การเลือกตั้งที่อาศัยจำนวน "เสียง" เป็นตัวกำหนดการ "แพ้" หรือ "ชนะ" ของพรรคการเมือง ย่อมทำให้แต่ละพรรคการเมืองคิดสร้าง "นโยบาย" ต่างๆ ออกมาเพื่อหาเสียงสนับสนุนจากประชาชน
หาก "นโยบาย" ของพรรคใดที่ "โดนใจ" เสียงส่วนใหญ่ของประชาชน แน่นอนว่า จะได้รับเสียงสนับสนุนจากเจ้าของเสียง
ลักษณะเช่นนี้ทำให้ทุกพรรคการเมือง "ต้องสนใจและใส่ใจ" ความต้องการของประชาชน และตอบสนองความต้องการนั้นของประชาชน
และเมื่อได้เป็น "รัฐบาล" แล้วสามารถผลักดันนโยบายให้เกิดเป็นจริง และประชาชนได้รับผลจากนโยบายนั้นอย่างทั่วหน้าก็จะยิ่งได้รับเสียงสนับสนุนจากเจ้าของเสียงเพิ่มขึ้น
รวมถึงนโยบาย หรือการตอบสนองอื่นๆของรัฐบาลที่ให้ความสนใจ ในปัญหาต่างๆ ที่มีลักษณะ "เฉพาะ" ของแต่ละพื้นที่ด้วยแล้ว ก็จะยิ่งได้รับเสียงสนับสนุนจากเจ้าของเสียงในพื้นที่ หรือจากผู้ที่ประสบปัญหานั้นๆ และยิ่งปัญหานั้นๆ ไม่เคยได้รับ "ความสนใจและการเหลียวแล" จากพรรคการเมืองใดๆมาก่อนหน้านี้หละก็ ยิ่งจะได้รับความนิยม
ลักษณะที่กล่าวมานี้ "คือความเปลี่ยนแปลง" ที่เกิดขึ้นของการเมืองในประเทศนี้
พรรคการเมืองจึงต้อง "ปรับตัว" กันขนานใหญ่ หากไม่ ก็จะค่อยๆได้รับ "ความนิยมและการสนับสนุน" ลดลงเรื่อยๆ
การเมืองที่มี "พรรคที่ได้เป็นรัฐบาล" ที่มีศักยภาพและคุณภาพ" แน่นอนเป็นยอดปรารถนาของเจ้าของเสียง แต่อย่างไรก็ตาม พรรคที่เป็น "ฝ่ายค้าน" ก็ควรเป็นพรรคที่ต้องมี "ศักยภาพและคุณภาพ" ที่ทัดเทียมกันด้วย หาไม่แล้ว การ "แข่งขัน" นั้นจะไม่ใช่การ "แข่งขัน" อึกต่อไป
การเลือก "คนเก่งและมีศักยภาพ" เพื่อเป็นฝ่าย "ค้าน จึงควรเป็น "สิ่งที่เจ้าของเสียง" ควรพิจารณา
แต่เนื่องจาก "ทุกพรรค" ที่ส่ง สส. ลงสมัครเลือกตั้ง ต่างหวังที่จะเป็น "รัฐบาล" จึงทำให้ การเลือก สส. วางอยู่บนเป้าหมายนี้ จึงทำให้ "คนเก่งและมีศักยภาพ" ถูกมองข้าม ทั้งจาก "พรรคการเมือง" และรวมถึง เจ้าของเสียงเองด้วย
ไม่มีใครปฏิเสธหากได้ นายกรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรีที่มีความรู้ ความสามารถ มีประสบการณ์ มีความเชี่ยวชาญ และเป็นที่ยอมรับ
แต่หากสามารถเลือก ผู้นำฝ่ายค้าน และ สส.ที่เป็น "เสียงส่วนน้อย" ในสภาที่มีความรู้ ความสามารถ มีประสบการณ์ มีความเชี่ยวชาญ และเป็นที่ยอมรับ ก็จะเป็นตัวแทนของเจ้าของเสียง ในการ "ตรวจสอบ" การทำงานของรัฐบาล
แต่ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นก็คือ สส. หรือพรรคที่เป็นฝ่ายค้าน มักจะไม่ได้รับการสนับสนุนที่เหมาะสมเพื่อให้มีขีดความสามารถในการทำหน้าที่
หนึ่งในการ "ปฏิรูปการเมือง" หากจะมีขึ้นก็คือ การเปิดโอกาสให้ "คนเก่งและเชี่ยวชาญด้านต่างๆ" ได้เข้ามาเป็น "ฝ่ายค้าน" ที่มีขีดความสามารถในการ "ทำงาน" ที่มีมาตรฐานเป็นที่ยอมรับ
แต่ก็นั่นแหละ ผมอาจจะคิดผิดก็ได้