Skip to main content

 

ทุกเย็นวันจันทร์ อับดุลเลาะห์มักจะพบปะกับเพื่อนสมัยเรียนศาสนาด้วยกัน เพื่อพูดคุยถึงการจัดกิจกรรมค่ายจริยธรรมและการแสดงของเยาวชนในหมู่บ้าน เขาได้รับความเชื่อถือและไว้วางใจจากเพื่อนในหมู่บ้านเป็นอย่างมาก เขายอมทำทุกอย่างเพื่อยกศักยภาพของบ้านเกิดตัวเองให้สูงขึ้น ซึ่งคำเดียวที่เขาชอบเอ๋ยกับเพื่อนเสมอว่า "ฉันจะยกศักยภาพของหมู่บ้านให้ดีขึ้น เพื่อไม่ให้เยาวชนในหมู่บ้านโดนรังแกจากคนที่มีอำนาจเหนือกว่า"

เขามักเอาตัวเองมาผูกพันธุ์กับกิจกรรมเยาวชนในหมู่บ้าน จึงทำให้เขาไม่ค่อยมีเวลาหางานที่เป็นฐานมั่นคงได้

การใช้ชีวิตของเขาเป็นไปอย่างเรียบง่าย เช้าวันจันทร์ถึงพฤหัส เขาจะเป็นครูสอนตาดีกา โดยจะขี่รถจักรยานบนท้องถนนที่เต็มไปด้วยหลุมจากแรงระเบิดที่เกิดขึ้นได้ไม่นาน แต่เย็นวันที่ 12 สิงหาคม 2556 เขาได้ขี่รถจักรยานด้วยความสบายใจกลับจากการสอนตาดีกาเหมือนอย่างเคย

สักพักได้ยินเสียงดัง ปัง ปัง ปัง จากด้านหลังของตัวเขา

เสียงดังเหล่านั้นทำให้เขาตัดสินใจหันไปดูต้นเหตุของเสียง ซึ่งภาพที่ปรากฏข้างหน้าเป็นภาพผู้ชายขี่รถจักรยานยนต์สองคันใส่หมวกกันน็อคอัมพรางใบหน้า แล้วถัดจากตัวคนร้าย เป็นภาพผู้ชายที่ถูกยิงประดับด้วยเครื่องแต่งกายด้วยเสื้อ บลางอ หมวกกะปิเยาะ และผ้าโสร่ง เขาสังเกตใบหน้าด้วยความละเอียดว่าเป็นใคร และเมื่อเขามั่นใจว่าชายที่ถูกยิงเป็นเพื่อนที่สอนตาดีกาด้วยกัน เขาจึงตัดสินใจวิ่งเข้าไปหา โดยลืมสังเกตไปว่า รถคนร้ายยังไปได้ไม่ไกลจากที่เกิดเหตุ

อี้ดดดดดดดดดดดดด!

เสียงเบรกของรถจักรยานยนต์ทำให้เขาหันไปดูต้นเสียงมาจากที่ใด เป็นเสียงเบรคที่ห่างจากตัวเขาไม่ไกลมากนัก  แต่เสียงนั้นกลับกลายเป็นเสียงของความสูญเสียที่เขาต้องเจอ เป็นเสียงที่ผสมด้วยเขม่าปืนที่คนร้ายจ่อยิงเขาในวินาทีสุดท้ายที่เขาจะได้มองธรรมชาติเบื้องหน้า

 “อัสลามูอาลัยกุม กะฟา กะฟา เสียงตะโกนจากเพื่อนบ้านทำให้ เธอรีบเปิดประตูเพื่อเชิญผู้มาเยี่ยมเข้ามาข้างใน”

“ว่าไง ซูไฮลา” “กะฟา อับดุลเลาะห์ลูกกะฟา และครูตาดีกาที่ชื่อ มัง โดนยิงบริเวณโรงเรียนตาดีกา ตอนนี้เสียชีวิตอยู่ในที่เกิดเหตุ”

หัวใจแม่แถบสลายในวันแม่ที่ควรจะสุขสันต์ ทุกอย่างมืดมนไร้แสงไฟในความหวัง ผู้เป็นแม่ต้องเสียคนที่รักในครอบครัวไปอีกคน เธอต้องสังเวยชีวิตของสามีและลูกชายของเธอด้วยสถานการณ์ชายแดนใต้ เธอตัดสินใจวิ่งไปหาลูกชายที่เสียชีวิตในที่เกิดเหตุ เธอต้องเห็นลูกชายจมอยู่ท่ามกลางกองเลือดที่อยู่เบื้องหน้า เธอเข้าไปโอบกอดลูกที่ไร้วิญญาณที่จมอยู่ในกองเลือด เธอตะโกนขอความช่วยเหลือจากชาวบ้านที่อยู่ในบริเวณนั้นให้โทรหารถโรงพยาบาล

หมอกำลังปั้มหัวใจลูกของเธอบนรถพยาบาลที่มารับในที่เกิดเหตุ ซึ่งด้วยสติที่เธอมีอยู่ เธอรู้ดีว่าหมอพยายามช่วยชีวิตลูกชายเธอด้วยเทคนิคทางการแพทย์อย่างเต็มที่แล้ว แต่เธอก็ยังเชื่อว่าลูกของเธอจะต้องไม่เป็นอะไรไป มันคงจะไม่โหดร้ายมากไปกว่านี้แล้ว สองประโยคนี้ได้วนไปวนมาในหัวสมองของเธอตลอดเวลา

"เราเสียใจด้วยนะค่ะ เราพยายามเต็มที่แล้ว ลูกชายคุณได้เสียชีวิตแล้ว” สิ้นเสียงหมอที่เอ๋ยกล่าวทำให้ผู้เป็นแม่แทบจะขาดสติและยิ่งทวีคูณของความสูญเสียเมื่อดูร่างลูกชายที่ไร้วิญญาณบนเตียงนอนในรถพยาบาลที่รองรับผู้ป่วยและผู้เสียชีวิต เพื่อที่จะนำร่างดังกล่าวไปยังโรงพยาบาลต่อไป

เมื่อเวลาผ่านไปเกือบสามสิบนาทีในโรงพยาบาล ทำให้เธอนึกขึ้นได้ว่า เธอต้องไปรับลูกๆอีกสามคนในโรงเรียนตัวเมืองจังหวัด เธอละสายตาจากร่างลูกชายที่นิ่งสงบบนเตียง เธอขับรถอย่างไม่คิดชีวิต เธอคิดเพียงในใจว่า เธอจะต้องไปรับลูกของเธอให้เร็วที่สุดเพื่อที่จะพาลูกๆของเธอมาดูร่างผู้ชายที่นอนนิ่งบนเตียงนอนในโรงพยาบาล

"มา มา แบเป็นอะไร" เสียงถามจากลูกคนเล็ก

"แบโดนยิง"

"ทำไม ทำไม อาเยาะห์ก็โดน ยิง อาแบก็โดนยิงแล้วพวกเราจะโดนยิงกันหมดใหม มา เดะทนไม่ไหวแล้วนะ เดะต้องทำอะไรสักอย่างแล้วนะมา"

คำพูดนั้นทำให้ผู้เป็นแม่ต้องคิดหนัก แต่ได้เก็บความเงียบนั้นไว้ในภายในใจเท่านั้น

ทางโรงพยาบาลได้ส่งร่างลูกชายของเธอกลับบ้าน  พร้อมภาพบรรยากาศความเศร้าของญาติพี่น้องและชาวบ้านที่รอร่างอยู่หน้าบ้าน อีกทั้งโตะอีหม่ามในชุมชนที่รอปฎิบัติศาสนกิจของมุสลิมเมื่อมีคนเสียชีวิต

 บรรยากาศขณะนี้มีแต่ความเงียบสงัดไม่มีใครกล้าที่จะตั้งคำถามว่าเกิดอะไรขึ้น ทุกอย่างเป็นไปอย่างระเบียบ แบบแผนตามหลักศาสนา ตั้งแต่ อาบน้ำศพ จนถึงการนำศพไปยังกูโบร์ ทุกอย่างเป็นไปด้วยความเรียบร้อย เหลือเพียงความเสียใจของคนที่ยังมีชีวิตอยู่

กาลเวลาของความเสียใจได้ผ่านพ้นไปวันต่อวันจนสามารถที่จะสมานแผลของความเสียใจได้ แต่ยังคงมีแผลของความปวดร้าวและความเสียใจของความสูญเสียที่เกิดขึ้นกับครอบครัวตัวเอง เธอคิดตลอดเวลาว่า หรือเป็นเพราะ อาชีพครูตาดีกาที่ต้องคร่าชีวิตผู้อันเป็นที่รักทั้งสองคนไป เธอจะได้ตั้งคำถามนี้อยู่ตลอดเวลาแต่เธอก็พยายามหาเหตุผลให้ตัวเองฟังแล้วสบายใจ โดยการอธิบายกับคำถามที่เกิดขึ้นจากตัวเองว่า หากไม่สอนตาดีกา แล้วเด็กในชุมชนจะรู้เรื่องศาสนาได้อย่างไร "อัลฮัมดุลลิลลาฮ" ที่สามีและลูกของตนได้อุทิศตนตรงนี้

การทำงานของเธอเป็นไปอย่างปกติของผู้เป็นแม่ที่ต้องดูแลลูกและหน้าที่ของผู้หญิงที่ต้องทำงานเพื่อหาเลี้ยงในครอบครัว ถึงแม้บางครั้งอาจจะเป็นความหวังที่ขมขื่น ที่เธอหวังจะสัมผัสความสงบของถิ่นใต้อีกครั้ง

สิ่งหนึ่งที่เธอเชื่อตลอดว่าอาชีพตาดีกาที่เธอทำอยู่ สามารถทำให้เกิดประโยชน์ให้กับคนในหมู่บ้านได้ ถึงแม้บางครั้งคนรอบข้างจะเตือนให้เธอหยุดสอนตาดีกาก็ตาม และอีกหน้าที่หนึ่งที่เธอต้องทำ แม้จะเหนื่อยมากเพียงใด เธอก็จะต้องเปิดร้านขายของที่บ้าน เพื่อเป็นช่องทางหนึ่งที่จะสามารถหาเงินเลี้ยงดูลูกๆได้

ทุกอย่างผ่านไปด้วยความเร็วของวัฎจักรหมุนเวียนของการใช้ชีวิตของคน และสัตว์ ด้วยกาลเวลาที่ผ่านไปทำให้ลูกๆของเธอโตขึ้นทุกวัน โตขึ้นพอที่จะเลี้ยงดูตัวเองได้

กิจวัตรประจำวันของเธอจะเป็นอย่างนี้ตลอดไป ถึงแม้ตัวเธอเองจะรู้ดีว่า อาชีพหลักของเธอ ณ ตอนนี้จะตกเป็นเป้าของการก่อเหตุก็ตาม แต่เธอก็ยังยืนหยัดที่จะทำมันต่อไป จนกว่าชีวิตจะเหลือเพียงร่างที่ไร้วิญญาณก็ตาม