ซาฮารี เจ๊ะหลง
ผู้ปฏิบัติงาน สำนักสื่อ Wartani
การขับเคลื่อนกิจกรรมของกลุ่มภาคประชาสังคมรุ่นใหม่และกลุ่มนักศึกษาหัวก้าวหน้าในปาตานี ได้มีประเด็นหนึ่งที่สั่นสะเทือนความมั่นคงภายในราชอาณาจักรไทยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เป็นประเด็นที่แหลมคมเป็นอย่างยิ่งเมื่อเปรียบเทียบกับทั้งคุณวุฒิและวัยวุฒิของกลุ่มคนที่เคลื่อนไหวเหล่านี้ นั่นคือ การเรียกร้อง ”การประชามติ” (Referendum)
ภาพประกอบจาก สำนักสื่อ Wartani ถ่ายเมื่อวันที่ 9 ธันวาคม 2555 ในงานเวทีเสวนา “สงครามและสันติภาพ ประชาชนปาตานีจะกำหนดชะตากรรมตนเองได้หรือไม่ ? อย่างไร ?” ณ หอประชุม สำนักงานอธิการบดี มหาวิทยาลัยสงขลานคริทร์ วิทยาเขตปัตตานี
สำหรับกลุ่มคนที่ต้องการขับเคลื่อนงานทางการเมืองอย่างสันติวิธีแล้ว “การประชามติ” นับเป็นวิธีการหนึ่งในทางเลือกอันหลากหลายของวิธีแก้ปัญหาในพื้นที่ความขัดแย้ง หลายๆ ภาคส่วนยังคงอ้ำอึ้งๆ เมื่อมาพูดถึงการประชามติ
เพราะยังไม่มีความชัดเจนจากเจตจำนงทางการเมืองจากรัฐว่าจะเอาอย่างไรในเรื่องละเอียดอ่อนเช่นนี้ ในขณะเดียวกันเสียงเรียกร้องการประชามติที่ได้ยินอยู่มุมหนึ่งของพื้นที่ความขัดแย้งแห่งนี้ ไม่ได้เป็นสิ่งที่เพ้อฝันเสียทีเดียว เมื่อหลักการของประชาคมโลกมีการรับรองและยอมรับในระดับหนึ่งว่า เป็นวิธีการที่ใช้แก้ปัญหาความขัดแย้งในเรื่องดินแดนและชาติพันธุ์ ตลอดจนแก้ปัญหาการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างรุนแรงได้ หลักการที่ว่านี้ คือ หลักการกำหนดชะตากรรมตนเอง (The Principle of Rights to Self-Determination)
![](https://deepsouthwatch.org/sites/default/files/u5144/rights_to_self-determination_of_patani_people_permas_bangkok.jpg)
ภาพประกอบจากสหพันธ์นิสิตนักศึกษา นักเรียนและเยาวชนปาตานี ประจำกรุงเทพมหานคร (PERMAS-BANGKOK) และสหพันธ์นิสิตนักศึกษาแห่งประเทศไทย (สนนท.) ถ่ายเมื่อวันที่ 21 ตุลาคม 2555 ในงาน “รำลึก 8 ปี เดือนตุลา...ฉันเห็นวีรชนที่ตากใบ” หน้าสำนักงานองค์การสหประชาชาติ (UN) ประจำประเทศไทย
หลักการกำหนดชะตากรรมตนเอง (The Principle of Rights to Self-Determination) มีแนวคิดเบื้องต้นว่าประชาชนต้องมีอิสระในการตัดสินใจเลือกทิศทางการเมืองของตนเอง ซึ่งเริ่มต้นขึ้นในศตวรรษที่ 18 จากกระแสชาตินิยมของชนกลุ่มน้อยหลายกลุ่มที่กระจายอยู่ในจักรวรรดิและราชอาณาจักรต่างๆ ในยุโรป ได้พัฒนาการเรื่องจิตสำนึกของความเป็นชาติที่จำเป็นต้องพูดถึงสิทธิทางการเมือง (Political Rights) เหนือดินแดนที่พวกเขาเรียกว่า บ้านเกิดเมืองนอน ของตนเองด้วย
สิทธิทางการเมืองนี้ถูกพัฒนามาตั้งแต่สมัยการปฏิวัติฝรั่งเศส ที่มีการพูดถึงสิทธิในการกำหนดชะตาชีวิตตนเองของปัจเจกบุคคล (Individual Self-Determination) ปัจเจกแต่ละคนมีสิทธิแบบประชาธิปไตย (Democratic Rights) ที่จะเลือกได้ว่าอยากจะมีชีวิตอย่างไรในทางการเมือง
มีสิทธิในการเลือกผู้นำและการกำหนดรูปแบบและขอบเขตอำนาจของรัฐบาลและยกระดับพัฒนาการแปรสภาพจากการเป็นชุมชนทางวัฒนธรรมมาสู่ขบวนการเคลื่อนไหวทางการเมือง เพื่อเรียกร้อง ”สิทธิในการกำหนดชะตากรรมตนเอง” (Rights to Self-Determination)
ตลอดรวมถึงความต้องการที่จะมี รัฐเอกราช สำหรับชุมชนทางการเมืองของตน เช่น ลักษณะข้อเรียกร้องของบรรดาขบวนการผู้ต่อสู้เพื่อเอกราชของชาติ และของบรรดารัฐประชาชาติแรกๆ ที่มุ่งไปที่กระบวนการปลดปล่อยอาณานิคม (The Process of Decolonization) ในศตวรรษที่ 20
เมื่อประเทศในยุโรปวิวัฒน์ไปสู่การปกครองในระบอบประชาธิปไตยและยึดหลักอำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชน (Popular Sovereignty) มากขึ้นพร้อมๆ กับการเกิดขึ้นของแนวคิดเรื่องชาติกับเรื่องการกำหนดชะตากรรมตนเองจึงถูกผนวกเข้าด้วยกัน กลายเป็นแนวคิดใหม่ว่าด้วยการกำหนดชะตากรรมของชาติ (National Self-Determination)
กล่าว คือ แต่ละชาติมีสิทธิทางการเมืองแบบประชาธิปไตยที่จะเลือกว่าพวกเขาปรารถนาจะใช้ชีวิตอย่างไร (สมมติฐานโดยนัย คือ ไม่มีชาติไหนเต็มใจที่จะเลือกอยู่ใต้อำนาจการปกครองของชาติอื่น) แต่ละชาติจึงต้องใช้สิทธิในการกำหนดชะตากรรมของตนเอง เพื่อสร้างรัฐที่เป็นอิสระและมีอำนาจอธิปไตยเป็นของตนเอง นี่เป็นแนวคิดและทฤษฎีในทางปฏิบัติที่อาจจะยังไม่ชัดเจน
สิทธิในการกำหนดชะตากรรมตนเอง นั้นเป็นแนวคิดที่มีมาก่อนการจัดตั้งองค์การสหประชาชาติ (United Nations - UN) แต่ปรากฏชัดเจนเป็นรูปธรรมเมื่อมีการนำสิทธิในการกำหนดชะตากรรมตนเองไปกล่าวไว้ในกฎบัตรสหประชาชาติ ทำให้สิทธิในการกำหนดชะตากรรมตนเองมีผลบังคับใช้แก่รัฐต่างๆ ที่เป็นสมาชิกขององค์การประสหประชาชาติ ไปด้วย หลังปี ค.ศ. 1945 เป็นต้นมา
![](https://deepsouthwatch.org/sites/default/files/u5144/united_nations_of_patani.jpg)
ขอบคุณภาพจาก WIKIPIDIA : http://en.wikipedia.org/wiki/United_Nations_Security_Council
สมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติต้องมีมติต่างๆ เกี่ยวกับสิทธิในการกำหนดชะตากรรมตนเอง เนื่องจากในตัวกฎบัตรไม่ได้ระบุถึงเนื้อหาสาระของสิทธิในการกำหนดชะตากรรมตนเองเอาไว้มากนัก และสหประชาชาติไม่ได้มองการกำหนดชะตากรรมของแต่ละชาติเป็นสิทธิทางกฎหมาย (Legal Rights) แต่เห็นเป็นเพียงหลักการทางการเมือง (Political Principle)
เนื้อหาสาระของสิทธิในการกำหนดชะตากรรมตนเองมีครั้งแรกในมติของสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติที่ 1514 (XV) ลงวันที่ 14 ธันวาคม ค.ศ.1960 เรื่อง “การให้เอกราชแก่ดินแดนอาณานิคม” (Declaration on the Granting of Independence to Colonial Countries and Peoples) โดยมีข้อความที่กำหนดไว้มาตรา 1.1 ของมติที่ 1514
กล่าวว่า “กลุ่มชนทั้งปวงมีสิทธิในการกำหนดชะตากรรมตนเอง โดยสิทธิดังกล่าวพวกเขามีเสรีภาพในการตัดสินใจในสถานะทางการเมือง การพัฒนา เศรษฐกิจ สังคมและวัฒนธรรมของตนเองได้อย่างเสรี” ผลของมติที่ 1514 นี้ ทำให้การดำเนินการปลดปล่อยอาณานิคมประสบความสำเร็จ บรรดาดินแดนที่อยู่ใต้อาณานิคม ต่างได้รับอิสรภาพและได้รับเอกราช จนทำให้หลักการนี้เป็นที่ยอมรับกันทั่วไป
นอกจากนี้สิทธิในการกำหนดชะตากรรมตนเองไม่ใช่แค่เพียงการให้เอกราชแก่ดินแดนอาณานิคมเท่านั้น สิทธิในการกำหนดชะตากรรมตนเอง ยังถูกใช้ในการแก้ปัญหาการละเมิดสิทธิมนุษยชน เพื่อกำจัดการเหยียดสีผิวด้วย เช่น ในแอฟริกา (Africa) การเรียกร้องสิทธิของชนพื้นเมืองดั้งเดิม ปัญหาพื้นที่ที่ถูกยึดครอง เช่น ปาเลสไตน์และติมอร์ตะวันออก
![](https://deepsouthwatch.org/sites/default/files/u5144/referendomtimor_leste.jpg)
ขอบคุณภาพจาก Info de Timor Leste : http://zefonsilves.blogspot.com/2010_10_01_archive.html และ http://etan.org/news/2006/11terr.htm
หากการขับเคลื่อนและนักกิจกรรมของกลุ่มภาคประชาสังคมรุ่นใหม่และกลุ่มนักศึกษาหัวก้าวหน้าในปาตานี มีประเด็นเรียกร้องการประชามติ สิ่งที่จะต้องขับเคลื่อนคู่ขนาน ไปกับการเรียกร้องในเรื่องนี้ คือ แนวคิดในเรื่องของการกำหนดชะตากรรมตนเอง
เพราะเป็นเรื่องสำคัญที่ไม่เรียนรู้ ไม่ได้ แนวคิดนี้นอกจากเป็นเรื่องใหม่สำหรับคนในพื้นที่ปาตานีแล้ว ยังเป็นเรื่องใหม่สำหรับการรับรู้ของสังคมไทยและหน่วยงานความมั่นคงไทยด้วย
ฉะนั้น ถ้ารัฐมีความจริงใจในการแก้ปัญหา จะต้องเปิดพื้นที่ทางการเมืองให้กับกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่ยึดมั่นในหลักการดังกล่าวด้วยการขับเคลื่อนกิจกรรมในรูปแบบสันติธรรม สันติวิธี
อาทิเช่น กิจกรรมเชิงสัญลักษณ์ อย่างแคมเปญ “Satu Patani คือ รวมปาตานีเป็นหนึ่ง” หรือแคมเปญ“We Are Patani 0.2 คือ ฉันคือคนปาตานี เวอร์ชั่น 2” หรือแคมเปญ“I Love PATANI แปลว่า ฉันรักปาตานี”
![](https://deepsouthwatch.org/sites/default/files/u5144/campaign_for_patani.jpg)
ของคุณภาพจากเฟสบุ๊ค เครือข่ายบัณฑิตอาสาจังหวัดชายแดนภาคใต้ (INSouth)
หรือ กิจกรรมสัมพันธ์เครือข่าย อาทิเช่น งานอบรม, งานเพิ่มศักยภาพ, งานสัมมนา, งานสานเสวนา และกิจกรรมภาคเวทีประชาชน เช่น เวที “Bicara Patani คือ การพูดคุยในเรื่องของคนปาตานี” เพื่อสร้างบรรยากาศการสร้างสันติภาพและการยอมรับความคิดเห็นต่างทางการเมือง โดยไม่ใช้ความรุนแรงด้วยอาวุธ
![](https://deepsouthwatch.org/sites/default/files/u5144/bicara_patani_ke_2_di_psu.ptn_.jpg)
ภาพประกอบจาก สำนักสื่อ Wartani ถ่ายเมื่อวันที่ 23 มีนาคม 2556 ในงานเวที Bicara Patani หรือ เสวนาปาตานี ครั้งที่ 2 ในหัวข้อ “28 กุมภา : สัญญษบวก หรือ ลบ ต่อกระบวนการสันติภาพปาตานี” ณ หอประชุม สำนักอธิการบดี มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี
font-weight:normal">
ไม่ว่าจะมีแนวคิดอะไรในพื้นที่ความขัดแย้งแห่งนี้ ต่างก็ล้วนจะนำมาซึ่งการแก้ปัญหาที่สั่งสมมาตั้งแต่ ปี พ.ศ.2329 แต่ถ้าจะนับแค่ปัญหาการก่อความไม่สงบ (ตามที่รัฐไทยเรียก) ที่เริ่มตั้งแต่ 4 มกราคม พ.ศ. 2547 ก็ไม่สมควรที่จะต้องมีการเรียกร้องประชามติและเพียงแค่เวทีเจรจาก็จบเรื่องความขัดแย้งที่ปาตานีได้แล้ว
ข้อมูลอ้างอิง:
- ศ.ดร. สุรชาติ บำรุงสุข, จุลสารความมั่นคงศึกษา. (มีนาคม 2556 ฉบับที่ 122)
- ณัฐกฤษตา เมฆา, ปัญหาและลู่ทางว่าด้วยสิทธิในการกำหนดใจตนเองของชน พื้นเมืองดั้งเดิม. กรุงเทพมหานคร : วิทยานิพนธ์นิติศาสตร์มหาบัณฑิต สาขาวิชานิติศาสตร์ คณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, 2551
- Dr.Rajat Ganguly, Autonomy and Ethnic Conflict in South and South-East Asia- London : Routledge (การปกครองตนเองและความขัดแย้งทางชาติพันธุ์ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้) , 2012