Skip to main content
กองบรรณาธิการ สำนักสื่อ Wartani
 
เมื่อวันอังคารที่ 24 ธันวาคม 2556 เวลาประมาณบ่ายโมงครึ่ง (13.30 น.) โดยประมาณ ผู้เขียนเดินทางมาถึงหมู่บ้านบันนังกูแว หมู่ที่ 4 ตำบลบันนังสตา อำเภอบันนังสตา จังหวัดยะลา หลังเกิดเหตุประมาณสิบแปดชั่วโมง เรานั่งรถเข้าไปในหมู่บ้านเพียงลำพัง ตลอดระยะทางมีชาวบ้านจับกลุ่มพูดคุยกันเป็นย่อมๆด้วยสีหน้าที่สลดโศกเศร้ากับเหตุการณ์เดิมๆซ้ำๆย้อนรอยกลับมาอีกครั้ง
 
เป้าหมายเราคือครอบครัวเหยื่อที่ถูกกระสุนปลิดชีพไปเมื่อวันจันทร์ที่ 23 ธันวาคม 2556 เวลาประมาณหนึ่งทุ่มครึ่งโดยประมาณตามข่าวที่รายงานผ่านสื่อออนไลน์เมื่อค่ำคืนนั้น  
 
ใช้เวลาไม่มากนักสักพักก็ถึงจุดเกิดเหตุหน้ามัสยิดบันนังกูแว เราเดินเข้าไปตรวจสอบที่เกิดเหตุเห็นร่องรอยลูกกระสุนเป็นวงกลมอยู่หลายแห่งบนตัวอาคารมัสยิด และเดินต่อไปหยุดที่พบศพของนายซาการียาที่มีกองทรายมาถมทับกองเลือด ชาวบ้านคนหนึ่งบอกเราว่าตรงผงหญ้าฝั่งตรงข้ามมัสยิดเป็นจุดที่คนร้ายเดินออกมา 
 
 
ขอบคุณภาพจาก มูลนิธิฮิลาลอะห์มัร อ.บันนังสตา
 
เราขับต่อไปจนถึงบ้านของนายซาการียา เฮงดาดา สมาชิกองค์การบริหารส่วนตำบลบังนังสตา อดีตผู้ใหญ่บ้านบันนังกูแว หมู่ที่ 4 ซึ่งคือหนึ่งในเหยื่อที่ถูกปลิดชีพเมื่อค่ำคืนนั้น
 
หน้าบ้านของเขาเต็มไปด้วยเพื่อนญาติมิตรสหายที่ทยอยเดินทางมาเยี่ยมให้กำลังใจภรรยาและลูกๆของเขาอย่างไม่ขาดสาย แต่เรากลับรู้สึกว่ามีสายตาหลายดวงแอบมองพวกเราอย่างน่าสงสัย ทั้งที่มีคนเข้าออกอย่างพลุกพล่าน จนมีชายหนุ่มคนหนึ่งเข้ามาทักเราด้วยรอยยิ้มที่เป็นมิตรเพื่อกลบความรู้สึกอันโศกเศร้า แต่เราก็แอบเห็นน้ำตาที่คลออยู่ในดวงตาของเขาที่เต็มไปด้วยความอัดอั้น เหมือนมีอะไรบางอย่างอยากจะบอกให้พวกเราได้รับรู้
 
หลังจากที่เราทักทายกันตรงแคร่ไม้เก่าๆหน้าบ้านเรียบร้อยเขาก็เริ่มระบายความในใจที่อัดอั้นมาหลายชั่วโมงให้เราได้รับทราบ เขาบอกเราว่า “เขาคือผู้หนึ่งที่อยู่ในเหตุการณ์แต่กลับไม่สามารถช่วยอะไรได้เลย นี่คือสิ่งที่เขารู้สึกเจ็บปวดกับเหตุการณ์สังหารชาวบ้าน ซึ่งมีให้เห็นอยู่บ่อยครั้งในหมู่บ้านแห่งนี้มาตลอดระยะเวลา 10 ปีที่ผ่านมา”
 
เขาเล่าถึงเหตุการณ์ในค่ำคืนนั้นว่า “หลังละหมาดอีชาเสร็จทุกคนทยอยออกจากมัสยิดเพื่อเดินทางกลับบ้าน รวมทั้งเขาเองก็เดินออกมาปิดประตูมัสยิดด้านข้างของมัสยิด เขากล่าวขอบคุณพระเจ้า (อัลฮัมดุลิลลาฮฺ) ที่ยังมอบลมหายใจให้เขาเพิ่มอีกเพื่อไว้เล่าถึงความจริงที่เขาเห็นกับตาให้กับคนอื่นๆได้รับรู้
 
ตอนนั้นเขายืนคุยอยู่กับเพื่อนอีกคนหนึ่งตรงบันได้ด้านข้างทางขวามือของมัสยิด กระสุนนัดแรกดังขึ้น เขาและเพื่อนก็คิดว่าเป็นเสียงปะทัด และไม่คิดว่าเสียงที่ได้ยินอยู่ขณะนั้นจะเป็นเสียงปืนจากฝั่งตรงข้ามมัสยิดที่ยิงมาตรงเก้าอี้ม้าหินอ่อน ซึ่งเป็นที่ที่ชาวบ้านจะนั่งคุยกันทุกครั้งหลังจากเสร็จสิ้นการละหมาด และเป็นจุดเดียวกันที่นายซาการียา ผู้เสียชีวิตนั่งอยู่ด้วย
 
แต่ในขณะนั้นทุกคนที่อยู่บริเวณรอบมัสยิดก็หันไปมองตามเสียงกระสุนนัดแรกนิ่งอยู่สักพัก ก่อนที่จะวิ่งกระจัดกระจายคนละทิศคนละทางหลังจากได้ยินเสียงปืนดังลั่นนัดที่สอง ซึ่งยิงถูกที่พิงหลังเก้าอี้ม้าหินอ่อนหน้ามัสยิดดังที่ผู้เขียนกล่าวมาข้างต้น เวลาต่อมาเจอชิ้นกระดูกติดอยู่ด้วย ซึ่งเขาคิดว่าน่าจะเป็นชิ้นกระดูกของนายซาการียาที่อาจถูกลูกกระสุนเฉี่ยวที่ขาก่อนที่จะลุกขึ้นวิ่งในเวลาต่อมา  
 
 
ขอบคุณภาพจาก มูลนิธิฮิลาลอะห์มัร อ.บันนังสตา
 
เขาและเพื่อนที่ยืนคุยอยู่ตรงบันไดข้างมัสยิดก็หมอบลงกับพื้นดินและคลานไปอย่างไม่คิดชีวิต กระสุนปืนนัดถัดไปเฉี่ยวมาทางหัวของเขาสองคน ไฟสปอร์ตไลท์ที่ส่องสว่างหน้ามัสยิดและถนนทางเข้าหมู่บ้านอยู่ทุกคืนก็ถูกปิดมืดไป ช่วงเวลานั้นเห็นแต่ไฟของลูกกระสุนที่สาดมาอย่างรวดเร็ว ประมาณสิบห้านาทีโดยประมาณ
 
เพื่อนของเขาอีกคนเล่าเสริมต่อว่า “ตอนนั้นเขาเห็นนายมาหามุ ฮะตะมะ (ผู้บาดเจ็บสาหัส) วิ่งตรงมาทางที่เขาสองคนยืนคุยอยู่ก่อนหน้านั้นและนายซาการียา (ผู้เสียชีวิต) วิ่งตามหลังมา รวมทั้งผู้ร้ายแต่งกายชุดดำปิดหน้าปิดตามิดชิด วิ่งตามยิงผู้เสียชีวิตและผู้บาดเจ็บ ส่งผลให้นายซาการียา ล้มลงกับพื้นดินโดยถูกยิงที่ขา อกข้างขวา และศรีษะ จนเสียชีวิตในเวลาต่อมา สำหรับนายมะหามุ ส่วนใหญ่จะถูกยิงที่ขาอาการสาหัส” 
 
เราเดินเข้าไปในบ้านของเหยื่อที่เสียชีวิตเพื่อขอพบและพูดคุยกับภรรยารวมทั้งลูกของนายซาการียา แต่ช่วงเวลานั้นในบ้านของเขาเต็มไปด้วยผู้มาเยี่ยมเยือน ทำให้เราต้องนั่งรอด้วยอารมณ์ที่หดหู่ไปตามกันและรู้สึกกดดันกับสายตาที่ยังมองมาทางพวกเราอยู่ตลอดเวลา
 
สักพักภรรยาและลูกชายของเขาเดินออกมาด้วยสีหน้าอันโศกเศร้า ขอบตาทั้งสองดวงแฉะไปด้วยน้ำตาของผู้ที่สูญเสียสามีอันเป็นที่รักและเสาหลักในครอบครัว คำแรกที่เขาพูดกับเราคือ “สามีเขาไม่เคยมีปัญหากับใคร วอนอย่าไปเชื่อมโยงกับปัญหาการเมืองท้องถิ่น เพียงเพราะสามีของตนมีตำแหน่งทางสังคม”
 
พร้อมพูดต่อว่า “ที่ผ่านมาสามีของเขาช่วยเหลือคนในหมู่บ้านตลอด เขาเป็นคนที่มีมนุษย์สัมพันธ์ที่ดีกับทุกคนในหมู่บ้าน ทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นสมบัติส่วนตัวของเขาใครขอใช้ เขาไม่เคยปฏิเสธใคร ของๆเขาก็เหมือนกับของๆทุกคน พูดง่ายๆคือเหมือนเป็นของส่วนรวม”
 
เขาเงียบอยู่สักพัก และเล่าให้เราฟังต่อว่า “คืนเกิดเหตุเขาสอนหนังสือกีรออาตีอยู่หลังมัสยิด เขาจะสอนอยู่ทุกคืน เด็กชายฮามาน แม ที่ถูกยิงบาดเจ็บก็คือลูกศิษย์ของเขาคนหนึ่ง ทุกคืนสามีของเขาจะนั่งรอกลับพร้อมกันอยู่หน้ามัสยิดที่อยู่ด้านหน้าของโรงเรียน สามีของเขาจะเป็นคนปิดไฟทุกดวง ซึ่งต่อมากลายเป็นหน้าที่ของสามีเขาที่ต้องปฏิบัติอยู่ทุกคืน
 
คืนเกิดเหตุหลังจากได้ยินเสียงปืน เขาวิ่งออกจากห้องสอนหนังสือปรากฏว่าเห็นสามีเขาวิ่งและล้มลงในเวลาต่อมา เขาเห็นคนยิงที่วิ่งตามหลังสามีเขาและเดินมาเพื่อที่จะยิงซ้ำเติม แต่ผู้ร้ายกลับไม่ยิงซ้ำเมื่อเห็นเขาวิ่งมาออกจากห้องเรียนอย่างไม่เกรงกลัวพร้อมตะโกนให้ “หยุดยิง คนเขาตายแล้ว!!!” เขาเป็นคนพลิกสามีและเอาหัวสามีมาวางบนตักก่อนที่สามีเขาจะสิ้นลมหายใจ
 
 
ขอบคุณภาพจาก มูลนิธิฮิลาลอะห์มัร อ.บันนังสตา
 
หลังจากนี้เขาต้องเข้มแข็ง เพราะต้องเลี้ยงดูลูกต่อจากสามี เขาจะต้องส่งเสียให้ลูกเรียนจบ ยังไงลูกของเขาต้องเรียนให้จบ เขาพูดไปยิ้มไป เขาบอกว่าเขากับนายซาการียามีลูกด้วยกันหลายคน แต่ส่วนใหญ่ก็จบทำงานกันแล้ว แต่ที่ยังเรียนไม่จบก็ต้องส่งเสียกันต่อไปจนกว่าจะมีการมีงานสามารถเลี้ยงดูตัวเองได้
 
เราพูดคุยยังไม่ทันจบก็มีคนมาเรียกเขาไป โดยเรามีคำถามอีกมากมายที่ต้องการทราบจากเขา แต่เราก็ต้องเดินออกจากบ้านเขาไป เนื่องด้วยความที่มีคนเดินทางมาเยี่ยมเขาอย่างไม่ขาดสาย ส่งผลให้เวลาในการพูดคุยระหว่างเรากับภรรยาของนายซาการียาจบลงอย่างรวดเร็ว
 
แต่เราก็ไม่หยุดที่จะเดินหาข้อมูลเพื่อปะติดปะต่อเรื่องราวที่เกิดขึ้นต่อไป นายเซะ ผดุง อายุ 70 ปี หนึ่งในสามคนที่ถูกกระสุนปืนสาดเข้าใส่ แต่เขาได้รับบาดเจ็บเพียงเล็กน้อย เขามองหน้าพวกเราพร้อมยิ้มทักทาย แต่ลึกๆแล้วสีหน้าของเขาบ่งบอกถึงความกลัวและตกใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น “ไม่นึกว่าครั้งนี้จะเป็นเขาเอง” เขาบ่นเปรยๆให้เราฟังด้วยน้ำเสียงที่อยู่ในลำคอ เหมือนกับจะบอกเราว่าชะตากรรมของคนที่นี่ไม่มีใครทราบว่าพรุ่งนี้จะเกิดขึ้นกับใครเป็นรายต่อไป นี่อาจจะเป็นความรู้สึกหนึ่งที่คนนอกพื้นที่ไม่มีวันเข้าใจโดยเด็ดขาด
 
เขาเล่าว่า ณ วินาทีตอนเกิดเหตุ เขาและคนอื่นๆที่กำลังจะเดินออกมาจากมัสยิดและก้าวลงบันไดไม่ทันสุด ก็ได้ยินเสียงกระสุนดังลั่น ทุกคนที่อยู่ตรงนั้นก็รีบหมอบลงกับพื้นและคลานเข้าไปในมัสยิด จังหวะที่เขายกมือข้างซ้ายจะคลานเข้าไป กระสุนปืนก็เฉี่ยวมาระหว่างหัวกับมือที่เขายกขึ้น รู้ทีหลังว่ากระสุนเฉี่ยวถูกมือซ้ายตนหลังเห็นเลือดหยดลงมา แต่เขาก็พยายามคลานเข้าไปเพื่อหลบให้ห่างจากแรงกระสุนที่ถูกสาดกระเส็นมากว่าสามสิบนัด
 
“วันนี้รู้สึกหายปวดแล้ว เมื่อคืนทำเอานอนไม่ได้เลย รู้สึกปวดและร้อนมาก” เป็นคำพูดสุดท้ายที่เขาพูดกับเราก่อนที่จะนั่งนิ่งเงียบด้วยสีหน้าที่โศกเศร้ากับเหตุการณ์การสูญเสียเพื่อนบ้านในครั้งนี้
 
 
ขอบคุณภาพจาก มูลนิธิฮิลาลอะห์มัร อ.บันนังสตา
 
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในหมู่บ้านบันนังกูแวแห่งนี้ ไม่ใช่เพิ่งเกิดครั้งนี้ครั้งเดียว การสูญเสียของชาวบ้านในทำนองนี้เกิดขึ้นบ่อยนานหลายปี มีอยู่ให้เห็นอยู่ตลอดเวลา ทั้งอีหม่ามมัสยิด ครูสอนตาดีกา เด็ก เยาวชน และชาวบ้านทั่วไปก็ถูกสังหารมาแล้วหลายชีวิต
 
และไม่ใช่เพียงเหตุการณ์แรกที่เราได้ไปสัมผัสถึงความรู้สึกของผู้สูญเสีย แต่เราก็ยังรู้สึกหดหู่ทุกครั้งที่ได้ยินเรื่องราวทำนองนี้ และมีอีกหลายเหตุการณ์ที่เราเข้าไปไม่ถึง ซึ่งแน่นอนเสียงเหล่านี้สังคมทั้งประเทศคงไม่มีทางได้รับรู้ไปได้ นอกเสียจากสื่อต่างๆจากเปิดเผยออกไปอย่างตรงไปตรงมา