อับดุชชะกูรฺ บิน ชาฟิอีย์ (อับดุลสุโก ดินอะ)
กรรมการสภาประชาสังคมชายแดนใต้
อาจารย์พิเศษมหาวิทยาลัยทักษิณ
ผู้ช่วยผู้จัดการโรงเรียนจริยธรรมศึกษามูลนิธิ อ.จะนะ จ.สงขลา
ผู้ช่วยผู้จัดการโรงเรียนจริยธรรมศึกษามูลนิธิ อ.จะนะ จ.สงขลา
ด้วยพระนามของอัลลอฮ.ผู้ทรงเมตตากรุณาเสมอ ขอความสันติสุขจงมีแด่ศาสนฑูตมูฮัมมัด ผู้เจริญรอยตามท่านและสุขสวัสดีแด่ผู้อ่านทุกท่าน
27 ก.พ.56 ผู้เขียนได้เข้าร่วมเสวนายุทธ์ศาสตร์ด้านส่งเสริมประชาธิปไตย สิทธิมนุษยชน ความยุติธรรมและการเปลี่ยนผ่านความขัดแย้งสู่สันติภาพ ณ โรงแรมบางกอกชฎา กรุงเทพมหานคร จัดโดยมูลนิธิผสานวัฒนธรรมและมูลนิธิศูนย์ทนายความมุสลิมซึ่งมีผู้เข้าร่วมเสวนาจากองค์กรต่างๆทั้งในพื้นที่ นอกพื้นที่ ทั้งในประเทศและต่างประเทศเพื่อร่วมให้ทางออกเหตุการณ์ความรุนแรงในจังหวัดชายแดนภาคใต้หลังการตายของผู้ก่อการหรือนักรบเพื่อเอกราชปาตานี 16 ศพ ซึ่งมีการกล่าวถึงแรงผลักของนักรบเหล่านี้ส่วนหนึ่งมาจากความคับแค้นจากถูกกระทำจากรัฐในเหตุการณ์ตากใบ
นางแยนะ สาละแม ชาวบ้านตากใบให้ทัศนะว่า “ในช่วง 9-10 ปี ที่ผ่านมา กะอยู่ในเหตุการณ์ตากใบด้วย เหตุการณ์วันนั้น เจ้าหน้าที่รัฐกระทำต่อประชาชน หลังจากเหตุการณ์นั้น ความคิดของประชาชนจังหวัดชายแดนใต้ ยังไม่ลืมวันนั้น เหมือนเพิ่งเกิดขึ้นไม่นาน..กะนะต่อสู้เพราะลูกชายถูกจับจากเหตุการณ์ตากใบ และถูกฟ้องเป็นจำเลย หนึ่งใน58 คน ปัจจุบันพิพากษายกฟ้อง ต่อมาสามีก็ถูกยิงเสียชีวิตด้วย กะนะก็ต่อสู้มาจนกระทั่ง 9 ปี ได้ช่วยเหลือชาวบ้านที่ถูกจับที่ไม่รู้ ก็รู้จักเจ้าหน้าที่ เพื่อขอความเป็นธรรมจากคนเหล่านี้ ให้มาช่วยเหลือชาวบ้าน... กะนะก็พอจะรู้จักทนายความมุสลิม ก็แนะนำให้ไปร้องเรียนทุกฝ่าย เพื่อสร้างความเข้าใจ สร้างความเป็นธรรม ไม่อยากให้คนนอกมองว่าคนจังหวัดชายแดนใต้เป็นโจรหมด สำหรับกลุ่ม 16 ศพ ที่เสียชีวิตที่บาเจาะนั้นมี 6 คน ที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ตากใบ หลังจากไปตากใบมาก็ถูกเจ้าหน้าที่มองว่าคนเหล่านี้เป็นโจรหมดเลย จนกระทั่งเสียชีวิตอยู่ไปก็ไม่มีความสุข อยู่บ้านไม่ได้ เจ้าหน้าที่ไปค้นที่บ้านบ่อยๆ ความเจ็บปวดของคนตากใบ ปัจจุบันคนก็รู้สึกอยู่ตอนที่ถูกกระทำจากเจ้าหน้าที่เป็นอย่างไร กะแยนะอยากให้เหตุการณ์ตากใบให้จบ ตอนที่ถูกจับในเหตุการณ์ตากใบ แม่ทัพตอนนั้นบอกว่า “จับโจรได้หมดแล้ว” ทุกคนที่อยู่ตอนนั้นก็ได้ยินกันหมด”
ผู้เขียนมีทัศนะว่าเหตุการณ์โจมตีฐานปฏิบัติการของทหารครั้งนี้จะเป็นจุดเปลี่ยนความเข้าใจปัญหาความรุนแรงในจังหวัดชายแดนภาคใต้ครั้งสำคัญได้หากรัฐบาลนำเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมาพิจารณาไตร่ตรองอย่างลึกซึ้งและรอบคอบ เพราะหลักฐานทุกอย่างในที่เกิดเหตุสามารถอธิบายเหตุและผลในตัวเองได้อย่างชัดเจนและหากมันเป็นผลจากความคับแค้นจากเหตุการณ์ตากใบนายสุนัย ผาสุกจากHuman Rights Watchให้ทัศนะว่า
“มันก็ควรเป็นนาฬิกาปลุก ที่ทำให้ภาครัฐตระหนักว่า การใช้มาตรการทางกฎหมายม/ความมั่นคง เพื่อจัดการกับความไม่สงบ โดยขาดซึ่งมิติของความยุติธรรม ขาดซึ่งมิติของความเป็นมืออาชีพในการใช้กฎหมายมต่างๆ ตั้งแต่ผู้บังคับบัญชาสูงสุดจนลงมาระดับล่าง ยอมรับว่าทำงานมันพลาดกันได้ แต่ไม่มีการรับผิดของเจ้าหน้าที่ ให้เกิดความเป็นธรรม..เหตุการณ์บาเจาะ เป็นครั้งแรกที่สื่อไทยใช้ความพยายามในการใช้ความเข้าใจว่า ทำไมอยู่ๆกลุ่มคนเหล่านี้ (หากเป็นจริง) จึงใช้ความรุนแรงต่อพลเรือน โดยเฉพาะพลเรือนที่บริสุทธิ์ มะรอโซกับเพื่อนมะรอโซ กับเหตุการณ์ตากใบ คนยุคนี้ จากเหตุการณ์ตากใบ ทำให้เลือกอะไรที่สุดโต่ง จนใช้ความรุนแรง เพราะหาความยุติธรรมจากระบบ/วิธีการธรรมดาไม่ได้ แต่วิธีการที่เค้าทำที่ทำร้ายชีวิตของพลเรือน ที่ใช้ความรุนแรง ไม่ถูกต้อง แต่เจ้าหน้าที่ผิดก็ต้องว่าไปตามผิด ซึ่งตอนนี้มันยังไม่เกิดขึ้น สุดท้ายก็ได้แต่เงินเยียวยา หลายกรณีคนไม่ยอมรับเงินเยียวยา เพราะสุดท้ายชีวิตคนมันซื้อไม่ได้ ได้เงินแต่ไม่ได้รับความยุติธรรม”
ดังนั้นการเยียวยาความรู้สึกของประชาชนผู้ได้รับผลกระทบ ควรมีลักษณะจริงใจเมตตาและยุติธรรมในฐานะคนไทยด้วยกันอย่างแท้จริง ไม่ควรมีลักษณะแสวงหาประโยชน์ในทางการเมืองไม่ว่าในกรณีใดๆ
มาตราการทางทหารภายใต้กฎหมายพิเศษปฏิเสธไม่ได้ว่ามีการละเมิดสิทธิที่รุนแรงหลายคนในช่วงแรก ถึงแม้ จะมีการปรับตัว มีการอบรมการใช้กฎที่เคร่งครัดขึ้น ในช่วงหลัง แต่ก็ยังมีการละเมิดสิทธิมนุษยชนอยู่อีกบ้าง ซึ่งไม่มีการลงโทษ คนผิดไม่ได้รับการลงโทษ ถึงแม้ฝ่ายรัฐจะอ้างว่ามีการลงโทษทางวินัย แต่ ชาวบ้านไม่รับรู้
ตัวพระราชกำหนด กฎหมาย.ฉฉฯ มันมีปัญหา เรื่องการไม่ต้องรับผิดทางแพ่ง/อาญา หรือตัวการขยายการควบคุมตัวได้เรื่อยๆ ดังนั้น มันเป็นสนิม ความพยายามของรัฐที่จะแก้ไขปัญหา ทำให้ซับซ้อนมากขึ้น สำหรับเรื่อง มาตรา21 (ในพรบ.ความมั่นคงฯ) ตามทัศนะรัฐเรียกร้องให้กลุ่มแนวร่วมเข้ามากลับใจ เพราะหลงผิด ซึ่งจริงๆทัศนะนักรบเพื่อเอกราชปาตานีมองว่าเขาไม่ได้หลงผิด แต่เขาไม่มีทางเลือก ปัญหาจากการใช้กฎหมายที่ผ่านมาคืออะไร?? ต้องยอมรับมัน สามารถขัดสนิมพวกนี้ออกได้หรือไม่ ปัจจุบันคนเสียชีวิต 5,500 คน 4 พันกว่าคนเป็นประชาชน นอกนั้นเป็นเจ้าหน้าที่ ทำอย่างไรจะไม่ทำให้เงื่อนไขมันรุนแรงจนคนบาดเจ็บล้มตายมากขึ้น
การใช้กระบวนการทางนิติวิทยาศาสตร์ดีมากแต่ก็เกิดปัญหาหากชาวบ้านเท่านั้นถูกลงโทษและรัฐใช้การแก้ปัญหาทางทหารมากกว่ากระบวนการยุติธรรม อย่างโปร่งใส เที่ยงธรรม
ดร.พญ.ปานใจ โวหารดี สถาบันนิติวิทยาศาสตร์และมีโอกาสได้ไปตรวจชันสูตรพลิกศพผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์ตากใบให้ทัศนะในเวทีนี้ว่า
“รัฐบาลไทยใช้ความมั่นคงเป็นหลัก เพิ่งจะนำความยุติธรรมมาใช้ ความเป็นคนไทยจริงๆ ก็มีการผนวกเข้าด้วยคนจากหลากหลายชาติพันธุ์ โดยผนวกเข้าด้วยคำว่าชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ในประวัติศาสตร์ที่ผ่านมาและอัตลักษณ์ของคนในพื้นที่จชต.แตกต่างจากกรอบของรัฐไทย ทำให้รัฐใช้เรื่องความมั่นคงเป็นหลัก ปัญหาการเมืองของชาติส่งผลกระทบต่อการแก้ไขปัญหาจชต.โดยตรง เช่น ปัญหาเสื้อเหลือง-แดง ที่ผ่านมา ปัญหาเรื่องการละเมิดสิทธิมนุษยชน การใช้หลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์ไม่ต่างจากพื้นที่อื่นๆของประเทศไทยเหมือนกัน แต่ในจชต.จะเกิดขึ้นมากกว่า เพราะมีการใช้กฎอัยการศึก/พรก.ฉฉฯ การปฏิบัติหน้าที่ของจนท.มีอคติต่อคนในพื้นที่ ...การใช้หลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์ เป็นการป้องปรามไม่ให้มีการซ้อมทรมานได้ ถ้ามันมีประสิทธิภาพมันก็ไม่ต้องใช้วิธีการที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย แนวโน้มคนเน้นเรื่องกระบวนการยุติธรรมมากขึ้น เพราะหากมีความยุติธรรมเกิดขึ้น ก็เป็นส่วนหนึ่งของการแก้ไขปัญหา บุคลากรที่ลงไปปฏิบัติหน้าที่ก็ไม่มีความเข้าใจ รัฐต้องมีความจริงใจในจุดนี้”
นายสมชาย หอมลออ จากคณะกรรมการปฏิรูปกฎหมายได้เปรียบเทียบเหตุการณ์ตากใบกับเหตุการณ์ 6 ตุลา 19 ทำให้คนตัดสินใจจับอาวุธมากขึ้น ทั้งที่การตัดสินใจจับอาวุธนี้ ไม่ใช่เรื่องง่าย ยุคแห่งการหวาดกลัวนี้คล้ายกับเหตุการณ์ 6 ตุลา 19 การจะใช้ม. 21 พรบ.ฯ ต้องไม่ใช้บนบรรยากาศของความหวาดกลัว ดังนั้น มีบทเรียนชุดหนึ่งจากเหตุการณ์ 6 ต.ค.19
ดังนั้นทางออกมีด้วยกันสามประเด็น
ประเด็นที่ 1 ต้องเปลี่ยนกระบวนทัศน์ของฝ่ายความมั่นคง มีหน้าที่ต้องให้พลเรือนกำหนดบทบาทของฝ่ายความมั่นคงเพราะ ที่ผ่านมาฝ่ายทหารเป็นผู้กำหนดตลอด พลเรือนไม่กำหนดและไม่กล้ากำหนด ตำรวจเองยังต้องฟังฝ่ายทหาร ถ้าศาลฟังฝ่ายทหารด้วยก็จะลำบาก ซึ่งเป็นเรื่องที่มูลนิธิผสานวัฒนธรรมและมูลนิธิศูนย์ทนายความมุสลิม พยายามต่อสู้มาโดยตลอด
ประเด็นที่ 2 ไม่มีพื้นที่สำหรับความแตกต่าง และการรัฐประหาร 49 ทำให้พื้นที่ของความแตกต่างลดลงอีก ดังนั้นจึงเกิดความขัดแย้งระหว่างสี ต้องไปใช้บนถนน เกิดความรุนแรง ในจชต.ต้องอาศัยพท.ความแตกต่างนี้มาก ซึ่งต้องยอมรับความแตกต่างอันนี้ เช่นเรื่องภาษา การศึกษา ชาวบ้านต้องการความเป็นธรรมเชิงวัฒนธรรมด้วย มากกว่าแค่เชิงการปกครองเท่านั้น
ประเด็นที่ 3 ส่งเสริมกิจกรรมที่ไม่รุนแรง สำหรับคนที่มีอุดมการณ์/อุดมคติ ของคนจชต. ที่ต้องการเอกราชตามทัศนะเขาหรือแบ่งแยกดินแดนตามทัศนะรัฐด้วย เช่น ยอมที่จะให้มีพรรคการเมืองของคนจชต.หรือไม่ ถ้าพรรคการเมืองดังกล่าวมีนโยบายในการปกครองตนเอง จะทำได้หรือไม่