๗๓/ ๕ ถนนอิสรภาพ ๑๑ ธนบุรี กทม ๑๐๖๐๐
๒๓ ธันวาคม ๒๕๕๒
กราบเรียน ฯพณฯ นายกรัฐมนตรี
สำเนาถึง ท่านรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม
ท่านอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ
นับแต่ท่านเข้ารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี พร้อมทั้งได้แถลงต่อสาธารณะถึง แนวคิดจะตั้งคณะทำงานพิเศษเพื่อรื้อฟื้นคดีสำคัญที่สังคมให้ความสนใจ เนื่องจากในรัฐบาลที่ผ่านมา คดีสำคัญหลายคดีถูกวิพากษ์ วิจารณ์และถูกมองว่าไม่ได้รับความเป็นธรรมถูกทำให้ล่าช้า อีกทั้งผู้เสียหายยังถูกขัดขวางในการเข้าถึงความยุติธรรม ซึ่งหนึ่งในคดีต่างๆนั้นคือ คดีการบังคับสูญหายนายสมชาย นีละไพจิตร
จนปัจจุบันที่รัฐบาลภายใต้การนำของท่านได้บริหารงานครบ ๑ ปี แต่คดีการสูญหายของนายสมชาย นีละไพจิตร ซึ่งกรมสอบสวนคดีพิเศษได้รับเป็นคดีพิเศษตั้งแต่เดือนกรกฎาคม ๒๕๔๘ กลับพบว่าไม่มีความก้าวหน้าในทางคดีแต่อย่างใด ในขณะที่พยานสำคัญในคดีนี้ และครอบครัวต่างถูกข่มขู่ คุกคาม และไม่มีความมั่นใจในความปลอดภัยในชีวิต
ในฐานะผู้เสียหาย ดิฉันมีข้อเรียกร้องต่อท่านในฐานะผู้รับผิดชอบเต็มในการกำกับดูแลกรมสอบสวนคดีพิเศษดังนี้
๑. ขอให้เร่งรัดในการดำเนินการสืบสวนสอบสวน พบว่าจนถึงปัจจุบัน คดีการสูญหายของนายสมชาย นีละไพจิตร ภายใต้การกำดูแลของกรมสอบสวนคดีพิเศษไม่มีความก้าวหน้า ตลอดระยะเวลา ๔ ปีเศษที่กรมสอบสวนคดีพิเศษได้เข้ามารับผิดชอบคดีนี้ ได้มีความพยายามเพียงการหาหลักฐานในแม่น้ำแม่กลอง จังหวัดราชบุรี หลายครั้ง จนปัจจุบันได้มีการพบถังน้ำมันขนาด ๒๐๐ ลิตร ซึ่งเชื่อว่าถูกใช้ในการทำลายศพนายสมชาย จำนวน ๔ ถัง และเศษกระดูกของมนุษย์จำนวนหนึ่งซึ่งเมื่อตรวจสอบแล้วทั้งหมด ไม่พบว่ามีสารพันธุกรรมตรงกับนายสมชาย นีละไพจิตร
๒. การให้ความคุ้มครองพยานอย่างมีประสิทธิภาพ เนื่องจากการสูญหายของนายสมชาย นีละไพจิตร มีความเกี่ยวพันกับเจ้าหน้าที่ตำรวจระดับสูงในการทรมานผู้ถูกควบคุมตัว กรณีปล้นปืนเมื่อวันที่ ๔ มกราคม ๒๕๔๗ ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการสอบสวนของ คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ปปช.) ด้วยความล้าช้าของกระบวนการยุติธรรม รวมถึงความไม่มีประสิทธิภาพในการคุ้มครองพยาน ทำให้พยาน และครอบครัวต่างได้รับการคุกคาม และไม่สามารถดำเนินชีวิตได้อย่างปกติ จนปรากฏ;หนึ่งในพยานคือ นายอับดุลเลาะห์ อาบูคารี ซึ่งรอที่จะเป็นพยานเบิกความในศาลอยู่หลายปี ภายใต้ความคุ้มครองพยานของกรมสอบสวนคดีพิเศษ ได้เดินทางกลับภูมิลำเนาในจังหวัดชายแดนภาคใต้ในโอกาสวันสำคัญทางศาสนา เมื่อปลายเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา ต่อมาพบมีข่าวการสูญหายของนายอับดุลเลาะห์เมื่อวันที่ ๑๑ ธันวาคม ขณะนี้เป็นเวลาเกือบสองสัปดาห์ ซึ่งหากการสูญหายของนายอับดุลเลาะห์ เป็นการถูกบังคับให้สูญหายโดยไม่สมัครใจแล้วย่อมจะส่งผลกระทบต่อพยานในคดีนี้ และคดีอื่นๆในความมั่นใจในความปลอดภัย และความเชื่อมั่นในการนำตัวผู้กระทำผิดมาลงโทษตามกระบวนการยุติธรรม ดิฉันจึงขอให้กรมสอบสวนคดีพิเศษแสดงความรับผิดชอบต่อเรื่องที่เกิดขึ้น และสืบสวนสอบสวนเรื่องนี้โดยเร่งด่วนพร้อมทั้งเปิดเผยข้อเท็จจิงแก่สาธารณะทราบ
๓. ขอให้มีการพิจารณาแก้กฎหมายให้การบังคับสูญหายโดยไม่สมัครใจ เป็นอาชญากรรม มีโทษตามกฎหมาย และขอให้รัฐบาลลงนาม และให้สัตยาบันในอนุสัญญาต่อต้านการบังคับให้บุคคลสูญหายโดยไม่สมัครใจ ขององค์การสหประชาติ (UN Convention Against Enforced and Involuntary Disappearances) เพื่อให้หลักประกันในการคุ้มครองประชาชนไทย จากการถูกบังคับให้สูญหายโดยเจ้าหน้าที่รัฐ และเพื่อให้ครอบครัวผู้ถูกบังคับให้สูญหายซึ่งเกิดจากการกระทำของเจ้าหน้าที่รัฐสามารถเข้าถึงความยุติธรรมได้
ดังเป็นที่ทราบโดยทั่วไปว่า คดีการบังคับสูญหายนายสมชาย นีละไพจิตร เป็นคดีหนึ่งซึ่งส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นในกระบวนการยุติธรรม และหลักนิติธรรมในประเทศไทย โดยเฉพาะกับประชาชนในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งแม้รัฐบาลจะประสบความสำเร็จในการให้ความช่วยเหลือ เยียวยา รวมถึงการพัฒนาในด้านต่างๆ แต่สิ่งเดียวที่รัฐยังไม่เคยให้แก่ประชาชนคือ ความยุติธรรม และ ความเสมอภาคทางกฎหมาย ดิฉันจึงขอความกรุณามายังท่านโปรดกำชับการดำเนินการของ คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ปปช.) และกรมสอบสวนคดีพิเศษ ให้รีบเร่งดำเนินการสืบสวนสอบสวน ด้วยความโปร่งใส และเป็นธรรม ทั้งนี้เพื่อยุติวัฒนธรรมการงดเว้นโทษ (Impunity) เพื่อสร้างความมั่นใจในความปลอดภัยของพยาน และเพื่อสร้างความความเชื่อมั่นในกระบวนการยุติธรรมให้แก่พลเมืองไทยทุกคน
ขอแสดงความนับถืออย่างสูง
(นางอังคณา นีละไพจิตร)