เมื่อตะวันลับขอบฟ้าซ่อนตัวหลังก้อนเมฆใหญ่ นับเป็นเวลาเดียวกันที่มวลมนุษย์บนโลกนี้ ต้องการหลับตาเพื่อใฝ่ฝันหรือเพ้อฝันในความฝันที่มาหลอกหลอนเมื่อยามหลับ และมนุษย์เหล่านี้หวังที่จะพักผ่อน เพื่อเก็บเรี่ยวแรงในการทำงานในวันที่ดวงอาทิตย์ลืมตาขึ้นจากแหล่งหลบซ่อน เพื่อจ่ายแสงให้มนุษย์นั้นได้รับประโยชน์จากมันในการปฏิบัติกิจวัตรประจำวัน
เปิดใจเรียนรู้
ฉัน เด็กสาวปัตตานีผูกพันกับสิ่งแวดล้อมตามวิถีชีวิตของคนมุสลิมที่มีการปฏิบัติศาสนกิจและมีการใช้ชีวิตตามวีถีชีวิตของชาวมลายู ไม่เคยที่จะเอาตัวเองห่างจากสิ่งเหล่านี้ได้นานเป็นเดือน หรือ เป็นปี เพราะคิดว่าการใช้ชีวิตในพื้นที่ลังกาสุกะถือว่าดีที่สุดแล้ว ไม่ต้องการอะไรแล้ว ไม่ต้องการเรียนรู้เรื่องพื้นที่อื่น ถึงแม้ภายในใจลึกๆ ก็ยังหวังที่จะเดินทางสองสามวันในการท่องเที่ยวไปสรรหาสิ่งใหม่ๆในการเดินทาง แต่ไม่เคยมีในความคิดแม้แต่น้อยที่จะไปใช้ชีวิตต่างบ้านต่างเมืองนานถึงหนึ่งปีด้วยตัวคนเดียว
โอกาสในการเปิดใจ
โครงการบัณฑิตอาสาของม.อ.หรือ(บอ.ม.อ) หรืออีกชื่อหนึ่ง นักสร้างเสริมสุขภาวะชุมชน หนึ่งโครงการที่ได้เข้ามาสมัครเพราะเพียงต้องการที่จะพิสูจน์ว่าสิ่งใดที่เหมาะกับตัวเองและสิ่งใดที่ตัวเองชอบ ซึ่งโครงการนี้เองที่ทำให้สาวปัตตานีคนนี้ต้องพลัดพรากจากถิ่นบ้านเกิดมาทำงานในต่างพื้นที่ต่างจังหวัดต่างวิถีชีวิต และต่างสิ่งแวดล้อม ทุกอย่างมีคำว่า “แตกต่าง” เป็นคำนำหน้าของทุกสิ่งที่จะอธิบายความรู้สึกจากอีกคนที่ต้องเดินทางหาความฝันสู่อีกคนที่ต้องการทราบข่าวเรื่องราวที่เราเผชิญในสังคมที่ต่างอย่างสิ้นเชิงกับชีวิตที่เคยใช้
มากกว่าการเปิดใจ คือ การยอมรับ
บ้านห้วยลึก ตำบลวังวน อำเภอกันตัง จังหวัดตรัง เป็นพื้นที่ที่ต้องมาปฏิบัติภารกิจครั้งนี้ เป็นพื้นที่ที่มีความอุดมสมบูรณ์ทั้งป่าไม้ ภูเขา และแม่น้ำ ทุกอย่างเหมือนความฝันที่ต้องการมาใช้ชีวิต ผู้คนที่นี่มีความรัก ความเป็นพี่เป็นน้องในการใช้ชีวิต ผู้คนยิ้มแย้มให้กันและกัน ใส่ใจซึ่งกันและกันแม้บางครั้งจะคิดว่า เราเป็นคนต่างศาสนิกเขาจะห่วงและรักเราจริงหรอ แต่แล้วคำตอบที่ตามหานั้นอยู่ในรายละเอียดของการใช้ชีวิตและผ่านการสัมผัส ทุกคนในหมู่บ้านแจกรอยยิ้มเป็นว่าเล่นให้กับสาวปัตตานีคนนี้ และยังมีชาวบ้านหลายต่อหลายคนตามหาและซักถามว่าหายไปไหน เมื่อไม่ได้เห็นหน้าหลายวัน บ่งบอกถึงการใส่ใจของคนในหมู่บ้านที่ให้ความรัก ความใส่ใจให้กับสาวปัตตานีคนนี้ รวมถึง เด็กๆในหมู่บ้านนี้มีความเป็นห่วง มีความรัก ความใส่ใจ และเป็นเพื่อนเมื่อต้องการลงพื้นที่ พวกเขาเป็นทั้งเจ้าของพื้นที่ เป็นทั้งเพื่อน และเป็นทั้งลูกศิษย์ ที่บอกว่าพวกเขาเป็นลูกศิษย์นั้น คงต้องอุบส์ไว้ก่อน เพราะเรื่องราวที่จะเล่าต่อไปนี้ เป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นก่อนที่จะมีความรู้สึกดีๆ ไม่ว่าจะเป็นการปรับตัวเข้ากับสังคม การใช้ชีวิตในต่างพื้นที่อย่างมีความสุขและที่สำคัญการได้มาซึ่งสิ่งที่ยิ่งใหญ่คือ ทัศนคติที่เปลี่ยนไป
ย้อนไปเมื่อวันที่ 29 พฤษภาคม 2557 เป็นตอนสายๆของวันพฤหัสที่ต้องเดินทางมายังที่พื้นที่ที่ต้องปฏิบัติภารกิจการเดินทางครั้งนี้ได้เคลื่อนด้วยรถสี่ล้ออย่างช้าๆเพียงพอที่จะสัมผัสสิ่งแวดล้อมระหว่างทาง ซึ่งช่างแตกต่างอย่างสิ้นเชิง ซึ่งแต่ก่อนการเดินทางในสามจังหวัดก็เต็มไปด้วยการปลูกมัสยิดริมถนน หรือไม่ก็ ปลูกมัสยิดในหมู่บ้าน พอที่จะเห็นเป็นสัญลักษณ์ของมัสยิดได้ แต่แล้วภาพภาพเหล่านั้นกลับเปลี่ยนอีกหนึ่งมิติที่ไม่ได้สัมผัสบ่อยหนัก คือ ศาลพระภูมิหน้าบ้านของพี่น้องไทยพุทธมาแทนภาพที่เคยเห็น จากมัสยิดกลายเป็น ศาลพระภูมิ ในใจคิดเพียงว่า “ฉันคงอยู่ในสิ่งแวดล้อมนี้ไม่ได้แน่เพราะมันช่างแตกต่างจากชีวิตที่เคยใช้ มีทั้งสุนัขในชุมชน วัฒนธรรมและ ความเชื่อที่แตกต่างกัน อีกทั้งไม่เคยเปิดใจที่จะทำงานกับพี่น้องต่างศาสนิก เข้าขั้นปิดกั้นปิดตัวเองก็ว่าได้"
( โอย!!!อยากกลับบ้าน เป็นเสียงประท้วงที่มาจากหัวใจที่ไม่ต้องการอยู่แบบนี้ ไม่เอา) หนำซ้ำพอตกดึก ในบ้านพักก็มีตุ๊กแกและจิ้งหรีดหลังบ้าน เพราะหมู่บ้านแห่งนี้จะมีอาชีพหลักๆคือ กรีดยาง เรื่องสัตว์อย่าได้พูดถึงเพราะคนที่นี่ใช้ชีวิตกับพวกมันจนชิน แต่ว่าสาวปัตตานีคนนี้คงไม่ต่างจากนางรจนาที่ต้องพลัดพรากจากวัง มาอาศัยในกระท่อมปลายนา
เรื่องราวต่างๆที่เกิดขึ้นในวันแรกจากการลงพื้นที่ยังไม่มีเพื่อนไม่ได้รู้จักใครอื่นใด แต่ยังถือว่าโชคยังเข้าข้างเพราะได้เจอเด็กในหมู่บ้านเดินเล่นเลยใช้วิธีการเรียกพูดคุยจนได้เป็นเพื่อน จากสองคน เป็นห้าคน จากห้าคนก็เป็นสิบคน จากสิบคนกลายเป็นลูกศิษย์ เพราะคิดมาตลอดว่า “การที่จะดึงเด็กได้ เราจะต้องสร้างกิจกรรมให้กับพวกเขา”
เวลาผ่านไปวันต่อวัน สัปดาห์ต่อสัปดาห์ เวลาเหล่านี้ผ่านด้วยการทำงานที่มีการลงชุมชน ผ่านการประชุม ผ่านการสอนหนังสือ ผ่านการช่วยงาน จึงทำให้ชาวบ้านบางส่วนได้รู้จักบัณฑิตคนนี้ว่าเป็นใคร มาจากไหน แล้วมาทำอะไร การตั้งคำถามของชาวบ้านทำให้ตนเองคิดว่า เราชนะไปแล้วครึ่งหนึ่งของการถูกใส่ใจจากชาวบ้าน นั้นเป็นบันไดขั้นแรกที่สามารถตีสนิทกับพวกเขาและคงต้องไต่เต้าบันไดขั้นต่อไป แต่แล้วเมื่อเวลาผ่านไป ความรัก ความผูกพันต่อชุมชนเริ่มก่อตัวขึ้นอย่างช้าๆกลายเป็นก้อนเนื้อในหัวใจ ก้อนเนื้อนั้นเต็มไปด้วยความรู้สึกที่เป็นส่วนหนึ่งของชุมชนนี้ไปเสียแล้ว
ภาพต่างๆกลายเป็นสองมิติ จาก ภาพ ความคิดในอดีต กับภาพ ความคิดในปัจจุบันเกิดขัดแย้งกัน แล้วมานั่งตั้งคำถามว่า “ทำไมเป็นแบบนี้ เราได้สิ่งนี้มาได้อย่างไร ในเมื่อ ก่อนมาที่นี่เรายึดติดว่า เราคงไม่สามารถทำงานกับพี่น้องต่างศาสนิกได้ เราไม่สามารถทำงานในพื้นที่ไทยพุทธได้ แล้วเหตุใดจึงได้สิ่งที่มีคุณค่านี้มา คือ การเปลี่ยนมุมมอง การเปลี่ยนทัศนคติ การมองโลกกว้างขึ้น” อาจจะเป็นเพราะว่าชาวบ้านให้ความจริงใจ ให้ความรัก ความสุข ความเป็นห่วง ความใส่ใจ การเข้าใจในศาสนา และการให้เกียรติซึ่งกันและกัน ก็เป็นได้ที่สามารถทำให้สาวปัตตานีคนนี้เปลี่ยนทัศนคติและมุมมองทำให้มีความสุขกับการใช้ชีวิตในหมู่บ้านนี้ต่อไปได้
ผลลัพธ์ทางใจ
ถามว่าจำเป็นใหม หากต้องแบกตัวเอง แบกใจ สู่ทิศทางของการใช้ชีวิตที่ไม่เคยได้ใช้ ไปสู่อีกชีวิตหนึ่งที่ไม่เคยได้สัมผัส คำตอบคือ ไม่ ไม่จำเป็นที่คุณจะต้องแบกสังขารตัวเองไปเรียนรู้ในพื้นที่ ที่ต่างจากตัวคุณเลย แต่เมื่อคุณบอกกับตัวเองตลอดมาว่า
"เราต้องเรียนรู้ให้มากกว่านี้ ต้องเรียนรู้ในสิ่งที่ยังไม่เคยได้รับรู้ ต้องกอบโกยความรู้มากกว่าในห้องเรียนสี่เหลี่ยม หรือมากกว่าใบปริญญาหนึ่งใบ แล้วเราจะออกแบบการเรียนรู้นี้อย่างไรดี"
หนึ่ง เรียนรู้ผ่านตัวอักษร ในห้องสี่เหลี่ยม เขียน จด อ่าน แล้วปิดหนังสือแล้วท่องในโลกความฝัน
สอง ยอมที่จะแบกสังขารตัวเองไปเรียนรู้ในพื้นที่จริง ไปเรียนรู้สภาพความเป็นจริงของมวลมนุษย์ เรียนรู้สภาพทางสังคมว่า ระดับสังคมยังมีความแตกต่างมากน้อยเพียงใด หรือว่า เรายอมที่จะเป็นคนปิดตัวเอง ปิดใจ ปิดความจริง ไม่ยอมที่จะเปิดรับให้สิ่งดีๆเข้ามาแทนที่ สิ่งเดิมๆ บางครั้งการเปิดใจไม่ใช่การนั้งสมาธิแล้วคาถากับตัวเองว่า ฉันเปิดใจแล้วน่ะ ฉันเปิดใจแล้วน่ะ มันคงไม่สิ้นสุดแค่นั้น แต่สำหรับฉัน ฉันคิดว่าการก้าวออกจากบ้านเพื่อไปเติมเต็มการเรียนรู้ข้างหน้า มันเป็นการเรียนรู้ของโลกแห่งความเป็นจริง ทำให้ฉันมองโลกกว้างขึ้น มุมมองใหม่ๆเกิดขึ้นโดยไม่มีการกั้นตัวเองจากสิ่งแวดล้อมใหม่ๆ ไม่จมปลักกับความคิดเดิมๆที่คิดว่าถูก เพียงแค่นี้ก็สุขใจแล้ว แม้บางครั้งต้องอดทนเหมือนคนที่ยากยาก็ตาม