Skip to main content
สุชาติ เศรษฐมาลินี
สถาบันศาสนา วัฒนธรรมและสันติภาพ
มหาวิทยาลัยพายัพ เชียงใหม่
 
 
หมายเหตุกองบรรณาธิการ: เดิมบทความชิ้นนี้เคยนำเสนอต่อโครงการปริทรรศน์องค์ความรู้สันติวิธีจากสายธารภูมิปัญญาตะวันออก สถาบันสิทธิมนุษยชนและสันติศึกษา มหาวิทยาลัยมหิดล และต่อมาก็เผยแพร่ในบล็อก ‘Islam and Peacebuilding’ ของ ‘สุชาติ เศรษฐมาลินี’ โดยแบ่งออกเป็น 4 ตอน  [ตอน 1, ตอน 2, ตอน 3 และ ตอน 4]  กองบรรณาธิการเห็นว่าความรู้เกี่ยวกับการสร้างสันติภาพที่อยู่บนฐานคิดของศาสนาอิสลามเป็นสาระที่จำเป็นอย่างยิ่งในการรับมือกับความขัดแย้งในพื้นที่ซึ่งมีมุสลิมเป็นชนกลุ่มใหญ่และมีลักษณะที่ข้องเกี่ยวกับการเมืองของศาสนาและชาติพันธุ์ กระบวนการสันติภาพนั้นก็เหมือนกับกระบวนการทางการเมืองที่ต้องการคุณค่าสากลบางอย่างคอยค้ำจุนหนุนเสริมความชอบธรรม ด้วยเหตุนี้ การพิจารณาศักยภาพของคำสอนในศาสนาอิสลามเกี่ยวกับสันติภาพและสันติวิธีอาจจะชี้ให้เราพบเห็นร่องรอยของโอกาสในการผลักดันกระบวนการสันติภาพที่ทรงพลังก็เป็นได้ หลังจากที่คำอธิบายเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองในแง่มุมของอิสลามมักถูกผูกโยงให้แนบสนิทชิดใกล้กับการใช้ความรุนแรงเพียงเท่านั้น
 
 
 
โลกเราปัจจุบันกำลังดำเนินไปในทิศทางที่แปลกๆ ท่านจะเห็นโลกที่เต็มไปด้วยการทำลายล้างและใช้ความรุนแรง และความสามารถพิเศษของความรุนแรงก็คือ การสร้างความเกลียดกลัวระหว่างผู้คน ฉันคือผู้ที่มีความเชื่อในสันติวิธีและขอพูดว่าสันติภาพและความสงบสุขจะเกิดขึ้นไม่ได้ในหมู่มวลมนุษย์บนโลกนี้จนกว่าสันติวิธีจะได้รับการปฏิบัติ ทั้งนี้เพราะว่าสันติวิธีคือ ความรักและช่วยกระตุ้นความกล้าหาญให้กับผู้คน...
 
และไม่ใช่เรื่องน่าแปลกประหลาดใจสำหรับชาวมุสลิมหรือชาวปาทานอย่างฉันในการเชื่อมั่นต่อวิถีแห่งสันติวิธีซึ่งมันไม่ใช่สิ่งใหม่แต่อย่างใด หากเป็นการเดินตามรอยท่านศาสดามายาวนานกว่าพันสี่ร้อยปี และผู้คนที่ต้องการโค่นล้มผู้กดขี่ต่างดำเนินตามรอยนี้ เพียงแต่เราลืมมันไปจนกระทั่งท่านคานธีได้นำมาใช้อีก เราจึงคิดว่าท่านเป็นผู้เริ่มต้นแนวทางสันติวิธี
 
Abdul Ghaffar Khan อ้างใน Easwaran (2002)
 
กรอบคิดเกี่ยวกับการสร้างสันติภาพและสันติวิธีในอิสลาม[1]
 
            บทความนี้พยายามมุ่งทบทวนแนวคิดทฤษฎี ตลอดจนคำสอนเชิงคุณค่าของศาสนาอิสลาม เกี่ยวกับการสร้างสันติภาพและสันติวิธีในวิถีอิสลาม Mohammed Abu-Nimer[2] (2003; 2008) ได้สังเคราะห์งานเขียนเกี่ยวกับความรุนแรง สันติวิธีและการสร้างสันติภาพในทัศนะอิสลามไว้อย่างค่อนข้างสมบูรณ์ โดยทำการศึกษาจากนักวิชาการทั้งที่เป็นมุสลิมและไม่ใช่มุสลิม และได้สรุปเป็นกรอบคิดทฤษฎีเกี่ยวกับหลักการสร้างสันติภาพและสันติวิธีในมุมมองของศาสนาอิสลาม[3] ดังนั้น บทความนี้จึงแบ่งออกเป็นประเด็นต่างๆ ดังนี้
 
แนวทางการศึกษาสันติวิธี การสร้างสันติภาพ และการจัดการความขัดแย้งในวิถีอิสลาม
 
            ก่อนที่จะนำเสนอหลักการพื้นฐานของอิสลามที่เชื่อมโยงกับการจัดการความขัดแย้งและแนวทางสันติวิธี  จำเป็นที่เราจะต้องทำความเข้าใจลักษณะเฉพาะและนิยามความหมายของการสร้างสันติภาพและสันติวิธีในทัศนะอิสลาม รวมทั้งสมมติฐานที่อธิบายโดยนักวิชาการและนักปฏิบัติการสันติวิธีทั้งหลาย คือ 
 
ประการแรก ต้องเข้าใจอย่างชัดเจนถึงศักยภาพของศาสนาอิสลามว่าอุดมด้วยเมล็ดพันธุ์มากมายในการจัดการความขัดแย้งทางสังคมและทางการเมืองได้อย่างสันติ ในคัมภีร์และคำสอนของศาสนาตลอดจนจริยวัตรของท่านนบีมุฮัมหมัด (ซ.ล.) ในยุคต้นของอิสลามเป็นแหล่งบรรจุคุณค่า ความเชื่อ และยุทธวิธีมากมายในการสนับสนุนการแก้ไขความขัดแย้งด้วยวิถีทางตามแนวสันติวิธี และมีอิทธิพลทางอุดมการณ์ความคิดเป็นแบบอย่างให้มุสลิมได้ยึดถือดำเนินต่อมาอย่างต่อเนื่องเป็นระยะเวลายาวนาน ดังมีตัวอย่างการสร้างสันติภาพและใช้สันติวิธีในวิถีอิสลามจนเป็นที่ประจักษ์ชัดมากมายในหลายๆ สังคม       
 
ประการที่สอง การทำความเข้าใจการสร้างสันติภาพและสันติวิธีในวิถีอิสลาม นักวิชาการและนักปฏิบัติการสันติภาพมุสลิมจำเป็นต้องทบทวนและประเมินความเข้าใจอิสลามในท่ามกลางบริบทของความหลากหลายในช่วงประวัติศาสตร์ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ต้องตระหนักว่าในคำสอนของอิสลามนั้นมีการตีความอย่างแตกต่างหลากหลายในหมู่นักวิชาการมุสลิมตามแต่ละประเทศ วัฒนธรรมและสำนักคิด 
 
            ดังนั้น ความรู้และการตีความไม่ควรถูกมองว่าเป็นเพียงความเข้าใจของกลุ่มชนชั้นนำกลุ่มเล็กๆ ซึ่งไม่ได้สลักสำคัญแต่ประการใด หากการตีความและแบบแผนทางวัฒนธรรมเกี่ยวกับการสร้างสันติภาพและสันติวิธีเหล่านั้นย่อมมีความสำคัญในการสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องและเข้าถึงความหมายของอิสลามอย่างแท้จริง  
 
ประการที่สาม มีมุสลิมจำนวนมากยังขาดความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับศาสนาอิสลาม รวมทั้งการเข้าถึงความหมายที่เกี่ยวโยงกับการแปรเปลี่ยนความขัดแย้งโดยสันติวิธีผ่านคุณค่าคำสอนเกี่ยวกับสันติภาพ นักวิจัยส่วนใหญ่ในปัจจุบันที่สนใจประเด็นอิสลามกับความขัดแย้งไม่เพียงแต่เป็นพวกนักบูรพคดีศึกษา หรือแม้แต่นักวิชาการมุสลิมเองก็พุ่งเป้าการศึกษาไปที่การทำสงคราม การใช้ความรุนแรง อำนาจ และระบบการเมืองหรือกฎหมาย มุมมองเหล่านี้ ทำให้แนวการศึกษาอิสลามออกมาในด้านลบ โดยเฉพาะในหมู่นักวิชาการจากโลกตะวันตก  
 
ประการที่สี่ ถึงแม้ว่าอิสลามมีคำสอนและการปฏิบัติอันหลากหลายเกี่ยวกับความขัดแย้งและการสร้างสันติภาพ แต่คำสอนที่ถูกนำไปใช้จริงนั้นย่อมขึ้นกับความสัมพันธ์ที่เกี่ยวข้องกับสถานการณ์ความขัดแย้ง เช่น เป็นความขัดแย้งในระดับใด ระดับบุคคล ครอบครัว หรือชุมชน เป็นความขัดแย้งระหว่างมุสลิมด้วยกันหรือกับคนที่ไม่ใช่มุสลิม เป็นต้น  
 
            อย่างไรก็ตาม คำสอนอิสลามได้เป็นแหล่งคุณค่าของการสร้างสันติภาพและหากได้มีการประยุกต์ให้เป็นไปอย่างมีระบบและต่อเนื่องแล้วย่อมสามารถช่วยจัดการความขัดแย้งได้อย่างมีประสิทธิภาพในแทบทุกรูปแบบและทุกระดับ ดังเช่น คุณค่าเกี่ยวกับความยุติธรรม (adl) คุณธรรมความดีงาม (ihsan), และการใช้วิทยปัญญา (hikmah) ล้วนเป็นคุณค่าสากลที่เป็นองค์ประกอบสำคัญของกรอบคิดและยุทธวิธีในการสร้างสันติภาพ
 
            การขยายการตระหนักรู้และข้อสมมุติฐานทั้ง 4 ประการข้างต้นในการศึกษาวิจัยเกี่ยวกับการสร้างสันติภาพและสันติวิธีในวิถีอิสลามสามารถช่วยนักวิจัยที่สนใจทั้งผู้เป็นมุสลิมและไม่ใช่มุสลิมในการเพิ่มพูนความเข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างแนวคิดและการปฏิบัติของสันติวิธี การสร้างสันติภาพ กับประเพณีวัฒนธรรมและศาสนาอิสลาม นอกจากนั้น สิ่งสำคัญคือ การตระหนักดังกล่าวจะสามารถช่วยลดภาพลบของสังคมมุสลิมและศาสนาอิสลามทั้งในแวดวงสาธารณะโดยทั่วไปตลอดจนในแวดวงวิชาการ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การช่วยขจัดการเหมารวมเกี่ยวกับวิธีคิด ความเชื่อ และชีวิตความเป็นอยู่ตามวิถีอิสลาม
 
และประการสุดท้าย การคำนึงถึงข้อสมมุติฐานเหล่านี้ จะช่วยให้นักวิจัยก้าวพ้นการสรุปอย่างลวกๆ ในการตีความในคำสอนของอิสลามในคัมภีร์อัล-กุรอ่าน และจากแบบอย่างคำสอนและการปฏิบัติของท่านนบีมุฮัมหมัด (ซ.ล.) หรือ อัสซุนนะฮ์ โดยไม่ได้คำนึงถึงบริบทแวดล้อมทั้งทางประวัติศาสตร์ สังคม การเมือง ตลอดจนแรงกดดันทางวัฒนธรรมที่มีอิทธิพลต่อชีวิตผู้คนทั้งผู้เป็นมุสลิมและไม่ใช่มุสลิม
 
ทบทวนวรรณกรรมด้านสันติภาพและสันติวิธีในวิถีอิสลาม
 
1. การศึกษาเกี่ยวกับสงครามและการญิฮาด 
เป็นที่น่าเสียดายที่งานศึกษาในยุคปัจจุบันเกี่ยวกับสงครามและการญิฮาดได้พยายามสร้างสมมุติฐานว่าศาสนาอิสลามมีลักษณะเฉพาะที่เอื้อต่อการยอมรับในการทำสงครามและการใช้ความรุนแรงในการจัดการความขัดแย้ง นักวิชาการบางท่านในกลุ่มนี้ได้โต้แย้งว่า อิสลามเป็นศาสนาแห่ง “สงคราม” และความรุนแรงเป็นหลักการพื้นฐานในประเพณีศาสนาอิสลาม นักวิชาการในกลุ่มนี้ทุกคนเห็นว่าการไม่ใช้ความรุนแรงหรือสันติวิธีนั้นเป็นแนวคิดที่ห่างไกลจากหลักคำสอนอิสลาม        
 
นักวิชาการกลุ่มนี้มักสรุปอย่างเกินจริงและตกอยู่ในกับดักแนวคิดหลักการ “ญิฮาด” ในอิสลาม โดยอ้างว่าการญิฮาดด้วยการใช้ความรุนแรงเป็นวิธีการสำคัญสำหรับมุสลิมในการสถาปนาความแตกต่างทั้งภายในและภายนอก นักวิชาการรวมทั้งนักกำหนดนโยบายในกลุ่มนี้จึงติดกรอบการใช้มุมมองการญิฮาดในการอธิบายเติบโตของกลุ่มขบวนการมุสลิมที่นิยมความรุนแรงและมีทัศนคติว่าอิสลามเป็นศาสนาที่ให้ความชอบธรรมกับการใช้กำลังบังคับโดยรัฐบาลและขบวนการทางศาสนา
 
2. การศึกษาเกี่ยวกับสงครามและสันติภาพ[4]    
นักวิชาการกลุ่มนี้ซึ่งอาจเรียกว่าคือ กลุ่ม “สงครามและสันติภาพ” จะมีมุมมองต่างไปจากกลุ่มญิฮาด โดยมีสมมุติฐานว่า ศาสนาอิสลามให้ความชอบธรรมต่อการใช้กำลังและความรุนแรงภายใต้บริบทที่จำกัดเท่านั้น ไม่สามารถใช้กำลังและความรุนแรงได้อย่างไร้ขอบเขต นักวิชาการกลุ่มนี้จึงได้เน้นไปที่เงื่อนไขและสภาพแวดล้อมที่อิสลามอนุญาตให้ใช้กำลังและความรุนแรงในการจัดการความขัดแย้งหรือเมื่อเผชิญหน้ากับผู้อื่น โดยนักวิชาการกลุ่มนี้อ้างอิงถึงคำสอนในคัมภีร์ อัล-กุรอ่านที่ว่า
 
“สำหรับบรรดาผู้ (ที่ถูกโจมตีนั้น) ได้รับอนุญาตให้ต่อสู้ได้ เพราะพวกเขาถูกข่มเหง และแท้จริงอัลลอฮ์ทรงสามารถที่จะช่วยเหลือพวกเขาได้อย่างแน่นอน” อัล-กุรอ่าน (22:39)
 
“และพวกเจ้าจงต่อสู้ในทางของอัลลอฮ์ต่อบรรดาผู้ที่ทำร้ายพวกเจ้า และจงอย่ารุกรานแท้จริง อัลลอฮ์ไม่ทรงชอบบรรดาผู้รุกราน” อัล-กุรอ่าน (2:190) 
 
นักวิชาการกลุ่มนี้จะให้ความสำคัญอย่างมากกับการต่อสู้เพื่อความยุติธรรม และการต่อสู้ด้วยสันติวิธีนั้นเป็นเพียงวิธีการเพื่อการบรรลุเป้าหมายสู่ความยุติธรรม ดังนั้น สันติวิธีจึงมีความสำคัญในลำดับรองลงมา
 
มีนักวิชาการหลายท่านในกลุ่มนี้พยายามตีความอย่างเป็นกลางในคำสอนของอิสลามเกี่ยวกับสงครามและสันติภาพ แต่ทุกคนต่างยึดในกรอบคิดเกี่ยวกับความมั่นคง สงครามและยุทธศาสตร์ศึกษา หรือจากมุมมองอิสลามศึกษาในยุคคลาสสิค แทนที่จะวางบนพื้นฐานทางสันติศึกษา จึงทำให้นักวิชาการกลุ่มนี้มองการต่อสู้โดยสันติวิธีและการไม่ใช้ความรุนแรงว่าเป็นสภาวะของการยอมจำนนต่อศัตรูหรือฝ่ายตรงข้าม พวกเขาจึงให้คำนิยามสันติวิธีอย่างจำกัดและสรุปว่าอิสลามเป็นศาสนาที่ไม่สามารถต่อต้านการใช้ความรุนแรงได้    
 
ในงานของ Hashimi and Sachedina สะท้อนถึงมุมมองของกลุ่มนี้ได้เป็นอย่างดี โดยชี้ให้เห็นถึงคำสอนสำคัญหลายประการในคัมภีร์อัล-กุรอ่าน ในการแก้ไขความขัดแย้ง ได้แก่  
 
(1) พื้นฐานทางธรรมชาติของมนุษย์นั้นเป็นผู้บริสุทธิ์ซึ่งปราศจากบาป
 
(2) ธรรมชาติของมนุษย์ต่างมีเจตจำนงค์ที่จะอยู่บนโลกนี้ด้วยสภาวะแห่งความมีสันติและสมานฉันท์กับผู้อื่น ดังนั้น สันติภาพจึงไม่ใช่เป็นเพียงการไม่มีสงคราม หากแต่ยังรวมถึงการขจัดความชั่วร้ายทั้งปวง ดังนั้น เป้าหมายของผู้เป็นเจ้าในการสร้างมนุษย์เป็นไปเพื่อความมีสันติสุข ไม่ใช่เพื่อใช้ความรุนแรงในการเข่นฆ่ากัน หรือทำสงคราม
 
(3) อย่างไรก็ตาม ย่อมมีมนุษย์ที่หลงกระทำผิด ละเมิดธรรมชาติและขัดคำสั่งของผู้เป็นเจ้า
 
(4) ศาสดาแต่ละท่านจึงเป็นผู้คอยตักเตือนผู้ละเมิดต่อผู้เป็นเจ้า
 
(5) สภาวะแห่งสันติจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อมนุษย์ยอมต่อเจตจำนงของผู้เป็นเจ้าและใช้ชีวิตตามกฎของพระองค์
 
(6) เนื่องจากเป็นไปได้ยากที่มนุษย์หรือสังคมใดๆ จะทำตามหลักการอิสลามโดยสมบูรณ์ ดังนั้น มุสลิมจึงต้องเตรียมตัวอยู่เสมอที่จะต่อสู้เพื่อการรักษาความศรัทธาในอิสลาม
 
“และพวกเจ้าจงเตรียมไว้สำหรับ (ป้องกัน) พวกเขา สิ่งที่พวกเจ้าสามารถ อันได้แก่กำลังอย่างหนึ่งอย่างใด” อัล-กุรอ่าน (8: 60)
 
“และบรรดาผู้ที่ปฏิเสธศรัทธานั้น บางส่วนของพวกเขาย่อมเป็นผู้ช่วยเหลืออีกบางส่วน หากพวกเจ้าไม่ปฏิบัติในสิ่งนั้นแล้ว ความวุ่นวายและความเสียหายอันใหญ่หลวงก็จะเกิดขึ้นในแผ่นดิน” อัล-กุรอ่าน (8: 73)
 
            หลักการของอิสลามดังกล่าวนับเป็นพื้นฐานสำคัญสำหรับการสร้างสันติภาพและการจัดการความขัดแย้งโดยมองว่าธรรมชาติของมนุษย์นั้นบริสุทธิ์และปรารถนาที่จะอยู่ร่วมกับผู้อื่นอย่างสันติและสมานฉันท์ แต่ขณะเดียวกัน ก็เห็นว่าความขัดแย้งเป็นปรากฎการณ์ธรรมชาติและเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตมนุษย์ ดังนั้น ผู้ที่ปฏิเสธต่อผู้เป็นเจ้าและกดขี่ข่มเหงผู้อื่นย่อมต้องต่อสู้กับผู้ที่ยอมจำนนและศรัทธาต่อผู้เป็นเจ้า และประการสุดท้าย เรียกร้องให้มุสลิมต้องแสดงการกระทำเพื่อปกป้องความศรัทธาในอิสลามของตนเองหากถูกกดขี่จากศัตรู
 
            Hashimi มีจุดยืนเช่นเดียวกับนักวิชาการอื่นๆ ที่มองว่าอิสลามไม่ใช่ศาสนาที่ต่อต้านการใช้ความรุนแรง หากอิสลามยอมรับการใช้ความรุนแรง การทำสงครามและการใช้กำลังภายใต้ข้อจำกัดของเงื่อนไขเฉพาะบางประการ อย่างไรก็ตาม ข้อโต้แย้งหลักของ Hashimi คือ แม้ว่าอิสลามจะอนุญาตให้ใช้ความรุนแรงและกำลัง แต่ห้ามกระทำการก้าวร้าวและรุกรานผู้อื่น โดยเป้าหมายหลักคือ เพื่อการบรรลุสันติภาพโดยผ่านความยุติธรรมและการรักษาความศรัทธา นักวิชาการกลุ่มนี้เห็นพ้องต้องกันว่า การปกป้องอิสลาม การสถาปนาความยุติธรรมและสันติภาพได้นั้นไม่อาจใช้วิถีสันติวิธีแต่เพียงลำพัง ดังนั้น การใช้กำลังที่จำกัดหรืออย่างมีเงื่อนไขย่อมเป็นสิ่งจำเป็นควบคู่กันไป
 
            อย่างไรก็ตาม แม้ว่านักวิชาการกลุ่มนี้จะมีจุดยืนที่ชัดเจนว่าการทำสงครามเป็นสิ่งที่อนุมัติเพื่อเป็นการปกป้องตนเองและรัฐ แต่ก็ยอมรับว่าอิสลามห้ามการทำสงครามเพื่อการรุกราน ขยายดินแดนหรือเพื่อเป็นการอวดศักดิ์ดาเกียรติภูมิของตนเอง พวกเขาเสนอว่าการปฏิเสธการใช้ความรุนแรงโดยปราศจากเงื่อนไขนั้นเป็นการละเลยคำสอนของอิสลามที่ว่า  
 
            “การสู้รบนั้นได้ถูกกำหนดแก่พวกเจ้าแล้ว ทั้งๆ ที่มันเป็นที่รังเกียจแก่พวกเจ้า และอาจเป็นไปได้ว่า การที่พวกเจ้าเกลียดสิ่งหนึ่งทั้งๆ ที่สิ่งนั้นเป็นสิ่งดีแก่พวกเจ้า และก็อาจเป็นไปได้ว่าการที่พวกเจ้าชอบสิ่งหนึ่ง ทั้ง ๆ ที่สิ่งนั้นเป็นสิ่งเลวร้ายแก่พวกเจ้าและอัลลอฮ์นั้นทรงรู้ดี แต่พวกเจ้าไม่รู้”  อัล-กุรอ่าน (2; 216)
 
โดยสรุป นักวิชาการกลุ่ม “สงครามและสันติภาพ” อาจถูกวิจารณ์ได้ว่าละเลยคำสอนส่วนที่เน้นถึงความศักดิ์สิทธิ์แห่งชีวิตมนุษย์ในทัศนะอิสลามแต่กลับหยิบยกบางตอนของคำสอนเพื่อสร้างความชอบธรรมในการใช้ความรุนแรง ซึ่งการวิจารณ์เช่นนั้นเปรียบประหนึ่งเป็นการนิยามสันติวิธีในเชิงคับแคบว่าเป็นการต่อต้านต่อการใช้ความรุนแรง  พวกเขาเห็นว่าการมองว่าอิสลามเป็นศาสนาที่ปฏิเสธการทำสงครามนั้นเป็นเรื่องความเข้าใจที่ผิด ดังนั้น จึงไม่ควรเน้นที่ว่าคำสอนของศาสนาอิสลามให้การสนับสนุนเกี่ยวกับการใช้สันติวิธีหรือไม่ แต่ควรต้องพิจารณาถึงคำถามที่ว่า การใช้สันติวิธี ที่ไหน เมื่อไหร่ และอย่างไร จึงจะช่วยให้มุสลิมได้รักษาความยุติธรรมในสังคม    
 
อย่างไรก็ตาม มีตัวอย่างมากมายในประวัติศาสตร์อิสลามที่พิสูจน์ว่าการปฏิเสธการใช้ความรุนแรงโดยใช้วิถีแห่งสันติวิธีสามารถช่วยสร้างสันติภาพได้อย่างแท้จริงในอิสลาม ดังนำสู่แนวคิดกลุ่มต่อไป 
 
3. การศึกษาเกี่ยวกับการสร้างสันติภาพและสันติวิธีในวิถีอิสลาม  
นักวิชาการกลุ่มที่ศึกษาด้าน “สันติวิธี” ตระหนักดีถึงการดำรงอยู่และการมีความชอบธรรมในการใช้ความรุนแรงที่จำกัดในคำสอนของอิสลาม แต่พวกเขาให้ความสำคัญกับศักยภาพของสันติวิธีในวิถีอิสลาม จึงได้ระบุถึงหลักการและคุณค่าในคำสอนอิสลามที่สนับสนุนแนวคิดสันติวิธี เช่น ความเชื่อพื้นฐานของอิสลามในความเป็นเอกภาพของมนุษย์ ความรักสูงสุดของผู้เป็นเจ้า ความมีเมตตา และหน้าที่ของมุสลิมที่จะต้องถูกสอบสวนจากการกระทำทุกอย่างขณะมีชีวิตอยู่ในโลกนี้
 
ดังนั้น นักวิชาการกลุ่ม “สันติวิธีศึกษา” จึงได้รับแรงจูงใจและการนำทางโดยกรอบสันติภาพและการใช้สันติวิธีโดยมีข้อสมมุติฐานว่า “ไม่มีเหตุผลทางเทววิทยาที่บอกว่าสังคมอิสลามปัจจุบันจะไม่สามารถเป็นผู้นำในการพัฒนาวิถีทางสันติวิธี แต่กลับมีเหตุผลมากมายที่มุสลิมควรมีการพัฒนาวิถีดังกล่าว” พวกเขาจึงได้พยายามวางหลักการเกี่ยวกับสันติภาพและสันติวิธีในวิถีอิสลาม
 
ถึงแม้ว่า มีนักวิชาการบางคนในกลุ่มนี้ยอมรับในการใช้ความรุนแรงภายใต้สถานการณ์ที่จำกัด แต่พวกเขาทั้งหมดต่างมีมุมมองที่ตั้งอยู่บนพื้นฐานความเชื่อในศักยภาพของการไม่ใช้ความรุนแรงและธรรมชาติของสันติวิธีตามลักษณะของศาสนาและประเพณีในศาสนาอิสลาม   
 
ดังเช่นงานบุกเบิกของ ชัยวัฒน์ สถาอานันท์ (1993 และอ้างใน Abu-Nimer 2003; 2008) ได้สรุปบทเรียนการสร้างสันติภาพและสันติวิถีในวิถีอิสลามโดยให้ข้อเสนอ 8 ประการ ได้แก่
 
1. สำหรับมุสลิมแล้ว ปัญหาของความรุนแรงเป็นปัญหาสำคัญของปริมณฑลทางศีลธรรมของอิสลาม
2. หากจะมีการใช้ความรุนแรงโดยมุสลิมแล้ว ต้องอยู่ภายใต้กฏเกณฑ์ซึ่งถูกกำหนดในคัมภีร์อัล-กุรอ่าน และอัล-หะดิษ   
3. การใช้ความรุนแรงโดยไม่แยกแยะว่าใครที่เกี่ยวข้องกับการต่อสู้หรือไม่เกี่ยวข้องในการต่อสู้นั้น เป็นสิ่งที่ไม่เป็นที่ยอมรับในศาสนาอิสลาม
4. การใช้เทคโนโลยีการทำลายล้างสมัยใหม่แบบเหวี่ยงแหย่อมเป็นสิ่งที่ไม่สามารถจะกระทำได้
5. ดังนั้น ในโลกปัจจุบัน มุสลิมไม่สามารถที่จะใช้ความรุนแรงได้
6. อิสลามสอนให้มุสลิมต่อสู้เพื่อความยุติธรรมด้วยความเข้าใจที่ว่า ชีวิตมนุษย์เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์และมีจุดหมายปลายทาง (เช่นเดียวกับสิ่งถูกสร้างอื่นๆ ทั้งหลายจากพระผู้เป็นเจ้า)
7. เพื่อที่จะบรรลุสู่ความเป็นอิสลามที่แท้จริง มุสลิมต้องใช้ปฏิบัติการไม่ใช้รุนแรงเป็นยุทธวิธีในการต่อสู้
8. แท้ที่จริงแล้ว ศาสนาอิสลามอุดมด้วยเมล็ดพันธุ์แห่งปฏิบัติการด้วยสันติวิธีหลายประการได้แก่ การดื้อแพ่ง การมีระเบียบวินัยที่เข้มแข็ง การแบ่งปันและการมีความรับผิดชอบต่อสังคม ความเพียรพยายามและความเสียสละ ตลอดจน ความเชื่อในเอกภาพของชุมชนมุสลิมและความเป็นหนึ่งเดียวกันของมวลมนุษย์
จะเห็นได้ว่า ถึงแม้ข้อเสนอประการที่สองของ ชัยวัฒน์ สถาอานันท์ เห็นว่าอิสลามอนุญาตให้มีการใช้ความรุนแรงภายใต้ข้อจำกัดบางประการ แต่ในข้อเสนอประการที่ห้า ท่านเห็นว่าในสังคมปัจจุบัน มุสลิมไม่สามารถที่จะใช้ความรุนแรงได้ต่อไป
 
นักวิชาการกลุ่ม “สันติวิธีและการสร้างสันติภาพ” ได้อธิบายเงื่อนไขความจำเป็นสำหรับการปรับเปลี่ยนสู่แนวคิดสันติวิถีในวิถีอิสลามว่า
 
1. ยุคสมัยของประวัติศาสตร์ได้เปลี่ยนแปลงไปแล้ว ดังนั้น การใช้ความรุนแรงในฐานะเป็นวิถีทางในการแก้ไขปัญหาจึงเป็นสิ่งที่ศาสนาไม่ยอมรับอีกต่อไป สิ่งที่มุสลิมได้เคยใช้ในการสถาปนาและแพร่กระจายความศรัทธาเมื่อพันสี่ร้อยกว่าปีที่แล้วอาจไม่ได้มีความเหมาะสมกับสภาพความจริงในโลกปัจจุบันอีกต่อไป ดังนั้น หากประเพณีและวัฒนธรรมอิสลามจะเฟื่องฟูและเจิดจรัสอีกครั้งได้นั้น ทั้งผู้นำและมุสลิมโดยทั่วไปจะต้องรับเอาสันติวิธีเป็นวิถีแห่งชีวิตที่บ่งบอกถึงความแตกต่างของตนเอง
 
2. สถานภาพของชุมชนมุสลิมทั้งในระดับโลกและชุมชนท้องถิ่นได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก ดังนั้น การใช้ความรุนแรงจึงสิ่งที่ไม่อาจยอมรับได้อีกต่อไป ชุมชนมุสลิมหลายแห่งอาศัยอยู่ในสถานะที่เป็นชนกลุ่มน้อยในสังคม สถานภาพทางเศรษฐกิจ สังคม และการเมือง จึงแตกต่างไปจากยุคอิสลามเป็นชนส่วนใหญ่ในสังคมเมื่อคริสต์ศตวรรษที่ 7
 
3. ระบบเศรษฐกิจและการเมืองของโลกปัจจุบันที่ได้พัฒนามาเป็นเวลายาวนานร่วมศตวรรษได้ต่อต้านการใช้อาวุธที่มีอำนาจทำลายล้างรุนแรงในการแก้ไขความขัดแย้ง
 
4. ความจริงในโลกยุคใหม่ ไม่สามารถให้หลักประกันในการจำกัดการใช้ความรุนแรงเลย เมื่อเรามองถึงระบบการพัฒนาอาวุธที่ร้ายแรงและการทำสงคราม ทำให้ชาวศาสนิกทั้งหลายไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต่อต้านการใช้ความรุนแรง
 
5. การใช้ความรุนแรงในฐานะเป็นเครื่องมือในการแก้ไขความขัดแย้งเป็นเพียงเศษเสี้ยวในชีวิตของท่านศาสดาและในคัมภีร์ ดังนั้น การใช้ความรุนแรงจึงเป็นสิ่งที่ไม่ควรให้ความสำคัญในยุคปัจจุบัน ในหะดิษ และประเพณีวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์อิสลาม เป็นแหล่งที่อุดมด้วยตัวอย่างของการสร้างสันติภาพและสันติวิธี  
 
กลุ่มนักวิชาการแนวการสร้างสันติภาพและสันติวิธีพยายามตีความใหม่กับสัญลักษณ์ทางประวัติศาสตร์ เรื่องราวและเหตุการณ์ต่างๆ ทั้งในด้านการชีวิตโดยทั่วไปและด้านการแก้ไขความขัดแย้ง พวกเขามุ่งเน้นหาแหล่งข้อมูลของอิสลามที่ประณามการใช้ความรุนแรงและการทำสงคราม รวมทั้ง เน้นการใช้ความรักความเมตตาและความอดกลั้น ดังปรากฎในคัมภีร์อัล-กุรอ่าน ว่า
 
“ทุกครั้งที่พวกเขาจุดไฟขึ้นเพื่อทำสงคราม อัลลอฮ์ก็ทรงดับไฟนั้นเสีย และพวกเขาเพียรพยายามบ่อนทำลายในผืนแผ่นดิน และอัลลอฮ์นั้นไม่ทรงชอบผู้บ่อนทำลายทั้งหลาย” อัล-กุรอ่าน (5: 64)  
 
“แท้จริงอัลลอฮ์ทรงใช้ให้รักษาความยุติธรรมและทำดี”  อัล-กุรอ่าน (16: 90)
 
            จากประวัติชีวิตของท่านนบีมุฮัมหมัด (ซ.ล.) ในช่วงที่ท่านอาศัยอยู่ในเมืองมักกะฮ์เป็นเวลาถึง 13 ปี เพื่อการทำหน้าที่ในการเผยแพร่คำสอนของอิสลาม ท่านได้แสดงให้เห็นถึงการหลีกเลี่ยงการใช้ความรุนแรงทุกรูปแบบแม้กระทั่งเพื่อการปกป้องตัวเอง ท่านกลับใช้การต่อต้านโดยไม่ใช้ความรุนแรงต่อชาวมักกะฮ์ที่คอยกดขี่ชาวมุสลิมอยู่เสมอ และหลีกเลี่ยงที่จะต่อสู้แบบเผชิญหน้า จนในที่สุดท่านเลือกที่จะอพยพไปอยู่ที่เมืองมะดีนะฮ์วึ่งอยู่ห่างไกลออกไปอีกหลายร้อยกิโลเมตร 
 
            และในช่วงเวลา 10 ปีที่ท่านใช้ชีวิตอยู่ในเมืองมะดีนะฮ์ ยังคงถูกชาวมักกะฮ์ตามไปรุกรานอีก จนเมื่อยามต้องทำสงครามเป็นจำนวนหลายครั้งอันเนืองจากการถูกรุกรานจากชาวมักกะฮ์ ท่านนบีได้ใช้ชีวิตอยู่ในสนามรบจริงๆ เป็นเวลาเพียงครึ่งวันในแต่ละสงครามของ 3 สงคราม ได้แก่ สงครามอุฮูด สงครามบะดัร และสงครามฮุเนน นั่นหมายความว่าในช่วงตลอดระยะเวลา 23 ปี ของการทำหน้าที่เป็นนบีของท่านนั้น ท่านได้ใช้ชีวิตอยู่ในสนามรบเพียงหนึ่งวันครึ่งเท่านั้น  
 
            นอกจากนั้น ยังมีตัวอย่างในอัล-กุรอ่าน ที่สนับสนุนการใช้สันติวิธีแม้แต่ในยามที่ต้องเผชิญหน้ากัน ดังในเรื่องราวของ ฮาบิล (อะเบล) และกอบิล (เคน) บุตรของท่านนบีอาดัม ที่ต่างเป็นตัวแทนของความถูกต้องดีงาม (ฮาบิล) ที่ปฏิเสธการใช้ความรุนแรง และตัวแทนความก้าวร้าวรุนแรง (กอบิล) อัล-กุรอ่าน ได้บรรยายไว้ว่า
           
            “และเจ้าจงอ่านให้พวกเขาฟังซึ่งข่าวคราวเกี่ยวกับบุตรชายสองคนของอาดัม (กอบิล และฮาบิล) ตามความเป็นจริง ขณะที่ทั้งสองได้กระทำการพลีซึ่งสิ่งพลีอยู่นั้น แล้วสิ่งพลีนั้นก็ถูกรับจากคนหนึ่งในสองคน และมันมิได้ถูกรับจากอีกคนหนึ่ง (กอบิล) เขา (กอบิล) จึงได้กล่าวว่า แน่นอนข้าจะฆ่าเจ้า (ฮาบิล) ให้ได้ เขา (ฮาบิล) กล่าวว่า แท้จริงอัลลอฮ์จะทรงรับจากหมู่ผู้มีความยำเกรงเท่านั้น
           
หากท่าน (กอบิล) ยื่นมือของท่านมายังฉัน (ฮาบิล) เพื่อจะฆ่าฉัน ฉันก็จะไม่ยื่นมือของฉันไปยังท่าน เพื่อจะฆ่าท่าน แท้จริงฉันกลัวอัลลอฮ์ผู้เป็นพระเจ้าแห่งสากลโลก” อัล-กุรอ่าน (5: 27-28)
 
            นอกจากนั้น ในอิสลามยังสนับสนุนให้ใช้การเจรจาต่อรองเพื่อยุติความขัดแย้งในฐานะที่เป็นยุทธศาสตร์แรกๆ
 
            โดยสรุป นักวิชาการกลุ่มนี้เห็นว่า การปฏิเสธการใช้ความรุนแรงและสันติวิธีนั้นไม่ได้เป็นแนวคิดที่แปลกประหลาดในศาสนาอิสลามแต่อย่างใด และกลับเป็นแนวคิดหลักในคัมภีร์ของอิสลามด้วยซ้ำไป อิสลามในฐานะที่เป็นศาสนาและมีประเพณีมายาวนานจึงประกอบด้วยเมล็ดพันธุ์มากมายซึ่งพบได้ทั้งในคัมภีร์ อัล-ฮะดิษ และการปฏิบัติทางวัฒนธรรม ที่บ่งบอกถึงคุณค่า ความเชื่อและยุทธศาสตร์ในการใช้สันติวิธีและการสร้างสันติภาพ ดังจะได้กล่าวในส่วนต่อไป
 
หลักการและคุณค่าในอิสลามเกี่ยวกับสันติวิธีและการสร้างสันติภาพ[5]
 
ส่วนนี้จะให้ภาพแนวคิดพื้นฐาน หลักการและคุณค่าของสันติวิธีซึ่งอ้างอิงจากแหล่งข้อมูลปฐมภูมิที่จะสามารถเป็นกรอบในการประยุกต์สู่การสร้างสันติภาพในบริบทของศาสนาอิสลามได้ต่อไป และยังต้องการงานศึกษาวิจัยเพื่อสำรวจว่าหลักการและคุณค่าเหล่านี้ได้สะท้อนอยู่ในวิถีชีวิตประจำวันของของชาวมุสลิมหรือไม่ อย่างไร
 
มีนักวิชาการจำนวนมาก (ทั้งมุสลิมและไม่ใช่มุสลิม) ที่ได้ระบุถึงแนวคิด คุณค่าและหลักการคำสอนในอิสลามซึ่งมีปรากฎอยู่มากมายในคัมภีร์อัล-กุรอ่าน และอัล-หะดิษ ดังนั้น ในส่วนนี้จึงเป็นการสรุปถึงแนวคิด คุณค่าสำคัญๆ ในคำสอนของอิสลาม ซึ่งสามารถใช้เป็นกรอบในการสร้างสันติภาพในบริบทของชุมชนมุสลิม[6]
 
1. การสถาปนาความยุติธรรม
ข้อเรียกร้องสำคัญที่สุดประการหนึ่งในศาสนาอิสลามทั้งต่อผู้ที่แข็งแรงหรืออ่อนแอก็ตามคือ การสถาปนาความยุติธรรมให้เกิดขึ้นในสังคม ดังนั้น การกระทำใดๆ ก็ตามเพื่อสร้างความยุติธรรมจึงเปรียบเท่ากับว่าเป็นการกระทำเพื่อผู้เป็นเจ้า ดังตัวอย่างคำสอนในอัล-กุรอ่าน ที่เรียกร้องให้มุสลิมต้องมีหน้าที่ในการสร้างความยุติธรรมและต่อต้านการกดขี่และความอยุติธรรมทั้งหลายทั้งในระดับบุคคลและระดับโครงสร้าง 
 
“แท้จริงอัลลอฮ์ทรงใช้ให้รักษาความยุติธรรมและทำดี และการบริจาคแก่ญาติใกล้ชิดและให้ละเว้นจากการทำลามกและการชั่วช้า และการอธรรม พระองค์ทรงตักเตือนพวกเจ้าเพื่อพวกเจ้าจักได้รำลึก” อัล-กุรอ่าน (16: 90)
 
“ผู้ศรัทธาทั้งหลาย! จงเป็นผู้ปฏิบัติหน้าที่ด้วยดีเพื่ออัลลอฮ์ เป็นพยานด้วยความเที่ยงธรรมและจงอย่าให้การเกลียดชังพวกหนึ่งพวกใด ทำให้พวกเจ้าไม่ยุติธรรม จงยุติธรรมเถิด มันเป็นสิ่งที่ใกล้กับความยำเกรงยิ่งกว่า และพึงยำเกรง อัลลอฮ์เถิด แท้จริงอัลลอฮ์นั้น เป็นผู้ทรงรอบรู้อย่างละเอียดในสิ่งที่พวกเจ้ากระทำกัน” อัล-กุรอ่าน (5: 8)
 
ดังนั้น ความเชื่อมโยงระหว่างการสร้างสันติภาพกับการสถาปนาความยุติธรรมจึงเป็นสิ่งที่ควบคู่กันเสมอในหลักคำสอนของศาสนาอิสลาม สันติภาพจึงเป็นผลผลิตของความมีระเบียบและความยุติธรรม และมนุษย์จะต้องพยายามแสวงสันติภาพด้วยความยุติธรรมซึ่งหลักการนี้เป็นหน้าที่ของผู้คนโดยทั่วไปและผู้ปกครอง 
 
“แท้จริงอัลลอฮฺทรงใช้พวกเจ้าให้มอบคืนบรรดาของฝากแก่เจ้าของของมัน และเมื่อพวกเจ้าตัดสินระหว่างผู้คน พวกเจ้าก็จะต้องตัดสินด้วยความยุติธรรม แท้จริงอัลลอฮฺทรงแนะนำพวกเจ้าด้วยสิ่งซึ่งดีจริง ๆ แท้จริงอัลลอฮฺเป็นผู้ทรงได้ยินและได้เห็น” อัล-กุรอ่าน (4: 58)
 
“อัลลอฮฺมิได้ทรงห้ามพวกเจ้าเกี่ยวข้องกับบรรดาผู้ที่มิได้ต่อต้านพวกเจ้าในเรื่องศาสนาและพวกเขามิได้ขับไล่พวกเจ้าออกจากบ้านเรือนของพวกเจ้าในการที่พวกเจ้าจะทำความดีแก่พวกเขา และให้ความยุติธรรมแก่พวกเขา แท้จริงอัลลอฮฺทรงรักผู้มีความยุติธรรม” อัล-กุรอ่าน (60: 8)
 
            ท่านนบีมุฮัมหมัด (ซ.ล.) ได้เรียกร้องให้มุสลิมยึดมั่นในความยุติธรรมและต่อต้านความ
อยุติธรรมทั้งหลายไม่ว่าความอยุติธรรมนั้นจะมาจากผู้ที่เป็นมุสลิมหรือไม่ใช่มุสลิม หรือแม้แต่ผู้ที่ใกล้ชิดก็ตาม
 
“ผู้ศรัทธาทั้งหลาย! จงเป็นผู้ที่ดำรงไว้ซึ่งความยุติธรรม จงเป็นพยานเพื่ออัลลอฮฺ และแม้ว่าจะเป็นอันตรายแก่ตัวของพวกเจ้าเอง หรือผู้บังเกิดเกล้าทั้งสองและญาติที่ใกล้ชิดก็ตาม หากเขาจะเป็นคนมั่งมีหรือคนยากจน อัลลอฮฺก็สมควรยิ่งกว่าเขาทั้งสอง ดังนั้นจงอย่าปฏิบัติตามความใคร่ใฝ่ต่ำในการที่พวกเจ้าจะมีความยุติธรรม และหากพวกเจ้าบิดเบือนหรือผินหลังให้แท้จริงอัลลอฮฺทรงรอบรู้อย่างถี่ถ้วนในสิ่งที่พวกเจ้ากระทำกัน” อัล-กุรอ่าน (4: 135)
 
            ดังนั้น การมุ่งเน้นให้ความสำคัญเกี่ยวกับความยุติธรรมตามหลักการคำสอนของอิสลามจึงเป็นสิ่งเดียวกับการใช้แนวทางสันติวิธีในการเรียกร้องผู้คน-ชุมชนเพื่อต่อต้านความอยุติธรรมในสังคม สันติวิธีจึงไม่ใช่เรื่องที่เข้าใจกันแบบผิดๆ ว่าเป็นวิธีที่ให้เรางอมืองอเท้าและอญุ่แบบเฉือยชาโดยไม่ต้องกระทำการใดๆ ต่อความก้าวร้าวและอยุติธรรมในสังคม จุดหมายปลายทางหลักของสันติวิธีได้แก่การแปรเปลี่ยนและขจัดโครงสร้างความรุนแรงในทุกระดับซึ่งการแปรเปลี่ยนดังกล่าวเป็นสิ่งจำเป็นในการสถาปนาสังคมที่มีความความยุติธรรม    
 
2. การสร้างความเข้มแข็งทางสังคมผ่านการกระทำด้วยคุณธรรมและความดีงาม
การสร้างพลังทางสังคมของผู้ถูกกดขี่โดยผ่านคุณค่าสำคัญในอิสลามสองประการคือ ความมีคุณธรรม (ihsan) และการประกอบความดีงาม (khayr) นับเป็นสิ่งสำคัญเพื่อนำสู่ความยุติธรรมเช่นกัน การแพร่กระจายไปอย่างกว้างขวางของศาสนาอิสลามมาจากพื้นฐานในการช่วยเหลือและเสริมสร้างความเข้มแข็งให้กับผู้ที่อ่อนแอหรือไร้อำนาจในสังคม การต่อสู้เพื่อต่อต้านการกดขี่ การช่วยเหลือคนจนผู้ยากไร้ และการมองมนุษย์อย่างมีความเท่าเทียมกัน สิ่งเหล่านี้นับเป็นคุณค่าอันเป็นแก่นของคำสอนของศาสนาอิสลาม อิสลามเรียกร้องให้มนุษย์ต้องกระทำความดีไม่เพียงต่อผู้ที่เป็นบุพการีและผู้ที่เป็นญาตอพี่น้อง หากรวมถึงต้องกระทำดีและรับผิดชอบต่อผู้ที่เป็นเด็กกำพร้า คนยากจน ผุ้คนที่ไม่มีผู้คอยให้ความช่วยเหลือ ตลอดจนผู้ที่เป็นเพื่อนบ้านไม่ว่าพวกเขาจะมีความเกี่ยวข้องกับเราในทางใดหรือไม่ก็ตาม คำสอนอิสลามเน้นการกระทำความดีงามตามทางที่เที่ยงตรง (al-sirat al-mustaqim) ตามแนวทางอันดีงามของท่านนบีมุฮัมหมัด (ซ.ล.) ไม่ได้เน้นที่การใช้อำนาจและกำลัง        
 
“และจงให้มีขึ้นจากพวกเจ้า ซึ่งคณะหนึ่งที่จะเชิญชวนไปสู่ความดีและใช้ให้กระทำสิ่งที่ชอบ และห้ามมิให้กระทำสิ่งที่มิชอบและชนเหล่านี้แหละพวกเขาคือผู้ได้รับความสำเร็จ” อัล-กุรอ่าน (3: 104)
 
            หลักคำสอนเกี่ยวกับการกระทำความดีงามในอิสลามนั้นจะเป็นพื้นฐานเพื่อนำสู่ความยุติธรรมทั้งในด้านเศรษฐกิจและสังคม ดังนั้น มุสลิมจึงต้องมีความรับผิดชอบต่อผู้ที่มีฐานะด้อยกว่าในชุมชนของเขา 
 
“พระองค์มิได้ทรงพบเจ้าเป็นกำพร้าแล้วทรงให้ที่พึ่งดอกหรือ และทรงพบเจ้าระเหเร่ร่อน แล้วก็ทรงชี้แนะทาง (แก่เจ้า) ดอกหรือ และทรงพบเจ้าเป็นผู้ขัดสน แล้วให้มั่งคั่ง (แก่) เจ้าดอกหรือ ดังนั้นส่วนเด็กกำพร้าเจ้าอย่าข่มขี่ และส่วนผู้เอ่ยขอนั้น เจ้าอย่าตวาดขับไล่ และส่วนความโปรดปรานแห่งพระเจ้าของเจ้านั้น เจ้าจงแสดงออก” อัล-กุรอ่าน (93: 6-11)
 
โดยสรุป มุสลิมจะต้องสร้างความยุติธรรม มีคุณธรรม และกระทำความดีงามทั้งต่อผู้ที่เป็นมุสลิมและผู้ที่ไม่ใช่มุสลิม คำสอนในอัล-กุรอ่านและแบบอย่างจากท่านนบีนั้นได้ให้ความสำคัญตลอดจนชื่นชมคุณค่าดังกล่าวเพื่อสร้างสันติภาพในสังคมทุกระดับ ดังนั้น ในกระบวนการแสวงหาสันติภาพด้วยสันติวิธีในอิสลามจึงจำเป็นที่คำนึงถึงเรื่องการสร้างความเข้มแข็งให้กับผู้ที่เกี่ยวข้องในความขัดแย้งที่จะสามารถเข้าถึงการตัดสินใจได้อย่างมีความเท่าเทียมกัน
 
3. ความเป็นสากลและเกียรติศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์
อิสลามได้ส่งสารที่ชัดเจนและหนักแน่นเกี่ยวกับความเป็นสากลและเกียรติศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ โดยอิสลามมองว่ามุนษย์ทุกคนต่างมีจุดกำเนิดเดียวกันและอย่างเท่าเทียมกัน ดังนั้น มนุษย์จึงมีสิทธิเท่าเทียมกัน มนุษย์เป็นสิ่งสรรสร้างที่เลอเลิศและสวยงามที่สุดของผู้เป็นเจ้า มีศักยภาพที่จะเรียนรู้ ความสามารถในการตัดสินใจและรับผิดชอบต่อผลของการกระทำของตนเอง มนุษย์ในทัศนะอิสลามจึงเกียรติศักดิ์ศรีสูงส่งในฐานะเป็นผู้แทนของผู้เป็นเจ้าบนหน้าแผ่นดินนี้ ดังอัล-กุรอ่าน กล่าวว่า
 
“และจงรำลึกถึงขณะที่พระเจ้าของเจ้าได้ตรัสแก่มะลาอิกะฮฺว่า แท้จริงข้าจะให้มีผู้แทนคนหนึ่ง (นบีอาดัม) ในพิภพ” อัล-กุรอ่าน (2: 30)
 
            ดังนั้น การเป็นมนุษย์จึงมีสถานะและได้รับเกียรติอย่างสูงส่งจากผู้เป็นเจ้า การปกป้องชีวิตและเคารพในเกียรติศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์จึงเป็นเรื่องที่ศักดิ์สิทธิ์ที่ไม่อาจจะล่วงละเมิดกันได้ในทัศนะอิสลาม
 
“และโดยแน่นอน เราได้ให้เกียรติแก่ลูกหลานของอาดัม และเราได้บรรทุกพวกเขาทั้งทางบกและทางทะเล และได้ให้ปัจจัยยังชีพที่ดีทั้งหลายแก่พวกเขาและเราได้ให้พวกเขาดีเด่นอย่างมีเกียรติเหนือกว่าผู้ที่เราได้ให้บังเกิดมาเป็นส่วนใหญ่” อัล-กุรอ่าน (17: 70)
 
“โดยแน่นอนเราได้บังเกิดมนุษย์มาในรูปแบบที่สวยงามยิ่ง” อัล-กุรอ่าน (95: 4)
 
            ในทัศนะอิสลาม เกียรติศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ที่ได้รับจากผู้เป็นเจ้านี้จะต้องได้รับการปกป้องซึ่งหมายรวมถึงผู้ที่เป็นศัตรูต่ออิสลาม เด็ก สตรีและคนชรา  ดังนั้น เมื่อการกล่าวถึงประเด็นความขัดแย้งในมุมมองของอิสลามจึงต้องให้ความสำคัญและเคารพในเกียรติศักดิ์ศรีของคนทุกฝ่ายในขั้วความขัดแย้งซึ่งสิ่งนี้เป็นคุณค่าสำคัญของวิถีทางสันติวิธี
 
4. ความเท่าเทียม
 
ในคำสอนของอิสลามนั้นให้ความสำคัญมากกว่าเพียงเพื่อให้ความขัดแย้งเฉพาะกรณีหนึ่งๆ ยุติลงไป แต่คำสนอยังมีความมุ่งมาดปรารถนาที่จะนำสู่การบรรลุความเป็นครอบครัวเดียวกันของมนุษย์ คุณค่าเรื่องความเท่าเทียมกันในหมู่มวลสมาชิกในสังคมเป็นเรื่องสำคัญในอิสลามเพราะอิสลามมองว่ามนุษย์ทุกคนล้วนมากจากจุดกำเนิดเดียวกัน   
 
“โอ้มนุษยชาติทั้งหลาย แท้จริงเราได้สร้างพวกเจ้าจากเพศชาย และเพศหญิง และเราได้ให้พวกเจ้าแยกเป็นเผ่า และตระกูลเพื่อจะได้รู้จักกัน แท้จริงผู้ที่มีเกียรติยิ่งในหมู่พวกเจ้า ณ ที่อัลลอฮ.นั้น คือผู้ที่มีความยำเกรงยิ่งในหมู่พวกเจ้า แท้จริงอัลลอฮ.นั้นเป็นผู้ทรงรอบรู้อย่างละเอียดถี่ถ้วน” อัล-กุรอ่าน (49: 13)
 
ในหลักอิสลามไม่ได้ให้สิทธิพิเศษแก่ผู้คนบนพื้นฐานของเชื้อชาติหรือชาติพันธุ์ ตลอดจนฐานะเงินทองหรือชนชั้นทางสังคม หากตัดสินด้วยความศรัทธาต่อผู้เป็นเจ้าและคุณธรรมความดีงามเพราะทุกคนต่างเป็นสิ่งถูกสร้างจากผู้เป็นเจ้าอย่างเท่าเทียมกัน ท่านศาสดามุฮัมหมัดได้กล่าวถึงความเท่าเทียมกันของมนุษย์ไว้ว่า
 
“มนุษย์ทุกคนต่างเท่าเทียมกันดั่งก้านของหวี คนอาหรับไม่ได้เหนือกว่าคนที่ไม่ใช่อาหรับ หรือผู้ชายก็ไม่ได้เหนือกว่าผู้หญิง ผู้ที่มีความยำเกรงต่อผู้เป็นเจ้าเท่านั้นที่เป็นชื่นชอบของพระองค์”     
 
ท่านอิบนิ ตัยมียะฮ์ นักวิชาการคนสำคัญของโลกมุสลิม (ค.ศ.1263- 1328) ได้ให้ความเห็นว่า “ผู้ที่มีความอยากอยู่สูงเหนือผู้อื่นนั้น นับเป็นสิ่งที่อยุติธรรมเพราะมนุษย์ทุกคนต่างเป็นสัตว์สปีซี่ (ชนิด) เดียวกัน”  อิสลามมองว่ามนุษย์ทุกคนต่างเป็นลูกหลานของท่านนบีอาดัมกับนางฮาวา ซึ่งมุมมองดังกล่าวเป็นข้อเสนอของทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องในความขัดแย้งและเรียกร้องสู่ความสมานฉันท์
 
5. ความศักดิ์สิทธิ์แห่งชีวิตมนุษย์
 
แนวทางการสร้างสันติภาพและสันติวิธีมีพื้นฐานคุณคื่ที่ว่าชีวิตมนุษย์นั้นศักดิ์สิทธิ์และมีคุณค่าที่จะต้องได้รับความปลอดภัยและได้รับการปกป้องจากความรุนแรง ทั้งนี้เนื่องจากมนุษย์ไม่ได้เกิดขึ้นมาโดยบังเอิญหากแต่ถูกสร้างจากผู้เป็นเจ้าอย่างมีความหมายและมีเป้าหมายที่ชัดเจน 
 
“และเรามิได้สร้างชั้นฟ้าและแผ่นดิน และสิ่งที่อยู่ในระหว่างทั้งสอง เพื่อการสนุกสนานอย่างไร้ประโยชน์” อัล-กุรอ่าน (21: 16)
 
“และเรามิได้สร้างชั้นฟ้าทั้งหลาย และแผ่นดิน และสิ่งที่อยู่ระหว่างทั้งสองอย่าง อย่างไร้สาระ” อัล-กุรอ่าน (44: 38)
           
และคุณค่าคำสอนของอิสลามได้ให้ความสำคัญและรับประกันว่าชีวิตและการงานของมนุษย์จะต้องได้รับการปกป้องและห้ามมีการล่วงละเมิด การฆ่าทำลายชีวิตมนุษย์ผู้บริสุทธิ์คนหนึ่งโดยไร้เหตุผลจึงนับเป็นบาปใหญ่ในอิสลาม
 
“แท้จริงผู้ใดฆ่าชีวิตหนึ่งก็ประหนึ่งว่าเขาได้ฆ่ามนุษย์ทั้งมวล และหากผู้ใดรักษาชีวิตหนึ่งก็ประหนึ่งว่าเขาได้รักษาชีวิตมนุษย์ทั้งมวล” อัล-กุรอ่าน (5: 32)
 
หรือแม้แต่การทำลายทรัพยากรอันเป็นแหล่งหล่อเลี้ยงชีวิตมนุษย์ก็เป็นสิ่งต้องห้ามในอิสลาม ดังตัวอย่างในช่วงยุคต้นของอิสลาม ท่านอะบูบักร ผู้นำท่านแรกที่สืบทอดการปกครองต่อจากท่านนบีมุฮัมหมัด (ซ.ล.) ได้วางกฎเกณฑ์ในช่วงการทำสงครามไว้ดังนี้
 
โอ้พี่น้องทั้งหลาย ฉันขอวางกฎเกณฑ์ เพื่อเป็นแนวทางแก่ท่านในสนามรบ ดังนี้ จงอย่าทรยศหรือเบี่ยงเบนไปจากหนทางที่ถูกต้อง  จงอย่าทำร้ายศพที่ตายไปแล้ว จงอย่าฆ่าเด็ก ผู้หญิง คนชรา หรือผู้ป่วย จงอย่าสร้างความเสียหายหรือเผาต่อต้นไม้ (จงอย่าฆ่าศัตรูคนใดที่อยู่ในศาสนสถาน จงสำรองอาหาร ท่านจะผ่านพบผู้คนที่อุทิศตนให้กับการบำเพ็ญธรรม (นักบวชในศาสนาอื่น) จงอย่าฆ่าคนเหล่านั้น
 
            โดยสรุป การริเริ่มสู่การสร้างสันติภาพในอิสลามจึงต้องสร้างและพัฒนาเงื่อนไขที่จะปกป้องชีวิตและเกียรติศัดิ์ศรีของมนุษย์ และสนับสนุนความเท่าเทียมกันของทุกคนไม่ว่าเขาจะมีเชื้อชาติ หรือนับถือศาสนาใดก็ตาม
 
6. การมุ่งสู่สันติสุข 
 
สันติภาพที่แท้จริงในทัศนะอิสลามคือ สภาวะที่กลมกลืนกันทั้งทางด้านกายภาพ จิตใจและจิตวิญญาน เป็นการดำรงอยู่อย่างสันติโดยยอมจำนนต่อผู้เป็นเจ้า ตลอดจนอยู่ร่วมกับผู้อื่นอย่างสันติและด้วยความยุติธรรมอันเป็นเป้าหมายของการดำรงอยู่ของมนุษย์
 
ดังนั้น สันติภาพจึงเป็นสภาวะทั้งในระดับภายในของปัจเจกบุคคลและในระดับสังคม โดยมีผู้เป็นเจ้าทรงเป็นคุ้มครองรักษา การยอมจำนนต่ออำนาจผู้เป็นเจ้าโดยสมบูรณ์จึงเป็นหลักรับประกันในการสร้างสันติภาพในทัศนะอิสลาม
 
“เจ้าจงปราบความชั่ว ด้วยสิ่งที่ดียิ่ง (คือ ด้วยการอภัย และทำตัวเป็นผู้มีมารยาทดี เพื่อดึงดูดจิตใจ ทำให้การเป็นศัตรูกลายเป็นมิตร และความโกรธแค้นกลายเป็นความรักใคร่)” อัล-กุรอ่าน (23: 96)
 
“และหากพวกเขาโอนอ่อนมาเพื่อการประนีประนอมแล้ว เจ้าก็จงโอนอ่อนตามเพื่อการนั้นด้วย และจงมอบหมายแต่อัลลอฮฺเถิด แท้จริงนั้นพระองค์คือผู้ทรงได้ยินทรงรอบรู้” อัล-กุรอ่าน (8: 61)      
 
            ชีวิตของท่านนบีมุฮัมหมัด (ซ.ล.) ได้เรียกร้องให้ยุติความรุนแรงและการตอบโต้ความชั่วร้ายด้วยความดีงาม ครั้งหนึ่ง มีชาวยิวคนหนึ่งได้มาหาท่านนบีและกล่าวว่า “ขอความตายจงประสบแก่ท่าน” ท่านหญิงอาอิชะฮ์ ผู้เป็นภรรยาได้ยินเช่นนั้นก็รู้สึกโกรธและตอบโต้ด้วยการขออัลลอฮ์ (ซ.บ.) สาปแช่งชาวยิวผู้นั้น ท่านนบีจึงปลอบท่านหญิงอาอิชะฮ์ว่า “จงสุภาพเถิด โอ้ อาอิชะฮ์ และขอให้ท่านเอาตัวออกห่างจากความหยาบคาย” 
 
            อิสลามจึงเป็นศาสนาที่เรียกร้องให้มุสลิมต้องเป็นผู้ใฝ่ในสันติไม่ใช่กระหายสงครามและนิยมความรุนแรง แม้ว่าชีวิตของท่านศาสดาจะถูกดูถูกเหยียดหยาม ถูกทำร้าย หรือแม้กระทั่ง บรรดาญาติและมิตรสหายผู้ใกล้ชิดถูกฆ่าอย่างโหดร้ายและแม้กระทั่งศพพวกเขายังถูกทำร้ายอย่างป่าเถื่อนจนท่านเสียใจเป็นที่สุด แต่ท่านไม่เคยคิดเครียดแค้นต่อศัตรูของอิสลามและกลับให้อภัยพวกเขาเหล่านั้นจนท่านชนะจิตใจของชนชาวมักกะฮ์ในที่สุด เพราะท่านยึดมั่นในคำสอนอัล-กุรอ่านที่ว่า 
  
“และความดีและความชั่วนั้นหาเท่าเทียมกันไม่ เจ้าจงขับไล่ (ความชั่ว) ด้วยสิ่งที่มันดีกว่าแล้วเมื่อนั้นผู้ที่ระหว่างเจ้ากับระหว่างเขาเคยเป็นอริกันก็จะกลับกลายเป็นเยี่ยงมิตรที่สนิทกัน” อัล-กุรอ่าน (41: 34)
 
“และจงเชื่อฟังอัลลอฮฺ และร่อซูลของพระองค์เถิด และจงอย่าขัดแย้งกัน จะทำให้พวกเจ้าย่อท้อ และทำให้ความเข้มแข็งของพวกเจ้าหมดไป และจงอดทนเถิด แท้จริงอัลลอฮฺนั้นทรงอยู่กับผู้ที่อดทนทั้งหลาย” อัล-กุรอ่าน (8: 46)
 
            อย่างไรก็ตาม คงจะไม่สามารถกล่าวถึงหลักการและคุณค่าในการสร้างสันติภาพในทัศนะอิสลามได้อย่างสมบูรณ์หากไม่มีการพูดถึงประเด็นเรื่องคุณค่าของ “การญิฮาด” ถึงแม้ว่า นักวิชาการมุสลิมต่างยอมรับถึงเงื่อนไขที่จำกัดของการสามารถใช้กำลังได้ แต่ก็มีการถกเถียงอย่างมากในหมู่นักวิชาการทั้งมุสลิมและผู้ไม่ใช่มุสลิมเกี่ยวกับบริบทและการตีความหมายเกี่ยวกับ “การญิฮาด” มีงานศึกษาจำนวนมากที่สรุปว่า “ญิฮาด” ไม่ได้หมายถึง การใช้อาวุธเข้าแก้ไขปํญหาความขัดแย้งกับศัตรูที่ไม่ใช่เป็นชาวมุสลิม หรือกับชาวมุสลิมด้วยกัน หากอัล-กุรอ่าน ได้ชี้ให้เห็นถึงความเป็นไปได้ในการทำญิฮาดแบบสันติวิธี เช่น การต่อสู้เพื่อเอาชนะอารมณ์ของตนเอง ซึ่งถือว่าเป็นการญิฮาดที่ยิ่งใหญ่และทำสำเร็จได้ยากที่สุด เป็นต้น  
 
มีความเข้าใจที่ผิดพลาดของคนจำนวนมาก (ทั้งมุสลิมหรือไม่ใช่มุสลิม) ไม่ว่าจะเป็นไปโดยความตั้งใจหรือไม่ก็ตาม ที่ให้ความหมายของคำว่า “ญิฮาด” ว่าหมายถึง การทำ “สงครามศักดิ์สิทธิ์” (holy war) ในประเด็นนี้ Khaled Abou El Fadl[7]  ศาสตราจารย์ด้านกฎหมายอิสลาม ได้ให้ทัศนะอย่างน่าสนใจว่า ในทางเทววิทยาอิสลาม “สงคราม” ไม่เคยศักดิ์สิทธิ์ (holy) ไม่ว่าสงครามนั้นจะเป็นไปโดยชอบธรรมหรือไม่ หากเป็นสงครามที่ชอบธรรมเพื่อป้องกันศาสนาตัวเอง ผู้ที่เสียชีวิตในสนามรบถือว่าเป็นผู้ที่พลีชีพเพื่อศาสนา (martyrs) คัมภีร์อัล-กุรอ่าน ไม่เคยยอมรับการทำสงครามที่ไร้ขอบเขต ไม่มีที่สิ้นสุด และต่อต้านการใช้เหตุผลเพียงผิวเผินเพื่อสร้างความชอบธรรมในการทำสงคราม และแม้แต่การพลีชีพเพื่อศาสนาหากเป็นไปเพียงเพื่อต้องการสนองอารมณ์ส่วนตัว ผู้พลีชีพนั้นจะต้องถูกพิพากษาจากพระผู้เป็นเจ้าเป็นบุคคลแรก ดังมีรายงานจากอัล-หะดิษ ดังนี้
 
จากรายงานของท่านอะบู ฮุรอยเราะฮ์ ได้รายงานว่า ท่านนบีมุฮัมหมัด (ซ.ล.) ได้กล่าวว่า
 
“บุคคลแรกที่จะถูกสอบสวนในวันพิพากษา (หลังจากที่เสียไปชีวิตแล้ว) คือ บุคคลที่ตายในฐานะผู้ที่พลีชีพเพื่อศาสนา (martyrs)   เขาจะถูกนำมาอยู่ต่อหน้าองค์พระผู้เป็นเจ้า พระผู้เป็นเจ้าจะบอกให้เขานับความโปรดปรานที่พระองค์มอบให้แก่เขาเมื่ออยู่ในโลกนี้ และเขาก็จะนับมัน หลังจากนั้น พระผู้เป็นเจ้าจะถามว่า ‘แล้วท่านได้ทำสิ่งใด (ให้ฉัน) บ้าง’ เขาจะตอบว่า ‘ข้าพระองค์ได้ต่อสู้เพื่อพระองค์จนกระทั่งกลายเป็นผู้พลีชีพเพื่อศาสนา’ และพระผู้เป็นเจ้าจะกล่าวขึ้นว่า ‘ท่านกำลังพูดโกหก ท่านได้ต่อสู้เพียงเพื่ออยากจะได้ชื่อว่าเป็นนักรบผู้กล้าหาญเท่านั้น และท่านก็ได้รับชื่อเสียงนั้นไปแล้ว’ ดังนั้น เขาจึงถูกพิพากษาให้ตกนรกไปในที่สุด” (หะดิษ-ศอเฮี๊ยะมุสลิม 4688)
 
7. การสร้างสันติภาพเพื่อลดความขัดแย้ง
 
การสื่อสารกันแบบตัวต่อตัวในท่ามกลางความขัดแย้งนั้นย่อมมีผลดีกว่าการละเลยปัญหาหรือใช้ความรุนแรงในการแก้ไขปัญหา การเจรจาสื่อสารกันจึงเป็นการช่วยลดความขัดแย้งที่รุนแรงลงได้และช่วยแสดงออกถึงความเสียใจที่เคยกระทำไปโดยทุกฝ่าย ในที่นี้ ผู้เป็นคนกลางมีบทบาทสำคัญในการเจรจาสร้างสันติภาพเพื่อลดความขัดแย้งอันอาจนำสู่การใช้ความรุนแรง
 
อิสลามสนับสนุนให้มุสลิมมีบทบาทและทำหน้าที่ในการเป็นผู้ประสานขั้วขัดแย้งเพื่อให้เกิดความเข้าใจซึ่งกันและกัน
 
“และหากมีสองฝ่ายจากบรรดาผู้ศรัทธาทะเลาะวิวาทกัน พวกเจ้าก็จงไกล่เกลี่ยระหว่างทั้งสองฝ่าย หากฝ่ายหนึ่งในสองฝ่ายนั้นละเมิดอีกฝ่ายหนึ่ง พวกเจ้าก็จงปรามฝ่ายที่ละเมิดจนกว่าฝ่ายนั้นจะกลับสู่พระบัญชาของอัลลอฮฺ ฉะนั้นหากฝ่ายนั้นกลับ (สู่พระบัญชาของอัลลอฮฺ) แล้วพวกเจ้าก็จงประนีประนอมระหว่างทั้งสองฝ่ายด้วยความยุติธรรม และพวกเจ้าจงให้ความเที่ยงธรรม(แก่ทั้งสองฝ่าย) เถิด แท้จริงอัลลอฮฺทรงรักใคร่บรรดาผู้ให้ความเที่ยงธรรม”   อัล-กุรอ่าน (49: 9)
 
“ไม่มีความดีใดๆ ในการพูดซุบซิบอันมากมายของพวกเขา นอกจากผู้ที่ใช้ให้ทำทานหรือให้ทำสิ่งที่ดีงาม นอกจากผู้ที่ใช้ให้ทำงานหรือให้ทำสิ่งที่ดีงาม หรือให้ประนีประนอมระหว่างผู้คนเท่านั้น และผู้ใดกระทำดังกล่าวเพื่อแสวงหาความโปรดปรานจากอัลลอฮฺแล้ว เราจะให้แก่เขาซึ่งรางวัลอันใหญ่หลวง” อัล-กุรอ่าน (4: 114)
           
ดังนั้น จากคำสอนของอิสลามให้หลีกเลี่ยงการเผชิญหน้าด้วยความก้าวร้าวรุนแรงและมีอคติระหว่างกันจึงสอดคล้องและมีประสิทธิภาพตามหลักการของการสร้างสันติภาพเพื่อลดความขัดแย้งที่จะนำสู่ความรุนแรง
 
8. การให้อภัย
 
อิสลามมีคำสอนเช่นเดียวกับศาสนาอื่นๆ ในหลายศาสนาที่ให้คุณค่าอย่างมากกับการรู้จักให้อภัยมากกว่าการมุ่งโกรธเกลียดเคียดแค้น
 
“และการตอบแทนความชั่วคือความชั่วเยี่ยงมัน แต่ผู้ใดอภัย และไกล่เกลี่ยคืนดีกัน รางวัลตอบแทนของเขาอยู่ที่อัลลอฮฺ แท้จริงพระองค์ไม่ชอบบรรดาผู้อธรรม” อัล-กุรอ่าน (42: 40)  
           
การให้อภัยเป็นวิถีที่ผู้คน (ทั้งมุสลิมและไม่ใช่มุสลิม) พึงมีต่อกันและกัน ดังที่คัมภีร์อัล-กุรอ่าน กล่าวไว้ว่า
 
“เจ้า (มุฮัมมัด) จงยึดถือไว้ซึ่งการอภัย และจงใช้ให้กระทำสิ่งที่ชอบ และจงผินหลังให้แก่ผู้โฉดเขลาทั้งหลายเถิด” อัล-กุรอ่าน (7: 199)  
 
“และบรรดาผู้ที่หลีกเลี่ยงการทำบาปใหญ่และการทำลามก และเมื่อพวกเขาโกรธพวกเขาก็อภัยให้” อัล-กุรอ่าน (42: 37)  
 
            เมื่อท่านนบีสามารถเข้าครอบครองเมืองมักกะฮ์ พร้อมกับบรรดาอัครสาวกผู้ติดตามจำนวนมาก และเมื่อท่านพบกับชาวมักกะฮ์ผู้ไล่ล่าและเข่นฆ่าทำร้ายชาวมุสลิมอย่างโหดร้าย แต่ท่านกลับยกมือขอพรจากผู้เป็นเจ้าว่า “ขอผู้เป็นเจ้าทรงให้อภัยพวกเขาเหล่านั้นด้วยเถิด เพราะพวกเขาไม่รู้ในสิ่งที่ตนเองได้ทำไป” ความเมตตาต่อผู้อื่นเป็นคุณค่าสำคัญในอิสลามและเป็นเงื่อนไขที่จะนำสู่การให้อภัย อิสลามสอนว่า “ผู้เป็นเจ้าจะให้อภัยต่อผู้ที่มีความเมตตาต่อผู้อื่น” หรือ” ผู้ใดที่ไร้ความเมตตา ไร้ความดี” และเมื่อท่านนบีถูกชาวมุสลิมเรียกร้องให้ทำการแก้แค้นต่อชาวมักกะฮ์ที่เคยทำร้ายชาวมุสลิมอย่างโหดร้าย ท่านจึงได้ยกคำสอนของผู้เป็นเจ้าว่า
 
“และเรามิได้ส่งเจ้า (มุฮัมหมัด) มาเพื่ออื่นใดนอกจากเพื่อเป็นความเมตตาแก่ประชาชาติทั้งหลาย” อัล-กุรอ่าน (21: 107)  
 
การให้อภัยนับเป็นคุณค่าสำคัญในหลักการและกระบวนการแก้ไขความขัดแย้งทั้งในทางทฤษฎีและปฏิบัติการของการสร้างสันติภาพทั่วโลก
 
9. ความรับผิดชอบในการกระทำและการตัดสินใจ
 
อิสลามเป็นศาสนามองว่าการปฏิบัติเป็นสิ่งพิสูจน์ความศรัทธาของคนเป็นมุสลิม และมนุษย์ทุกคนจะต้องถูกสอบสวนในวันฟื้นคืนชีพและจะต้องรับผิดชอบในการกระทำทุกอย่างของตนเอง 
 
“ดังนั้นผู้ใดกระทำความดีหนักเท่าละอองธุลี เขาก็จะเห็นมัน ส่วนผู้ใดกระทำความชั่วหนักเท่าละอองธุลีเขาก็จะเห็นมัน” อัล-กุรอ่าน (99: 7-8)  
 
“หากพวกเจ้าทำความดี พวกเจ้าก็ทำเพื่อตัวของเจ้าเอง และหากว่าพวกเจ้าทำความชั่วก็เพื่อตัวเอง” อัล-กุรอ่าน (21: 107)  
 
“แท้จริง บรรดาผู้ศรัทธาและประกอบคุณงามความดีทั้งหลายนั้น พระผู้ทรงกรุณาปรานีจะทรงโปรดปรานความรักใคร่แก่พวกเขา” อัล-กุรอ่าน (19: 96)  
 
“ผู้ใดปฏิบัติความดีไม่ว่าจะเป็นเพศชายหรือเพศหญิงก็ตาม โดยที่เขาเป็นผู้ศรัทธา ดังนั้นเราจะให้เขาดำรงชีวิตที่ดี และแน่นอนเราจะตอบแทนพวกเขาซึ่งรางวัลของพวกเขา ที่ดียิ่งกว่าที่พวกเขาได้เคยกระทำไว้” อัล-กุรอ่าน (16: 97)  
 
            สำหรับมุสลิมมีความรับผิดชอบส่วนบุคคล 3 ประการ ที่จะถูกตัดสินโดยผู้เป็นเจ้าคือ
 
1) ความรับผิดชอบต่ออัลลอฮ์ (ซ.บ.) ผู้เป็นเจ้า เกี่ยวกับการปฏิบัติตนตามศาสนบัญญัติ
 
2) ความรับผิดชอบต่อตนเอง คือ อยู่อย่างเป็นสุขสงบกับตัวเอง
 
3) ความรับผิดชอบต่อผู้อื่น คือ อยู่ร่วมกับผู้อื่นอย่างสันติ
 
ท่านนบีมุฮัมหมัด (ซ.ล.) ย้ำว่าทุกคนมีอำนาจในการเลือกตัดสินใจในการกระทำของตนเอง และทุกคนจะได้รับผลในการตัดสินนั้นๆ จากผู้เป็นเจ้าอย่างเที่ยงธรรม ดังนั้น การให้ความช่วยเหลือและเอื้ออาทรต่อผู้อื่น การมีส่วนร่วมในการพัฒนาชุมชนและสร้างสรรค์ให้เกิดสันติภาพในสังคมจึงนับเป็นการกระทำดีที่เราจะได้รับรางวัลจากผู้เป็นเจ้า
 
10. ความอดทน
 
มุสลิมถูกสอนให้ต้องเป็นผู้อดทนซึ่งเป็นคุณค่าสำคัญของผู้มีความศรัทธาในผู้เป็นเจ้าไม่ว่าเขาจะเผชิญกับความยากลำบากอย่างมากมายเช่นไรก็ตาม
 
“บรรดาผู้ศรัทธาทั้งหลาย! จงอาศัยความอดทน และการละหมาดเถิด แท้จริงอัลลออ์นั้นทรงอยู่ร่วมกับผู้อดทนทั้งหลาย” อัล-กุรอ่าน (2: 153)  
 
“แน่นอนยิ่งพวกเจ้าจะถูกทดสอบ...และหากพวกเจ้าอดทนและยำเกรงแล้ว แท้จริงนั่นคือส่วนหนึ่งจากกิจการที่เด็ดเดี่ยว” อัล-กุรอ่าน (3: 186)
 
“โอ้บรรดาผู้ศรัทธาทั้งหลาย ! จงมีความอดทน และจงต่างอดทนซึ่งกันและกันเถิด” อัล-กุรอ่าน (3: 200)
 
ความอดทนเป็นคุณลักษณะสำคัญของผู้มีความศรัทธารวมทั้งคนทำงานด้านการสร้างสันติภาพในการรณรงค์สู่เปลี่ยนแปลงสังคมด้วยสันติวิธี ดังนั้น การเรียกร้องให้มุสลิมใช้ความอดทนและรู้จักควบคุมตนเองในสถานการณ์ความขัดแย้งจะทำให้เป็นนักสร้างสันติภาพที่ดีในท่ามกลางความขัดแย้ง  
 
11. กระบวนการมีส่วนร่วมและยอมรับซึ่งกันและกัน
 
การมีส่วนร่วมและเปิดใจยอมรับทุกฝ่ายย่อมเป็นผลดีและมีประสิทธิภาพมากกว่าการใช้อำนาจแบบเผด็จการและปิดกั้นการตัดสินใจ ยุทธศาสตร์ในการสร้างสันติภาพวางอยู่บนพื้นฐานให้ทุกฝ่ายเข้าสู่การเจรจาบนพื้นฐานของผลประโยชน์ร่วมกันหรืออาจใช้คนกลางช่วยดำเนินการในการไกล่เกลี่ย
 
อิสลามส่งเสริมให้มนุษย์เปิดใจกว้างมากกว่าที่จะมีจิตใจคับแคบ โดยใช้หลักความยุติธรรมแทนที่ความอยุติธรรม หลักการนี้สะท้อนได้ดีในระบบการปกครองแบบชูรอ (การปรึกษาหารือ)  ความหมายของระบบชูรอ คือ ความสมานฉันท์ในสังคมที่เกิดจากการที่ทุกฝ่ายได้พูดคุยเสวนากันโดยอิสระอย่างแท้จริง แสดงความคิด ความเห็นได้อย่างเต็มที่ โดยผู้ปกครองจะเก็บรวมรวมความเห็นหรือคำแนะนำทั้งหมดจากหมู่มวลสมาชิกเพื่อประกอบการตัดสินใจต่อไป
 
“และบรรดาผู้ตอบรับต่อพระเจ้าของพวกเขาและดำรงละหมาด และกิจการของพวกเขามีการปรึกษาหารือระหว่างพวกเขา” อัล-กุรอ่าน (42: 38)
 
            บทบาทสำคัญของกระบวนการชูรอในระบบการปกครองตามแนวอิสลามเป็นที่ถกเถียงในกันอย่างมากในแวดวงหมู่นักวิชาการโดยเฉพาะกลุ่มที่เห็นว่า ระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตยไมได้ขัดกับหลักการของอิสลาม ทั้งนี้เนื่องจากผู้เข้าร่วมในระบบชูรอจะประกอบด้วยผู้คนทุกภาคส่วนในสังคม โดยยึดหลักการสำคัญดังนี้
 
1) เป็นการปกครองเพื่อคนโดยส่วนรวม เป็นความพึงใจและได้รับความเห็นชอบจากคนทั้งชุมชนมากกว่าจากผู้ที่เป็นตัวแทนเท่านั้น
 
2) การจะได้รับการมีชีวิตที่ดี มีศาสนาและนำสู่ประโยชน์สาธารณะร่วมกันนั้น ไม่ใช่เป็นหน้าที่ของผู้ปกครองเท่านั้น เช่น ระบบการจ่ายซะกาต เป็นหน้าที่รับผิดชอบของมุสลิมทุกคนที่จะต้องให้ความช่วยเหลือค้ำจุนสมาชิกอื่นๆ ในสังคม 
 
3) เสรีภาพเป็นสิทธิของคนทุกคน หากเสรีภาพในการแสดงออกไม่ได้รับการรับรองในสังคม ระบบชูรอก็ย่อมไม่ได้รับการปฏิบัติอย่างแท้จริง
 
4) มนุษย์ทุกคนต่างมีความเท่าเทียมกัน มีพ่อ-แม่ คนเดียวกัน และต่างถูกสร้างมาจากวิญญาณเดียวกัน
 
5) ผู้อื่นที่ต่างจากเราย่อมมีสิทธิอำนาจเช่นกัน
 
6) การกดขี่และการไร้ความยุติธรรมเป็นสิ่งต้องห้ามเนื่องจากเป็นสิ่งที่ขัดกับหลักคำสอนของอิสลามอย่างร้ายแรง
 
7) หลักการของระบบชูรอเป็นไปตามระบบกฎหมายอิสลามซึ่งจะต้องได้รับการปฏิบัติตามทั้งโดยผู้ปกครองและประชาชนทั่วไป หลักดังกล่าวจะช่วยปกป้องประชาชนจากการฉ้อฉลของผู้ปกครอง 
 
12. ความเป็นพหุลักษณ์และความหลากหลาย
 
ในประเพณีคำสอนของอิสลาม ความเป็นพหุลักษณ์และความหลากหลายเป็นคุณค่าที่มีความสำคัญอย่างมาก อัล-กุรอ่าน ได้ระบุถึงการให้มีความอดกลั้นต่อความหลากหลายที่ว่างอยู่บนพื้นฐานความแตกต่างทางเพศ สีผิว  ภาษา ความเชื่อและตำแหน่งทางสังคม ความสมานฉันท์ท่ามกลางความแตกต่างหลากหลายนับเป็นคุณค่าที่ดีงามของสังคม ในขณะที่ ความพยายามจะแข่งขันและควบคุมเหนือผู้อื่นเป็นสิ่งที่ถูกตำหนิ อิสลามเชื่อว่าความแตกต่างเป็นลักษณะธรรมชาติของมนุษย์ และเป็นเจตจำนงค์ของผู้เป็นเจ้า
 
“และหากพระเจ้าของเจ้าทรงประสงค์แน่นอนพระเองค์จะทรงทำให้ปวงมนุษย์เป็นประชาชาติเดียวกัน แต่พวกเขาก็ยังคงแตกแยกกัน” อัล-กุรอ่าน (11: 118)
 
ดังนั้น อิสลามได้เน้นให้มุสลิมมีความอดกลั้นต่อผู้อื่นที่แตกต่างจากตน โดยเฉพาะผู้ที่ไม่ใช่มุสลิม และจะต้องปฏิบัติดีต่อผู้อื่นโดยไม่ได้ใช้ความแตกต่างทางความเชื่อของศาสนามาเป็นเส้นแบ่งแยก นอกจากนั้นอัล-กุรอ่าน ได้เรียกร้องให้มุสลิมละเว้นการต่อสู้และอยู่ร่วมกับผู้อื่นอย่างสันติสุข
 
ธรรมนูญมะดีนะฮ์ ซึ่งเป็นสัญญาที่ลงนามโดยท่านนบีมุฮัมหมัด (ซ.ล.) กับชนอาหรับหลายศาสนา หลายเผ่าพันธุ์ นับเป็นตัวอย่างของการอยู่ร่วมกันท่ามกลางความหลากหลายด้วยความอดกลั้น โดยถือว่าเป็นชุมชนหนึ่งเดียวกัน และจะร่วมกันปกป้องและช่วยเหลือกันและกันหากชนกลุ่มหนึ่งกลุ่มใดถูกโจมตีจากศัตรูภายนอก  
           
จากการให้ความเคารพและยอมรับในความหลากหลายดังกล่าว สามารถสรุปเป็นหลักการของอิสลามเพื่อให้มุสลิมดำรงอยู่ร่วมกับผู้อื่นอย่างสันติสุขในท่ามกลางความหลากหลาย ดังนี้
 
1. เกียรติศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์จะต้องได้รับการปกป้องโดยสมบูรณ์ไม่ว่าคนผู้นั้นจะมีความแตกต่างทางศาสนาความเชื่อ ชาติพันธุ์ หรืออุดมการณ์ความคิดใดๆ ซึ่งศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์นี้ได้รับการปกป้องโดยผู้เป็นเจ้า อัล-กุรอ่าน (17: 70)
 
2. มนุษย์ทุกคนต่างมาจากแหล่งกำเนิดเดียวกัน อัล-กุรอ่าน (4: 1; 6: 98; 5: 32)
 
3. ความแตกต่างหลากหลายของมนุษย์เป็นสิ่งสรรสร้างและเป็นกฎของผู้เป็นเจ้า อัล-กุรอ่าน (30: 22; 10: 99; 11: 118-119)
 
4. อิสลามไม่ยอมรับในการละเมิดศาสนาอื่นๆ อัล-กุรอ่าน (42: 15)
 
5. มุสลิมมีเสรีภาพที่จะเลือกและตัดสินใจหลังจากที่ผู้เป็นเจ้าได้ส่งสารอันชัดแจ้งแล้ว (อัล-กุรอ่าน 2:256; 18:29; 17:107; 109:4-6)
 
6. ผู้เป็นเจ้าคือผู้ที่จะเป็นผู้ตัดสินการกระทำของมนุษย์ทุกคนแต่เพียงพระองค์เดียว ท่านนบีเป็นเพียงผู้นำสารของพระองค์เท่านั้น (อัล-กุรอ่าน 42:48; 16:124; 31:23; 88:25, 26)
 
7. มุสลิมจึงต้องปฏิบัติแต่ความดีงาม ดำรงความเท่าเทียมและความยุติธรรมในการมีปฏิสัมพันธ์กับเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน (อัล-กุรอ่าน 5:9; 4:135; 60:8)
 
ความอดกลั้นต่อความแตกต่างและการเคารพในความหลากหลายนับเป็นแก่นของหลักปฏิบัติในแนวทางการสร้างสันติภาพ นักสร้างสันติภาพต่างมีความหวังที่จะให้ผู้คนตระหนักในความแตกต่างเพื่อที่จะไม่ถูกนำไปใช้ในการเลือกปฏิบัติหรือสร้างอคติใดๆ คุณค่าเหล่านี้เป็นหลักการสำคัญในคำสอนของอิสลาม เพราะความหลากหลายเป็นพระประสงค์และเป็นอำนาจสิทธิ์ขาดของผู้เป็นเจ้าแต่เพียงองค์เดียวที่มุสลิมทุกคนต้องให้การยอมรับเพราะมาดแม้พระองค์สงค์ประสงค์ที่จะทำให้มนุษย์เป็นหนึ่งเดียวเหมือนกันทั้งหมดย่อมพระองค์ย่อมมีอำนาจที่จะทำได้อย่างแน่นอน   
 
สรุป
 
            บทความนี้เริ่มต้นด้วยการอธิบายหลักการและข้อสมมุติฐานเกี่ยวกับความเชื่อและการปฏิบัติเกี่ยวกับการแก้ไขความขัดแย้งและสันติวิถีในวิถีอิสลาม โดยคำสอนเชิงคุณค่าที่หยิบยกในการนำเสนอในบทความทั้งหมดล้วนมาจากแหล่งข้อมูลสำคัญของอิสลามคือ อัล-กุรอ่าน และอัล-หะดิษ คุณค่าเหล่านั้นได้แสดงให้เห็นว่ามีคำสอนเชิงคุณค่าและแบบอย่างมากมายในศาสนาอิสลามดังที่ ชัยวัฒน์ สถาอานันท์ ใช้คำว่า “อิสลามในตัวของมันเองเป็นศาสนาที่อุดมไปด้วยเมล็ดพันธุ์มากมายที่มีศักยภาพในการใช้แนวทางการสร้างสันติภาพและสันติวิธี” 
 
             กรอบแนวคิดเกี่ยวกับการสร้างสันติภาพและสันติวิธีในวิถีอิสลามดังที่ได้นำเสนอในบทความนี้ มีนัยสำคัญในหลายแง่มุมสำหรับการทำโครงการจัดการความขัดแย้ง (ทั้งที่เกิดขึ้นภายใน หรือภายนอก) ของชุมชนมุสลิม กรอบแนวคิดนี้ สามารถช่วยส่งเสริมสู่จุดมุ่งหมายในการสร้างสันติภาพได้หลายประการได้แก่
 
            1. เพิ่มความสมานฉันท์ขึ้นในชุมชน
 
            2. ช่วยประสานช่องว่างของความไม่ยุติธรรมทางสังคมและเศรษฐกิจ
 
            3. ปลดปล่อยความทนทุกข์ทรมานของผู้คนและช่วยปกปักษ์รักษาชีวิตมนุษย์
 
            4. เสริมสร้างความเข้มแข็งให้กับอำนาจของประชาชนผ่านการมีส่วนร่วมและมีความใจกว้าง
 
            5. สนับสนุนความเท่าเทียมในหมู่มวลสมาชิกของชุมชน
 
            6. สร้างคุณค่าของความอดกลั้นและเคารพต่อความหลากหลาย
 
สำหรับระดับการสร้างสันติภาพในสังคม อิสลามเป็นศาสนาที่เอื้อต่อวิถีทางสันติวิธีและการสร้างสันติภาพผ่านพิธีกรรมทางศาสนามากมาย ได้แก่ การที่ผู้นำทางการเมืองใช้วาระการรวมตัวกันโดยธรรมชาติในการละหมาดวันศุกร์กระทำการเคลื่อนไหวอย่างสันติ หรือในทศวรรษที่ผ่านมา มีนักวิชาการที่ศึกษาโดยตรวจสอบการใช้พิธีกรรมทางศาสนาเช่น การถือศีลอดซึ่งเป็นการฝึกฝนอย่างดีเพื่อการอดข้าวประท้วง หรือการกล่าวคำสวดวิงวอนอย่างต่อเนื่องพร้อมเพรียงกันระหว่างการเดินประท้วงหรือการชุมนุม ทำให้การต่อสู้เป็นไปอย่างมีพลัง ทั้งหมดที่กล่าวมาจึงนับเป็นตัวอย่างที่ดีเลิศของเทคนิคการตระเตรียมการอย่างมีวินัยในการต่อสู้ด้วยสันติวิธี ดังนั้น ยุทธวิธีแบบการสร้างสันติภาพและสันติวิธีในวิถีอิสลามดังกล่าว จึงเหมาะสำหรับทั้งผู้ที่เป็นมุสลิมและไม่ใช่มุสลิมในการแก้ไขความขัดแย้งโดยไม่ใช้ความรุนแรง
           
            การใช้คำสอนเชิงคุณค่าและหลักการของศาสนาอิสลามตามกรอบแนวคิดที่ได้นำเสนอในบทความนี้จะสามารถช่วยเพิ่มโอกาสในการเปลี่ยนแปลงอย่างสันติและการพัฒนาในชุมชนนั้นๆ สำหรับในระดับในเชิงนโยบาย การให้การอบรมผู้นำและผู้ตามเกี่ยวกับคุณค่าเหล่านี้จะสามารถนำสู่การเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีให้เกิดขึ้นในชุมชน จะเห็นได้ว่า เป็นที่น่าเสียดายที่มีชุมชนมุสลิมเป็นจำนวนมากเมื่อมีการพยายามรวมผู้คนในการเคลื่อนไหวทางสังคมและการเมืองแต่กลับละเลยมิติความสำคัญและพลังของคุณค่าในคำสอนของศาสนาและวัฒนธรรมซึ่งเป็นสิ่งจับใจของผู้คน ดังนั้น กรอบแนวคิดนี้สามารถช่วยเป็นช่องทางในการสื่อสารสำหรับการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นในหมู่มุสลิม
 
            ถึงแม้ว่าในปัจจุบัน สิ่งนี้ยังอาจเป็นเพียงอุดมคติ และชุมชนมุสลิมทั้งหลายยังดูอยู่ห่างไกลที่จะประยุกต์วิธีการอุดมคติเหล่านี้ในการเปลี่ยนแปลงทางสังคมและการเมือง เนื่องจากในสภาพความเป็นจริงปัจจุบัน ดูเหมือนว่ายังมีมุสลิมเป็นจำนวนไม่น้อยที่ยังไม่ได้ปฏิบัติตัวตามคำสอนเชิงคุณค่าและหลักการเหล่านี้ในวิถีชีวิตประจำวันของพวกเขา แต่อย่างไรก็ตาม คุณค่าเหล่านี้ยังคงดำรงอยู่และยังถูกถ่ายทอดส่งต่อไปยังคนรุ่นใหม่ๆ ต่อไป โดยผ่านกระบวนการขัดเกลาทางสังคม ประเพณีวัฒนธรรมและการปฏิบัติ ตลอดจนความเชื่อในศาสนา และมีหลายเสียงยังคงพร่ำบ่นถึงสภาพความล้มเหลวของผู้นำในสังคมมุสลิมในการสื่อสารถ่ายทอดส่งต่อคุณค่าเหล่านี้ในชุมชน    
 
            ประการสุดท้าย จากการที่ระบุถึงคำสอนเชิงคุณค่าเกี่ยวกับการสร้างสันติภาพในบริบทของศาสนาอิสลามทำให้สามารถก้าวข้ามคำถามที่ว่าอิสลามมีคำสอนเหล่านี้หรือไม่ หากแต่งานศึกษาวิจัยในอนาคต สามารถก้าวสู่ขั้นต่อไป ได้แก่
 
  • ตรวจสอบการนำหลักการเหล่านี้ไปใช้ในบริบทของชีวิตประจำวัน
  • ศึกษาข้อจำกัดที่เป็นอุปสรรคต่อการนำหลักการไปปฏิบัติจริงได้ในความขัดแย้ง
  • สรุปบทเรียนกรณีที่ประสบความสำเร็จในการจัดการความขัดแย้งและการสร้างสันติภาพที่เกิดขึ้นในชุมชนมุสลิม
การสำรวจตรวจสอบกรณีศึกษาต่างๆ จะช่วยให้นักวิชาการและนักปฏิบัติสามารถเข้าใจในเงื่อนไขต่างๆ ที่จะนำสู่การสรรสร้างแนวทางในการจัดการความขัดแย้งต่างๆ ในชุมชนมุสลิมได้อย่างสันติตามวิถีแห่งอิสลามต่อไป
 
 
เอกสารอ้างอิง
 
มัสลัน มาหามะ (แปล).  2549. สันติภาพและสงครามระหว่างบทบัญญัติในอัลกุรอานและคัมภีร์โตราห์. กรุงเทพฯ: สำนักพิพม์อัล-อีหม่าน.
 
สุชาติ เศรษฐมาลินี. 2551. ความรุนแรง สันติภาพและความหลากหลายในโลกอิสลาม. กรุงเทพฯ : สยาม
 
อิสมาอีล ลุตฟี จะปะกียา. 2547. อิสลามศาสนาแห่งสันติภาพ.  ปัตตานี: มัจลิสอิลมีย์.
 
Muis Occasional Papers Series Paper No. 6. Singapore: Islamic Religious Council of Singapore.
 
                               . 2003. Nonviolence and Peacebuilding in Islam: Theory and Practice. Florida: University Press of Florida. 
 
Cetin, muhammed. 2009. The Gulen Movement: Civic Service Without Borders. New York: Blue Dome Press.       
 
Easwaran, Eknath. 2002.  Nonviolent Soldier of Islam: Badsha Khan, A Man to Math His Mountains. California: Nilgiri Press.
 
Esposito, John and Ihsan Yilmaz. 2010.  Islam and Peacebuilding: Gulen movement Initiatives. New York: Blue Dome Press.    
 
Huda, Qamar-Ul. 2010. Crescent and Dove: Peace and Conflict Resolution in Islam. Washington, D.C.: United states Institute of Peace.
 
Khan, M. Ahsan. 2011. The Vision and Impact of Fethullah Gulen: A New Paradigm for Social Activism. New York: Blue Dome Press.    
 
Pal, Amitabh. 2011. Islam Means Peace: Understanding the Muslim Principle of Nonviolence Today. California: Praeger. 
 
Satha-Anand, Chaiwat. 1993. “The nonviolent Crescent: Eight Theses on Muslim Nonviolent Actions.” In G. Paige; C. Satha-Anand and S. Gilliatt. Islam and Nonviolence. Honolulu: Center for Global Nonviolence Planning Project.     
 
 

 



[1] ดร.ชัยวัฒน์ สถาอานันท์ ศาสตราจารย์ด้านรัฐศาสตร์และบรมครูทางด้านความรุนแรงและการไม่ใช้ความรุนแรง ได้แนะนำผู้เขียนว่าวิธีที่ดีที่สุดสำหรับการทำงานในหัวข้อนี้คือ การแปลงานของ Mohammed Abu-Nimer ซึ่งได้ทบทวนงานเขียนเกี่ยวกับแนวคิด “อิสลามกับสันติวิธี” ได้อย่างเป็นระบบและสมบูรณ์ งานชิ้นนี้จึงเป็นการแปลและเรียบเรียงจากงานของ Abu-Nimer เป็นหลักและได้อ้างอิงงานอื่นๆ สอดแทรกเข้าไปบ้างเพื่อจะได้เป็นประโยชน์แก่ผู้สนใจศึกษาในประเด็นนี้ต่อไป
 
[2]เป็นศาสตราจารย์ประจำโครงการการแก้ไขความขัดแย้งและการสร้างสันติภาพนานาชาติ และเป็นผู้อำนวยการสถาบันการสร้างสันติภาพและการพัฒนา ที่ American University ประเทศสหรัฐอเมริกา ท่านเป็นผู้มีประสบการณ์จัดการฝึกอบรมเชิงปฏิบัติการเพื่อแก้ไขความขัดแย้งและการเสวนาระหว่างศาสนาในพื้นที่ความขัดแย้งต่างๆ ในหลายประเทศทั่วโลก เช่น ปาเลสไตน์ อิสราเอล อิยิปต์ ไอร์แลนด์เหนือ ศรีลังกา และมิดาเนาในฟิลิปินส์ เป็นต้น ท่านได้เขียนหนังสือ  Nonviolence and Peace Building in Islam: Theory and Practice (2003); Dialogue, Conflict Resolution, and Change: Arab-Jewish Encounters in Israel (1999) เป็นบรรณาธิการร่วมหนังสือ Unity In Diversity: Interfaith Dialogue in the Middle East (2007) และเป็นบรรณาธิการก่อตั้งวารสาร Journal of Peacebuilding and Development
 
[3] นอกเหนือจากงานของ Abu-Nimer ในการทบทวนอิสลามกับสันติวิธีแล้ว ยังมีงานสำคัญใหม่ๆ ที่ชี้ให้เห็นถึงพัฒนาการทางด้านการศึกษาอิสลามกับสันติวิธีที่ได้ขยายขอบเขตไปอย่างกว้างขวางได้แก่งานของ Huda (2010); Pal (2011)

[4] ดูตัวอย่างงานของ Yusuf Al-Qardawai ใน มัสลัน มาหามะ (2549)


[5] นอกเหนือจากงานที่ Abu-Nimer ได้สรุปไว้ในแนวนี้แล้ว ยังมีงานอิสลามกับการสร้างสันติภาพที่เป็นขบวนการคลื่อนไหวในระดับโลกที่น่าสนใจเป็นอย่างมากของขบวนการ Gulen Movement ที่มีต้นกำเนิดในประเทศตุรกี โดยเฉพาะอย่างยิ่งการสร้างสันติภาพโดยผ่านการวางระบบการศึกษาสมัยใหม่ การเสวนาระหว่างศาสนา และการบริการสังคมโดยภาคประชาสังคม ดูรายละเอียดได้ใน Esposito and Yilmaz (2010); Cetin (2009) 
 
[6] ดูเพิ่มเติมในงานของ อิสมาอีล ลุตฟี จะปะกียา (2547)  


[7] อ้างใน สุชาติ เศรษฐมาลินี (2551)