 เปอร์เซ็นต์เต็ม
ผลการศึกษายังพบด้วยว่า ในการปฏิบัติต่อบุคคลที่เป็นผู้ต้องสงสัยและเป็นผู้ต้องหาของเจ้าหน้าที่ด้านความมั่นคง แม้ในหลายกรณีเจ้าหน้าที่จะให้ความเคารพในเรื่องความแตกต่างทางเชื้อชาติ ศาสนา แต่กลับพบว่ามีการข่มขู่ทำร้ายทั้งทางร่างกายและวาจา ด้วยการใช้ถ้อยคำที่ไม่สุภาพและขู่เข็ญตั้งแต่ในขั้นตอนการจับกุม การกักหรือคุมตัวไปจนถึงการซักถามหรือสอบสวนไม่ว่าตามกฎหมายพิเศษหรือภายใต้กฎหมายธรรมดาก็ตาม ข้อมูลระบุชัดว่า ในการนำตัวบุคคลเข้าสู่กระบวนการซักถาม เช่นในการเชิญตัวภายใต้อำนาจที่เจ้าหน้าที่ได้รับตามกฎอัยการศึก ใน 100 คดี มีผู้ถูกทำร้ายร่างกาย 33 คดี มีการใช้วาจาที่ไม่สุภาพด้วย 35 คดี ถูกข่มขู่25 คดี ในการจับกุมภายใต้อำนาจที่ได้รับตามพระราชกำหนดบริหารราชการภายใต้สถานการณ์ฉุกเฉินหรือพ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ปรากฏว่ามีผู้ถูกทำร้าย และใช้ถ้อยคำไม่สุภาพด้วยในจำนวนพอๆกันคือกรณีละ 16 คดี ถูกขู่เข็ญ 12 คดี ในการจับกุมในชั้นของการใช้ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาก็ปรากฏว่ามีบุคคลถูกทำร้ายร่างกายถึง 23 คดี มีการใช้วาจาไม่สุภาพด้วย 12 คดีและ ถูกขู่เข็ญ13 คดี
เมื่อตรวจสอบพฤติการณ์เจ้าหน้าที่ที่เกิดขึ้นในชั้นการถูกกักตัวและซักถามหรือสอบปากคำจะพบว่า สถิติการทำร้ายและขู่เข็ญมีสูงที่สุดในกระบวนการภายใต้กฎอัยการศึก รองลงมาคือการดำเนินการภายใต้พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ แต่สิ่งที่ผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายตั้งข้อสังเกตไว้ว่าเป็นเหตุน่ากังวลใจอย่างมาก ก็คือการทำร้ายในระหว่างการสอบปากคำภายใต้ขั้นตอนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาซึ่งสถิติระบุว่า ใน 100 คดีมีผู้ถูกขู่เข็ญใน 24 คดี ถูกทำร้ายทางร่างกาย 18 คดี และมีการใช้วาจาไม่สุภาพกับผู้ถูกสอบในอีก 17 คดี
ข้อสรุปอีกบางประการที่น่าสนใจจากผลการศึกษา
o ผู้ต้องหาเกือบทั้งหมดใน 100 คดี เป็นเพศชาย คือมีจำนวน 98 คน ในส่วนของคดีที่ศาลตัดสินลงโทษแล้วนั้น จำเลยเป็นชายล้วน และผู้ต้องหาส่วนใหญ่เป็นประชาชนทั่วไป
o ในการตั้งข้อกล่าวหาพบว่า มีการตั้งข้อกล่าวหาที่เป็นความผิดในลักษณะของกลุ่มอาชญากรค่อนข้างสูง ข้อกล่าวหาที่พบมากที่สุดในจำนวนคดีที่หยิบยกมาศึกษา 100 คดีคือข้อหา การก่อการร้าย กล่าวคือมีทั้งสิ้นจำนวน 76 คดี ทั้งในจำนวนคดีที่ยกฟ้องก็มีถึง 57 คดีที่ถูกกล่าวหาตามข้อหานี้ รวมทั้งในกลุ่มที่ถูกตัดสินลงโทษก็มีผู้ที่ถูกลงโทษด้วยข้อหาก่อการร้ายในจำนวนสูงสุดเช่นกันคือ 19 คดี ส่วนข้อหาที่รองลงมาคืออั้งยี่ซ่องโจร และความผิดตามพระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิดดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน หรือพ.ร.บ.อาวุธปืนฯ
o ระยะเวลาในการควบคุมตัวตามกฎหมายพิเศษ แม้ว่าโดยทั่วไปสถิติระบุชัดว่ามีผู้ต้องหาไม่กี่คดีที่ถูกคุมตัวเกินกว่าที่กำหนดไว้ตามกฎหมายพิเศษ โดยเฉพาะในกรณีการควบคุมตัวภายใต้กฎอัยการศึก แต่เมื่อมีการคิดค่าเฉลี่ยออกมาแล้วจากจำนวนผู้ที่ถูกกักตัวทั้งหมดกลับพบว่า การกักตัวภายใต้กฎอัยการศึกโดยรวมกระทำเกินกว่าที่กฎหมายให้อำนาจไว้
o ระยะเวลาของการถูกดำเนินคดี แม้สถิติระบุว่า การพิจารณาคดีส่วนใหญ่ใน 100 คดีนั้นใช้เวลาอยู่ในระดับที่ถือได้ว่าไม่นานเกินไป กล่าวคือมี 59 คดีที่ใช้เวลา 1-2 ปี ส่วนที่ใช้เวลาเกินสามปีมีเพียง 3 คดี แต่เมื่อพิจารณารวมไปถึงข้อเท็จจริงจากสถิติอีกบางอย่าง เช่นในบรรดาคดีทั้งหมดนั้น มีการผลัดฟ้องนาน 7 ครั้งรวมแล้วถึง 82 คดี และในจำนวนนี้เป็นคดีที่ในภายหลังศาลยกฟ้องถึง 59 คดี ทั้งยังมีการเลื่อนพิจารณาคดีอีกรวมแล้ว 73 คดี เมื่อรวมกับการที่บุคคลที่ถูกดำเนินคดีถูกกักตัวในช่วงของการซักถามและสอบปากคำรวมทั้งในระหว่างการอุทธรณ์ก็จะพบว่าผู้ต้องหาต้องใช้เวลาไม่น้อยกว่าจะผ่านพ้นการดำเนินคดี
o นอกจากนี้ในระหว่างการถูกกักตัวและดำเนินคดี มีผู้ต้องหาจำนวนไม่มากที่ได้รับการประกันตัวหรือปล่อยตัวชั่วคราว
o ยังมีตัวเลขผลจากการศึกษาอีกหลายจุดที่ผู้ศึกษาพบว่าบ่งชี้ถึงลักษณะอีกบางประการที่น่ากังวลเกี่ยวกับการปฏิบัติของเจ้าหน้าที่ที่แสดงออกถึงการประกันสิทธิตามกฎหมายของผู้ต้องหาโดยทั่วไปหลายประการ เช่นการไม่แจ้งข้อกล่าวหา การจับกุมหรือตรวจค้นเคหะสถานโดยปราศจากหมายจับ การไม่อำนวยให้ผู้ต้องหามีทนายหรือญาติเข้าร่วมรับฟังการซักถามหรือสอบปากคำ การที่ไม่มีการตรวจร่างกายก่อนเข้ารับการซักถามหรือสอบปากคำ ทั้งหมดนี้ไม่เพียงเปิดโอกาสให้มีการละเมิดต่อผู้ต้องหาเท่านั้น แต่ยังอาจส่งผลให้เกิดข้อครหาต่อการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ได้ด้วย
การศึกษา
การตรวจสอบความชอบด้วยกฎหมายของคดีหรือในภาษาอังกฤษเรียกว่า case audit นี้ ถือเป็นวิธีการศึกษาที่บางประเทศเช่นสหรัฐอเมริกาใช้ในการตรวจสอบกระบวนการยุติธรรม ทั้งนี้โดยมีจุดประสงค์ที่จะปรับปรุงระบบการทำงานของหลายภาคส่วนที่เกี่ยวข้องกับระบบยุติธรรม การศึกษาหนนี้อาจถือได้ว่าเป็นครั้งแรกของประเทศไทย เนื้อหาที่ได้กล่าวมาแล้วเป็นข้อสรุปโดยคร่าวของผลการศึกษาซึ่งมูลนิธิศูนย์ทนายความมุสลิมจะนำมาเรียบเรียงเป็นรายงานผลการตรวจสอบความชอบด้วยกฎหมายคดีความมั่นคงในจังหวัดชายแดนภาคใต้ และจะนำเสนอผู้ที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วยเป้าหมายเพื่อให้เกิดการถกเถียงและหารือถึงจุดอ่อนของการทำงานในกระบวนการยุติธรรม โดยเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับคดีความมั่นคงในพื้นที่สี่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ทั้งนี้เพื่อประโยชน์ในการลดความขัดแย้งอันจะนำไปสู่การแก้ปัญหาความไม่สงบที่ยั่งยืนในอนาคต
โครงการศึกษาดังกล่าวนี้ผู้ศึกษาคือมูลนิธิศูนย์ทนายความมุสลิมได้ใช้เวลาประมาณปีครึ่งในการดำเนินการ กล่าวคือนับตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2553 จนถึงปลายปี 2554 ในขั้นตอนของการศึกษามีการคัดสรรและศึกษาข้อมูลจากสำนวนคดีความมั่นคงในจังหวัดชายแดนภาคใต้จำนวน 100 คดีที่ศาลชั้นต้นได้พิพากษาแล้วในช่วงปี 2553 ถึงต้นปี 2554 อันเป็นช่วงเวลาที่มูลนิธิศูนย์ทนายฯมีคดีความมั่นคงในพื้นที่ที่เจ้าหน้าที่ของมูลนิธิช่วยรับหน้าที่ดำเนินการอยู่ประมาณ 600 คดี แม้ว่าคดีจำนวนที่ว่านี้จะมิใช่คดีความมั่นคงทั้งหมดที่มีการฟ้องร้องกันในพื้นที่แต่ก็ถือได้ว่าเป็นส่วนมาก การศึกษาคดีในจำนวนนี้จึงอาจถือได้ว่าน่าจะทำให้สาธารณะได้เห็นภาพของการทำงานของกระบวนการยุติธรรมในคดีความมั่นคงในภาคใต้ได้ในระดับหนึ่ง
การศึกษาดังกล่าวนี้ มูลนิธิศูนย์ทนายความมุสลิมได้รับการสนับสนุนจาก American Bar Association Rule of Law Initiative (ABA) หรือเนติบัณฑิตสภาแห่งอเมริกา เมื่อเริ่มจัดทำโครงการนี้คือในกลางปี 2553 นั้น คดีความมั่นคงในจังหวัดชายแดนภาคใต้ส่วนใหญ่ยังอยู่ในระหว่างการพิจารณาในชั้นศาล แม้ว่าหลายคดีจะเข้าสู่กระบวนการแล้วตั้งแต่ปี 2547 แต่จำนวนคดีที่ผ่านการตัดสินของศาลชั้นต้นยังมีไม่มาก ผู้ศึกษาจึงตัดสินใจใช้ตัวเลขที่มีความเป็นไปได้มากที่สุดในเวลานั้นคือ 100 คดีเป็นเป้าหมายของการศึกษา สำหรับกระบวนการนั้นเริ่มต้นจากการมีองค์คณะร่วมกันพิจารณากำหนดกรอบและหลักการในการแยกประเภทข้อมูล มีการจัดทำกรอบในการจัดทำรายการ (check list) โดยขั้นตอนนี้ดำเนินการภายใต้การสนับสนุนของนักวิชาการด้านกฎหมายคือ ดร.ปกป้อง ศรีสนิท จากคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ต่อมาคณะผู้ศึกษาซึ่งประกอบด้วยเจ้าหน้าที่ของมูลนิธิกว่า 17 คนภายใต้การสนับสนุนของทนายความจำนวน 14 คนทำหน้าที่รวบรวมสำนวนคดีที่สอดคล้องกับองค์ประกอบของหลักการที่กำหนด นำข้อมูลจากทั้ง100 คดีไปทำเป็นฐานข้อมูลก่อนที่จะนำข้อมูลจากทั้งสองส่วนไปสังเคราะห์และสกัดเป็นสถิติแล้ววิเคราะห์ในขั้นตอนสุดท้ายซึ่งมีอาจารย์รณกรณ์ บุญมี นักวิชาการด้านกฎหมายจากคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ช่วยสนับสนุนในเชิงวิชาการ
ธันวาคม 2554