Skip to main content

ที่กรุงเทพ ๒๙/๒๕๕๒ 

 

วันที่ ๗ มิถุนายน พ.ศ.๒๕๕๒

แถลงการณ์
ความล่าช้า คือ ความอยุติธรรม ๑ เดือนหลังการสังหารหมู่ราษฎรในมัสยิดอัลฟุร-กอน
 

ภายหลังเหตุการณ์การสังหารหมู่ราษฎรมุสลิมที่กำลังปฏิบัติศาสนกิจในมัสยิดอัลฟุร-กอนที่บ้านไอปาแย อำเภอเจาะไอร้อง จังหวัดนราธิวาส เมื่อคืนวันที่ ๘ มิถุนายน ที่ผ่านมาทำให้มีผู้เสียชีวิตทันที ๑๐ ศพ และบาดเจ็บอีก ๑๒ ราย นั้น จนถึงวันนี้ครบ ๑ เดือนของการสูญเสียดังกล่าว  ต้องขอบคุณรัฐบาลที่ได้ให้การช่วยเหลือเยียวยาครอบครัวผู้บาดเจ็บ และผู้เสียชีวิตเป็นอย่างดี  อย่างไรก็ตาม แม้เหตุการณ์จะผ่านมาครบ ๑ เดือนแต่พบว่าการดำเนินการของเจ้าหน้าที่ในการเร่งหาพยานหลักฐานในการหาตัวผู้กระทำผิดมาเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมเป็นไปอย่างล่าช้า และไม่สามารถพิสูจน์ให้ประชาชนทุกคนเห็นได้ว่าประชาชนทุกคนจะมีความเสมอภาคกันตามกฎหมายอย่างแท้จริง เพราะจนวันนี้หน่วยงานความมั่นคงยังไม่สามารถเรียกตัวผู้ต้องสงสัยรายใดมาให้ข้อมูลได้แม้จะอยู่ในพื้นที่ที่มีการใช้กฎหมายพิเศษ

การสังหารประชาชนในศาสนสถานก่อให้เกิดความสะเทือนใจในหมู่ประชาชนอย่างสูง  การสังหารหมู่ในมัสยิดอัลฟุร-กอนมิใช่ครั้งแรกของการเสียชีวิตจากเหตุความรุนแรงที่เกิดขึ้นในมัสยิด โดยครั้งแรกเกิดขึ้นที่มัสยิดกรือเซะ เมื่อ ๒๘ เมษายน ๒๕๔๗ ซึ่งครั้งนั้นมีผู้เสียชีวิต ๓๒ ศพ หรือต่อมาที่มัสยิดบ้านทุ่งโพธิ์ อำเภอหนองจิก จังหวัดปัตตานี เมื่อปี ๒๕๕๑ ซึ่งมีผู้เสียชีวิต ๒ ศพ  แต่ทุกครั้งที่ผ่านมารัฐล้มเหลวในการนำตัวผู้กระทำผิดมาลงโทษตามกระบวนการยุติธรรม

ที่ผ่านมาองค์อรเอกชนด้านสิทธิมนุษยชน ทั้งในและต่างประเทศ ได้เรียกร้องให้รัฐบาลไทยเร่งรัดการดำเนินการสืบสวนสอบสวน และตั้งคณะกรรมการอิสระเพื่อสอบข้อเท็จจริงในกรณีดังกล่าว แต่ได้รับการปฏิเสธ  โดยรัฐบาลเชื่อว่าการตั้งคณะกรรมการอิสระดังกล่าวจะทำให้เกิดความล่าช้า แต่จนถึงปัจจุบันยังไม่มีสัณญาณใดๆจากรัฐ  โดยเฉพาะหน่วยงานความมั่นคงในพื้นที่ ในการเร่งรัดติดตามการดำเนินคดีดังกล่าว จึงเกิดคำถามในหมู่ประชาชนว่า รัฐบาลโดยเฉพาะหน่วยงานความมั่นคง มีความเต็มใจ(Willing) เพียงใดในการสร้างความเสมอภาคด้านความยุติธรรมแก่ประชาชนโดยไม่เลือกปฏิบัติ เพราะไม่ว่าใครเป็นผู้กระทำผิดก็ตามต้องอยู่ภายใต้กฎหมายเดียวกัน ต้องได้รับการปฏิบัติเช่นเดียวกัน และต้องถูกลงโทษตามกระบวนการยุติธรรมเช่นเดียวกัน

คณะทำงานยุติธรรมเพื่อสันติภาพ จึงมีข้อเรียกร้องต่อรัฐบาลนายอภิสิทธิ์  เวชชาชีวะ ในโอกาสครบ ๑ เดือนการสังหารหมู่ประชาชนในมัสยิดอัล-ฟุรกอน ดังนี้

๑.  รัฐบาลควรยอมรับข้อเสนอของประชาชนในการตั้งคณะทำงาน หรือคณะกรรมการที่เป็นอิสระ โดยคำนึงถึงการมีส่วนร่วมของประชาชน เพื่อร่วมตรวจสอบข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นในกรณีดังกล่าว และเปิดเผยให้ประชาชนทราบ

๒.  รัฐต้องตอบสนองประชาชนด้วยการเยียวทางความรู้สึก ซึ่งคนในพื้นที่รู้สึกว่าไม่ได้รับความยุติธรรม และเกิดการลอยนวลของผู้ที่สมควรจะต้องรับผิด ในหลายๆเหตุการณ์ที่ผ่านมา โดยการเร่งรัดนำตัวผู้กระทำผิดมาลงโทษตามกระบวนการยุติธรรมทันทีโดยไม่เลือกปฏิบัติ

๓.   รัฐบาลโดยเฉพาะหน่วยงานความมั่นคงควรทบทวนการแจกจ่ายอาวุธให้ประชาชน รวมถึงเจ้าหน้าที่ซึ่งมีระยะเวลาการฝึกฝนการใช้อาวุธในเวลาอันจำกัด  และควรทำความเข้าใจกับผู้ปฏิบัติงาน หรือผู้ครอบครองอาวุธทุกคนถึงความสำคัญของการใช้ “สันติวิธี” ในการแก้ไขปัญหา

“ การแก้ไขปัญหาความรุนแรงในจังหวัดชายแดนภาคใต้นั้น รัฐต้องใช้ความจริง  ความยุติธรรม และการมีส่วนร่วมของประชาชน เป็นตัวนำในการแก้ไขปัญหา ต้องแสดงให้ประชาชนเห็นว่า ความยุติธรรมนั้นเป็นของประชาชน เพราะ ปัจจุบันความยุติธรรมเป็นสิ่งเดียวที่ยังเกาะเกี่ยวความไว้เนื้อเชื่อใจระหว่างรัฐ กับประชาชน หากขาดซึ่งความไว้เนื้อเชื่อใจ และประชาชนมีความรู้สึกว่า “ รัฐพึ่งไม่ได้” คงเป็นการยากที่ประชาชนจะให้ความร่วมมือในการแก้ไขปัญหา  และสามารถนำความสงบสุขสันติคืนมาสู่ประชาชนอย่างยั่งยืน” นางอังคณา นีละไพจิตร กล่าว