มาโซผู้ต้องคดีฆ่านาวิกโยธิน ที่ตันหยงลิมอ
เมื่อวันที่ 27 กันยายน 2556 ข้าพเจ้าได้พูดคุยกับไซนับน้องสาวของนายมาโซ คือ ถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้น โดยเริ่มจากเหตุการณ์สะเทือนขวัญกรณีทำร้ายและฆ่าเจ้าหน้าที่หารนาวิกโยธินเมื่อวันที่ 21 กันยายน 2548 นำไปสู่การถูกจับกุมเมื่อวันที่ 26 มกราคม 2549 เขาได้พบและพูดคุยกับอดีตนายกรัฐมนตรี ทักษิณ ชินวัตร และบอกเล่าเรื่องราวของกลุ่มแบ่งแยกดินแดนจนนำไปสู่การจับกุมขยายผลพี่ชายของนายมาโซ น้องสาวของมาโซเล่าอีกว่า ช่วงที่ถูกจับกุมพี่ชายถูกทหารใช้ปืนขู่ให้รับสารภาพ ถูกต่อยจนฟันกรามหัก 2 ซี่ต้องอยู่ห้องมืด ถูกแช่เย็นและถูกคลุมถุงดำที่ศีรษะ
ต่อมาเขาได้รับการยกฟ้องในปี 2554 และกลับมาใช้ชีวิตตามปกติที่บ้าน แต่งงานและมีลูกสาว 1 คน อายุประมาณ14 เดือนและไปใช้ชีวิตที่บ้านภรรยา ซึ่งอยู่ที่อำเภอจะแนะ จังหวัดนราธิวาส กิจวัตรประจำวันของเขาในช่วงเช้าก็ไปกรีดยางกับแม่ยาย และกลับจากกรีดยางพาราในเวลา 11 .00 น.หลังจากนั้นก็จะใช้เวลาในการต่อเติมสร้างบ้านของตนเองไปเรื่อยตามแต่กำลังทรัพย์ที่มี พอตกเย็นก็จะไปเพาะพันธ์ยาง เป็นคนไม่ค่อยสุงสิงกับใคร พูดจาตรงไปตรงมาในช่วงกลางคืนก็ไม่ได้ไปไหนไกล นอกจากไปละหมาดแล้วก็กลับบ้าน
นายมาโซมีพี่น้องทั้งหมด 7 คน เป็นผู้ชาย 5 คนและผู้หญิง 2 คน หลังจากเหตุการณ์ที่ถูกจับก็ทำให้ครอบครัวถูกเพ่งเล็งจากทางการมาโดยตลอด
ผู้นำของครอบครัวถูกพลัดพราก
กระทั่งเมื่อเขาได้รับการปล่อยตัว 1 ปี พ่อของเขาก็เสียชีวิตจากการถูกยิงในสวนยางพาราในช่วงเช้าของวันที่ 13 ต.ค. 2555 แต่เอกสารการรับรองสามฝ่ายยังไม่มีการดำเนินการจากเจ้าหน้าที่ตำรวจ ในข่าวตำรวจได้ระบุว่าเป็นอาวุธปืนไม่ทราบชนิดและสาเหตุอาจเกิดจากเรื่องส่วนตัว
ต่อมาช่วงเย็นวันเดียวกันก็มีชาวบ้านไทยพุทธถูกยิงเสียชีวิตในหมู่บ้านใกล้เคียงซึ่งได้รับการรับรองสามฝ่ายและได้รับเงินเยียวยาแล้ว ในข่าวตำรวจให้ข้อมูลว่าเป็นปืนM16 และสาเหตุจากเหตุการณ์ความไม่สงบเพราะผู้ตายเป็นอดีตผู้ใหญ่บ้าน
หลังจากพ่อเสียชีวิตประมาณ 1 สัปดาห์น้องสาวเล่าให้ฟังว่า "ช่วงที่พ่อเสียชีวิตทหารต้องการตัวพี่ชายคือ (นายมาโซ) ทหารมาคุกคาม มาที่บ้านแบบไม่เกรงใจ มาลักษณะโวยวายบอกว่า ฉก.ต้องการเชิญพี่ชายให้ไปกินน้ำชา ขณะเดียวกันแม่ก็โวยวายเรียกผู้ใหญ่บ้านมาบอกว่าเราไม่ใช่โจร”
เธอให้ความเห็นอีกว่า “จะมาก็มากันแบบดีๆก็ได้ และอยากให้ชัดเจน เช่นเมื่อถามว่ามีหมายค้นไหม ใครเชิญ คดีอะไร เจ้าหน้าที่ซึ่งเป็นระดับผู้กองบอกแค่ว่า ฉก.เชิญไปกินน้ำชา และต้องการให้พี่ชายไปคนเดียวและไม่อนุญาตให้ญาติไปด้วย ทำให้พีชายต้องไปในที่สุด พี่ชายบอกว่ามีการตรวจสอบลายนิ้วมือ และดีเอ็นเอ”
เธอให้ข้อสังเกตว่า ภายหลังเหตุนาวิกโยธินถูกทำร้ายจนเสียชีวิตครอบครัวก็ยังอยู่กันตามปกติ ภายหลังจากพี่ชายได้รับการปล่อยตัวออกมาก็ยังสามารถใช้ชีวิตตามปรกติ กระทั่งพ่อเสียชีวิตก็เกิดเหตุการณ์มากมาย และทำให้ครอบครัวสูญเสียเสาหลัก
ถัดมาไม่ถึงหนึ่งเดือน วันที่ 18 พ.ย. 2555 แม่และพี่ชายอีกคนคือ อับดุลเลาะ ก็ถูกยิง โชคดีที่พี่ชายไม่เสียชีวิตแต่ได้รับบาดเจ็บสาหัส ส่วนแม่ก็ถูกพรากจากพวกเราอีกคนโดยไม่มีใครเห็นคนร้ายเพราะใส่หมวกปิดหน้า เหตุการณ์ครั้งนี้ทำให้มาโซไม่กล้าอยู่ในพื้นที่ ไม่สามารถกลับบ้านได้ เพราะกลัวจะเป็นเป้า
ทั้งนี้เรื่องเอกสารการรับรอง 3 ฝ่าย ทางครอบครัวได้เคยสอบถามตำรวจ แต่ก็มีการโยนกันไปมา ตำรวจบอกว่าต้องไปให้อำเภอส่วนอำเภอก็บอกให้ไปหาตำรวจ และยังบอกว่าให้พาผู้ใหญ่บ้านมาด้วย พวกตนก็ทำตามที่ทางเจ้าหน้าที่บอกทุกอย่างแต่ก็ยังไม่มีความคืบหน้า เธอได้เปรียบเทียบกรณีของผู้ใหญ่บ้านที่เป็นไทยพุทธซึ่งเสียชีวิตในวันเดียวกันกับพ่อของเธอกลับได้รับการรับรองสามฝ่ายและได้รับการเยียวยา
ผ่านมาหนึ่งปีเจ้าหน้าที่ไม่ทราบสาเหตุการเสียชีวิตของพ่อกับแม่ แต่อ้างว่าคดีของพ่อไม่มีปลอกกระสุนที่ตัวจึงไม่มีหลักฐานพิสูจน์ แต่ถูกยิงด้วยปืนอาก้า ส่วนคดีของแม่นั้นมีการเปลี่ยนมือเจ้าหน้าที่ตำรวจ เขาจึงขอเวลา 1 ปีในการตรวจสอบ เช่นเดียวกับ ศอ.บต. บอกว่า การรับรองสาม3 ฝ่ายต้องใช้เวลา 1 ปีในการตรวจสอบ
มาโซ อดีตผู้ต้องหา ถูกยิงเสียชีวิต
ผ่านไปไม่ถึงหนึ่งปีครอบครัวของเธอก็ไม่นึกเลยว่าฝันร้ายจะตามมาหลอกหลอนอีก วันที่ 25 ก.ย. 2556 นายมาโซก็ถูกยิงเสียชีวิต!
แม่ยายของมาโซ เล่าว่า “ลูกเขยได้ขี่รถจักรยานยนต์พร้อมเธอซึ่งนั่งซ้อนท้ายออกไปกรีดยาง ระหว่างทางได้มีรถยนต์สีขาวขับมาเบียดทางด้านขวามือตีคู่กับรถจักรยานยนต์ แล้วก็เกิดเสียปืนดังขึ้น 3 นัด โดยที่ 2 นัด รถจักรยานยนต์ยังไม่ล้ม จังหวะที่นายมาโซและแม่ยายหันไปเพื่อดูก็ได้เสียงปืนขึ้นอีกหนึ่งนัด จึงทำให้รถจักรยานยนต์ล้ม แม่ยายไม่ได้รับบาดเจ็บแต่นายมาโซ เสียชีวิตทันที”
เขาถูกยิงสามนัดคือ กระสุนยิงเข้าที่เอว 2 นัดและยิงเข้าที่คอ 1 นัด
ความหวาดกลัวที่ไม่เคยจางหาย
วันเกิดเหตุตำรวจมาสอบปากคำแต่หลังจากนั้นก็ไม่เคยมาสอบถามหรือความคืบหน้าแต่อย่างใด สำหรับแม่ยายของของนายมาโซ ยังคงมีอาการกลัว ตกใจเวลาได้ยินเสียงดัง หรือเสียงแปลกๆ มีอาการนอนไม่หลับ วิตกกังวลซึ่งก่อนหน้านี้ที่บ้านก็ไม่เคยมีคนมาคอยวนเวียน และไม่มีคนมาติดตาม ทหารก็ไม่เคยมาที่บ้าน (บ้านภรรยา)
แต่ก่อนเกิดเหตุการณ์หนึ่งอาทิตย์ นายมาโซ ได้ไปอบรมเรื่องเกี่ยวกับกฎหมายเป็นเวลา 3 วัน ที่มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์วิทยาเขตปัตตานี
น้องสาวของมาโซบอกว่า อยากให้ตำรวจ และทหารให้ความกระจ่างเรื่องคดีของพ่อและแม่ ทำไมการดำเนินคดีถึงล่าช้า คนบริสุทธิ์ในครอบครัวต้องตกเป็นเป้า อยากให้ภาครัฐเข้ามาเหลียวแลอย่างจริงใจ ทางตำรวจเคยบอกว่าจะติดต่อมาแต่ก็เงียบหายไปจนรับไม่ค่อยได้ กลัวไปหมด แม้กระทั่ง ผอ.โรงเรียนที่สอนอยู่ก็ยังมีความคิดว่าบ้านของเราเป็นโจร แต่ก็มีเหมือนกันที่ให้กำลังใจ
เวลาขับรถจักรยานยนต์ก็มีระแวงว่ามีใครตามมาหรือเปล่า พะวงกลัวไปหมด" ที่บ้านก็ไม่แข็งแรงเพียงพอแต่ก็ต้องอยู่ไปพร้อมกับความหวาดผวาว่าจะมีเหตุการณ์กราดยิงบ้านเหมือนที่ร้านน้ำชาที่ทำให้มีคนเสียชีวิตจำนวนมาก ความหวาดผวาเหล่านี้ไม่ได้ลดลงเพราะมีการเสียชีวิตอยู่ตลอด ตั้งแต่พ่อ แม่ และพี่ชาย ตอนนี้เป็นห่วงน้องชายมาก เพราะเป็นผู้ชายแล้วอยู่บ้านกับยาย บางครั้งก็ต้องอยู่คนเดียว รู้สึกเหมือนว่าจะต้องการเก็บต่อๆไป เหมือนเป็นการเก็บเรียงคิว จนกว่าจะหมด
ครอบครัวต้องการความเป็นธรรมไม่ใช่เงินเยียวยาเท่านั้น
น้องสาวของมาโซให้ความเห็นอย่างน้อยใจว่า “การเยียวยาครอบครัวระหว่างมุสลิมกับไทยพุทธไม่เหมือนกัน เห็นถึงความแตกต่างในเรื่องระยะเวลาและเลือกปฏิบัติ(เทียบกับคดีไทยพุทธถูกยิง) อยากให้รัฐมีความยุติธรรม เพราะตนไม่ได้รับความเป็นธรรม ต้องการเปิดเผยมากว่ารัฐทำงานแย่มาก เกณฑ์การรับรองอยู่ตรงไหน ต้องทำอะไรยังไง ในเมื่อดำเนินการมาหมดแล้ว ก็ยังไม่ได้รับการรับรอง 3 ฝ่าย”
ความต้องการจริงๆของครอบครัวไม่ต้องการแก้แค้น ไม่ได้ต้องการเงินหรืออะไร แต่ต้องการเรียกร้องความยุติธรรมไห้กับครอบครัวให้รัฐมีความรับผิดชอบต่อหน้าที่ที่มีต่อประชาชน การที่คนบริสุทธิ์ต้องตกเป็นเป้าสายตาของคนอื่น
“เราอยากให้เจ้าหน้าที่แสดงความชัดเจนว่าจะยังไง เป็นเรื่องส่วนตัวหรือความมั่นคง ทางเราจะได้แน่ใจไปเลยว่าควรจะดำเนินการอย่างไรต่อไปและทางครอบครัวไม่มีปัญหาทะเลาะวิวาทหรือขัดแย้งกลับใครยกเว้นเรื่องของพี่ชายที่ถูกดำเนินคดี” น้องสาวมาโซ ย้ำ
และเธอยังเผยความรู้สึกอีกว่า “เราไม่ได้ต้องการเงินแต่เรารอพิสูจน์ว่ารัฐมีความตั้งใจในการดูแลประชาชนอย่างเราหรือเปล่า มันไม่ควรจะเกิดเหตุการณ์ซ้ำแล้วซ้ำเล่าในครอบครัวเรา เรากลายเป็นเหยื่อจากการเหตุการณ์ความไม่สงบที่ไม่รู้ว่าใครเป็นผู้กระทำแล้วยังไม่ได้รับการใส่ใจจากรัฐอีก”
ท้ายนี้ข้าพเจ้าเห็นว่า ความจริงแล้วตามกฎการช่วยเหลือเยียวยาเบื้องต้นจะต้องจ่ายร้อยละ 25 ของเงินเยียวยา หากไม่ใช่คดีความมั่นคงก็สามารถหยุดการช่วยเหลือได้ ส่วนผู้ต้องหาคดีความมั่นคงนั้นเมื่อเขาผ่านกระบวนการยุติธรรมแล้ว ก็ควรได้รับสิทธิอย่างที่ประชาชนคนไทยควรได้รับคือความมั่นคงปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน ทั้งนี้การเยียวยามิใช่เป็นเพียงการให้ความช่วยเหลือทางเศรษฐกิจเพียงอย่างเดียว แต่ยังแฝงซึ่งความเป็นธรรม และ การไม่แบ่งแยกทางเชื้อชาติ ศาสนา ด้วยเช่นกัน