Skip to main content

 

กรณีกำลังผสมตำรวจ ทหาร เข้าปิดล้อมตรวจค้นและเปิดฉากยิงปะทะกับกลุ่มติดอาวุธต้องสงสัยที่ อ.สะบ้าย้อย จ.สงขลา เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 4 ธ.ค.57 จนฝ่ายเจ้าหน้าที่ได้รับบาดเจ็บ 2 นาย และฝ่ายติดอาวุธต้องสงสัยถูกจับกุม 1 คนนั้น ได้ปรากฏข่าวการปฏิบัติการที่ทำให้เกิดความรู้สึกไม่พอใจขยายในวงกว้าง ทางกลุ่มด้วยใจจึงได้ลงพื้นที่เพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงในพื้นที่เกิดเหตุ เมื่อวันที่ 8 ธันวาคม 2557 เวลา 16:00 น พบว่า

จากรายงานข่าวของศูนย์ข่าวอิศรา มีรายละเอียดดังนี้ เมื่อบ่ายวันพฤหัสบดีที่ 4 ธ.ค. เจ้าหน้าที่ชุดสืบสวนคดีสำคัญ ศูนย์ปฏิบัติการตำรวจจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศชต.) ร่วมกับชุดปฏิบัติการสืบสวนปราบปรามหน่วยเฉพาะกิจตำรวจตระเวนชายแดนที่ 43 และทหารหน่วยเฉพาะกิจสงขลา สนธิกำลังกับตำรวจ สภ.สะบ้าย้อย จ.สงขลา เข้าปิดล้อมบ้านเป้าหมายในพื้นที่หมู่ 2 บ้านควนแร่ ต.สะบ้าย้อย อ.สะบ้าย้อย หลังจากได้รับรายงานว่ามีแกนนำกลุ่มก่อความไม่สงบ 7-8 คนเข้าไปประชุมวางแผนเพื่อเตรียมก่อเหตุรุนแรงในพื้นที่ อ.สะบ้าย้อย ช่วงวันศุกร์ที่ 5 ธ.ค.ซึ่งเป็นวันสำคัญและเป็นวันหยุดราชการ

ระหว่างเข้าปิดล้อมอยู่นั้น ปรากฏว่ากลุ่มติดอาวุธต้องสงสัยภายในบ้านได้เปิดฉากยิงใส่เจ้าหน้าที่เพื่อเปิดทางหลบหนี จึงเกิดการยิงปะทะกัน 2 ระลอก นานกว่า 20 นาที ทำให้เจ้าหน้าที่ถูกยิงได้รับบาดเจ็บ 2 นาย หลังปิดล้อมนานกว่า 1 ชั่วโมง ปรากฏว่ากลุ่มติดอาวุธภายในบ้านยอมจำนนมอบตัวกับเจ้าหน้าที่ 1 คน คือ นายมูฮัมหมัดฟันดี หรือมูฮัมหมัดฟังดี มามะ ส่วนอีกคนที่ซ่อนตัวอยู่ด้วยกัน คือ นายมะยะโก๊ะ ลาเต๊ะ อายุ 35 ปี หลบหนีไปได้ 

เจ้าของบ้านได้เล่าเหตุการณ์การปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ให้กลุ่มด้วยใจฟังว่า
“เธออยู่กับสามีมีลูก มีลูก 3 คน เป็นผู้ชาย 2 คน และผู้หญิง 1 คน ลูกชาย 2 คนขณะนี้ถูกควบคุมตัวตั้งแต่วันที่ 4 ธ.ค. 57คือ นายสุนัน อาแวเจาะแม อายุ 27 ปี นายวรยุทธ อาแวเจาะแม อายุ 19 ปี จนถึงปัจจุบัน”

ในวันนั้นเพื่อนบ้านและกะไม่ได้กรีดยางพาราเพราะเมื่อคืนฝนตกจึงนั่งเล่นคุยและดื่มน้ำชาหน้าบ้านกันเพราะเป็นบ้านห้องแถวปลูกสร้างติดกันหลายหลัง ต่อมา เวลาประมาณ 10.30 น.ก็มีเจ้าหน้าที่ใส่ชุดสีดำจำนวนมากมาถามที่บ้านข้างๆ ว่า “นี่บ้านใคร” กะก็บอกว่า “นี่บ้านกะ” เจ้าหน้าที่ถามต่อว่า “ มีใครบ้าง” กะก็บอกว่า “มีลูกกับช่างไฟอยู่” เจ้าหน้าที่จึงเรียกให้ทุกคนออกมาจากบ้าน สักพักลูกชายที่ชื่ออัสมิงที่นอนอยู่ในบ้านก็เดินออกมาแบบสะลืมสะลือ เจ้าหน้าที่ก็ถามว่า “ ชื่ออะไร” ลุกก็ตอบว่า “ มิง ” เจ้าหน้าที่ก็จับมือไขว่หลัง ใส่กุญแจมือ

ต่อมาอัสลันที่นอนที่กระท่อมหน้าบ้านก็เดินออกมา ก็เลยโดนจับมือไขว่หลังแล้วใส่กุญแจมือ และมีช่างไฟฟ้าเดินออกมาแล้วโดนจับมือไขว่หลังใส่กุญแจมือ แล้วเจ้าหน้าที่ก็ได้ตรวจค้นบ้านบริเวณนั้นทุกหลัง จนกระทั่งถึงที่บ้านของกะ เจ้าหน้าที่ก็บอกว่า “คนร้ายมี คนร้ายมี” ก็เลยยิงกันไม่นานมากแต่เสียงที่ได้ยินนั้นเป็นเสียงปืนรัวเหมือนไม่มีการโต้ตอบเหมือนเป็น การยิงฝ่ายเดียว

กะไม่ได้อยู่บ้านเพราะกลัว และเจ้าหน้าที่ไล่ให้ไปที่อื่น กะเห็นเจ้าหน้าที่ใส่ชุดดำทำร้ายลูกชายที่ชื่อ”มิง” โดยโขกศีรษะของลูกกับพื้น 2-3 ครั้ง จนหัวแตกมีเลือดไหล และตบหน้า 2-3 ที คนที่เป็นช่างไฟชื่อ “ ยา ” เดินชนเจ้าหน้าที่ก็เลยถูกผลักไปโดนตอม่อ หัวแตก มีเลือดไหล เป็นช่วงที่ยาจะหมอบตัวลง เจ้าหน้าที่ก็เอาปืนจี้ที่ด้านหลัง ส่วนข้างหน้าหมู่บ้านมีการยิงกันและเจ้าหน้าที่จับผู้ต้องสงสัยได้ 1 คนที่หน้าบ้านผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน ซึ่งเป็นคนนอกหมู่บ้าน

 กะก็ไม่รู้เหมือนกันว่ามาจากตรงไหนเห็นว่าถูกลากมาจากหน้าบ้านของผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านไปฝั่งตรงข้ามถนน กะเห็นแต่ด้านหลัง ก็มีเสียงบอกว่า “ เจ้าหน้าที่โดนยิง 2 นาย ” มีการเรียกตำรวจชายแดน ทหารมาหลายนาย และประมาณเวลา บ่ายโมงกว่าก็มีการเรียกชาวบ้านให้มารวมกันโดยให้ผู้ชายไปอยู่ในสวนยาง มีเด็กอายุ 12 ปี และ 2 ปี รวมอยู่ด้วย มีเด็กที่ไม่ใส่เสื้อผ้าด้วยและโดนยุงกัดในสวนยาง ผู้หญิงและคนแก่หลายคนก็อยู่ในสวนยาง ก่อนที่จะย้ายให้ไปที่มัสยิดของหมู่บ้านประมาณ 20 กว่าคน ส่วนลูกชาย มิงกับลัน(ชื่อที่ใช้เรียกลูกชาย) และช่างไฟก็ยังหมอบอยู่ที่หน้าบ้านตอนที่มีการยิงกัน สักพักก็มีการรวมตัวผู้ชายไปไว้ที่สวนยางแบ่งเป็น 2 พวก คือ ชาวบ้านฝั่งหนึ่งและผู้ถูกคุมตัวอีกฝั่งหนึ่งซึ่งมีด้วยกัน 5 คนคือ มิง ลัน ช่างไฟ คนนอกหมู่บ้านและแบรอฟะ ที่ถูกใส่กุญแจมือด้วย 

ช่วงที่อยู่ที่มัสยิดพวกผู้หญิงนั้นได้ละหมาด กินข้าวที่ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านและชาวบ้านช่วยกันทอดไข่ หุงข้าวให้ แต่ก็ไม่ได้อาบน้ำ บางคนก็อยู่ในชุดเก็บเศษยางพารา เราถูกปล่อยตัวหลังละหมาดอีซา ก็ประมาณ 2 ทุ่มกว่า ส่วนพวกผู้ชายก็ไม่ได้ละหมาดตั้งแต่เที่ยงจนถึงค่ำ ได้ กินอาหารตอนกลางคืนที่คนขายปลาซื้อมาให้ (ชื่อดารี) ต้องอยู่ในสวนยางจนถึงกลางคืนประมาณ สี่ทุ่ม และชุดแรกที่ถูกปล่อยตัวเป็นผู้ชายฝั่งที่ไม่ได้ถูกควบคุมตัว ส่วนกะก็กลับบ้านประมาณ 3 ทุ่มกว่าแล้ว แต่กะไม่ได้กลับไปนอนที่บ้าน จนถึงตอนนี้ กะนอนที่บ้านของน้องสาว เพราะสภาพบ้านนั้นพังยับเยิน หน้าต่างที่เป็นกระจกแตกกระจาย ประตูพัง ตู้เสื้อผ้า ลิ้นชักพัง พนังบ้านถูกทุบพัง ภายในบ้านรก ระเกะระกะไปด้วยเศษกระจก และผลของการรื้อค้นของเจ้าหน้าที่ บ้านก็เปิดโล่ง กะก็เลยกลัว

ตอนนี้ก็นอนบ้านน้องก่อนจนกว่าจะได้รับการซ่อมแซมให้คืนสภาพกะถึงจะกล้ากลับไปนอนที่บ้าน ตอนนี้ที่ทำได้ก็แค่ไปดูว่ามีอะไรขาดหายหรือเปล่า ซึ่งก็มีของหาย คือ เงินที่กะไม่ทราบจำนวนที่แน่นอนต้องดูใบเสร็จจากเถ้าแก่สวนยางพาราก่อน เสื้อลูกชาย นกในรัง รถจักรยานยนต์ (ได้คืนแล้ว) ในส่วนอื่นกะยังไม่แน่ใจ

เจ้าหน้าที่มาที่บ้านมาตรวจหลักฐานก็ไม่พบอะไร ไม่เจอกระสุนปืนอะไรในบ้าน เจ้าหน้าที่บอกว่า กะสามารถกลับบ้านได้แล้ว แต่กะก็ยังกลัว เจ้าหน้าที่มาตรวจบ้านกะ 2 ครั้ง ครั้งแรกนั้นวันเกิดเหตุยังไม่มีความเสียหายมาก แต่ครั้งที่ 2 เจ้าหน้าที่มาวันศุกร์ ที่ 5 ธ.ค. 57

ตอนกลางวันในช่วงที่กะไม่อยู่ที่บ้าน มีน้องสาวที่อยู่แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ เจ้าหน้าที่ทำการรื้อค้นบ้าน ทำลายข้าวของได้รับความเสียหาย กะกลับบ้านมาเห็นตกใจและรู้สึกเจ็บใจที่เจ้าหน้าที่มาที่บ้านตอนที่เราไม่อยู่ก็ยังทำการตรวจค้นจนเกิดความเสียหาย ตอนที่กะไปดูในบ้านมีการเอาน้ำกระท่อมและอุปกรณ์สูบกัญชาไว้ที่หน้าต่างหลังบ้านตรงห้องนอนกะ กะก็เลยเอาไปทิ้งที่หลังสวน บ้านของกะมีห้องคล้ายกับห้องใต้ดิน แต่ที่จริงเป็นห้องนั่งเล่น ดูทีวี มีห้องนอน 1 ห้อง 

ตอนนั้นสามีกะออกจากบ้านไปบ้านที่ตำบลโสร่ง จังหวัดยะลา เพื่อไปเอามะพร้าว สามีออกไปตั้งแต่ 8 โมงเช้าเพียงคน เดียว ก่อนเกิดเหตุจึงไม่ได้โดนควบคุมตัวด้วย ตอนนี้ก็พักอยู่ที่อื่นก่อน รอเวลาสัก 2-3 วัน ก็จะกลับเข้าหมู่บ้านเพราะหวาดกลัว ต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
ความรู้สึกของเธอ 

ตอนแรกก็ตกใจ กลัว เหนื่อย แต่ตอนนี้ก็ต้องดูแลตัวเอง ทำใจได้แล้ว อดทนเพราะเป็นสิ่งที่อัลลอฮฺกำหนดไว้แล้ว ตั้งแต่วันนั้นจนถึงวันนี้กะยังไม่ได้ไปเยี่ยมลูกเลย มีแม่กับน้องสาวที่ไปเยี่ยมแทน เพราะกะต้องอยู่จัดการทางบ้าน

กะรู้สึกเจ็บใจก็ตอนที่เจ้าหน้าที่มาตรวจค้นครั้งที่ 2 ตอนที่กะไม่อยู่บ้านจนบ้านได้รับความเสียหายมาก
ตอนนี้อยากให้มีการซ่อมแซมบ้าน มีคนช่วยจัดบ้านเพราะกะคนเดียวก็ไม่ไหว มีทหารที่นิคมเทพาบอกว่า “ กะต้องเข้าใจ เพราะเจ้าหน้าที่บาดเจ็บ 2 นาย กะต้องทำใจ ถ้าเสียหายอะไรก็ไปพูดคุยกับเจ้าหน้าที่อำเภอ ปลัด อบต. ” ซึ่งกะเองก็ยังบอกไม่ได้ว่ามีอะไรเสียหายบ้างเพราะกะยังไม่ได้เข้าบ้าน 

รองนายกองค์การบริหารส่วนตำบลท่าพญา ก็ บอกว่าจะมาประเมินความเสียหายวันจันทร์ ที่ 8 ธ.ค. 2557 ก็ยังไม่มาอีก จนถึงวันนี้มีคนแก่ที่หมู่บ้านเสียขวัญ ตกใจ ใจเต้น เหนื่อย ไม่อยากกินข้าว พอเห็นว่าเจ้าหน้าที่มาก็จะมีอาการให้เห็น ทุกคนกลัวไม่มีใครกล้าพูดอะไร

กะไปหาศูนย์ทนายความแล้ว เขาก็แนะนำให้สามีกะอย่าเพิ่งกลับบ้าน ให้เว้นระยะเวลาสัก 2-3 วันก่อน ให้เรื่องคลี่คลายแล้วค่อยกลับบ้าน ถ้าเจ้าหน้าที่มาควบคุมตัวสามีกะไปก็ค่อยไปพบเขา 
 

วันนี้กะก็ไปแจ้งความลงบันทึกประจำวันเรื่องบ้านที่เสียหายที่โรงพักสะบ้าย้อยแล้ว 
ลูกชายที่ชื่อ อัสมิง เคยถูกควบคุมตัวแล้วหลายปีก่อน วันนั้นเป็นวันศุกร์หลังละหมาดก็กลับมากินข้าว สักพักก็มีจ้าหน้าที่มาเชิญตัวไปสอบสวน แต่ก็ได้รับการปล่อยตัว

ตอนที่เจ้าหน้าที่มาที่บ้าน มาคุย มาขอโทษ “ก็ถามว่าเสียขวัญหรือเปล่าเกิดเหตุแบบนี้” แล้วก็พูดทำนองให้กำลังใจ ปลอบขวัญ แต่กะถามเจ้าหน้าที่ว่า “ กรณีเป็นผู้ต้องสงสัยยังไม่ใช่คนร้าย การทำร้ายร่างกายนั้นผิดไหม” เจ้าหน้าที่ก็ตอบว่า “ อืม ก็ผิด แต่ก็ต้องเข้าใจเพราะเจ้าหน้าที่โดนยิงเหมือนกัน” แล้วเจ้าหน้าที่ก็ปลอบกะ

คำบอกเล่าของ 1 ใน 5 ของคนที่ถูกควบคุมตัวในสวนยาง 

ตอนนั้นแบนั่งอยู่ที่หน้าบ้านเพราะเช้าวันนั้นไม่ได้ไปกรีดยาง เจ้าหน้ามาก็เรียกตัวไปแล้วให้หมอบตัวลงแล้วเจ้าหน้าที่ก็จับมือไขว่หลังใส่กุญแจมือ เจ้าหน้าที่เป็นคนยิงก่อน ตอนนั้นมีคนชะโงกหน้าออกมา เจ้าหน้าที่ก็ยิงเข้าไปเลย โชคดีที่กระสุนปืนเฉี่ยวศีรษะ แต่มีเจ้าหน้าที่บาดเจ็บอีกทางหนึ่งซึ่งชาวบ้านไม่รู้ เจ้าหน้าที่มีการขู่ ถามว่า “ มีกี่คนข้างใน ”แล้วก็ ตบหัว เขกหัว หลายครั้ง ซึ่งหัวถูกพื้นด้วย

 แบเห็นว่ามีเลือดสีแดงๆ ซึ่งคนที่โดนก็คือมิง ทุกคนถูกใส่กุญแจมือทั้ง 5 คน ด้าน “มิง” ถูกเอาสันมือตีที่ลูกกระเดือก แบเองก็ถูกสับมือที่คอด้านขวา ส่วนคนนอกหมู่บ้าน โดนปืนจี้แล้วบิดที่ด้านหลังหนักๆ ทั้ง 5 คนถูกนำไปรวมกันที่สวนยางอีกฝั่งหนึ่งของชาวบ้านผู้ชายที่ถูกรวมตัวอยู่แล้ว 

ความรู้สึกของแบก็ไม่ได้ตกใจ รู้สึกเฉยๆกับเหตุการณ์ เพราะตอนเป็นทหารก็มีลักษณะแบบนี้เหมือนกันแต่ก็ไม่อยากให้เจ้าหน้าที่อยู่ในหมู่บ้าน ถ้าหากมาสร้างความเดือดร้อนให้กับชาวบ้าน แต่ถ้ามาแล้วอยู่ดีก็ไม่เป็นไร หากมาอยู่แล้วมาจับตัวชาวบ้านที่ไม่เกี่ยวข้องหรือกระทำแบบนี้ก็ไม่เอา

จากบทสัมภาษณ์ ทางกลุ่มด้วยใจมีความคิดเห็นว่า สิ่งที่เกิดขึ้นประชาชนไม่ได้ปฏิเสธการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ในการติดตามจับกุมคนร้าย แต่ไม่สามารถยอมรับการกระทำที่เกินเลยได้ อีกทั้งไม่เข้าใจและใส่ใจถึงชีวิตความเป็นอยู่ในวิถีอิสลาม เพราะบริเวณที่เกิดเหตุส่วนใหญ่นับถือศาสนาอิสลาม

ไม่ว่าจะเป็น การไม่ได้ดูแลเรื่องการละหมาดซึ่งเป็นสิ่งที่มุสลิมต้องทำ อาหารการกินของประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากการปิดล้อม การกระทำเกินเลยทั้งการปฏิบัติต่อผู้ต้องสงสัย และประชาชนที่อยู่ใกล้ที่เกิดเหตุ ความเป็นจริงที่ชาวบ้านพบเจอจะเป็นช่องว่างที่เจ้าหน้าที่จะละเลยไม่ได้ เพราะสิ่งนี้จะทำให้เกิดความห่างมากกว่าความใกล้ชิด 

ทางกลุ่มด้วยใจจึงขอเรียกร้องให้เจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงให้ทบทวนวิธีการปฏิบัติงาน ดังนี้
• การปฏิบัติงานควรคำนึงถึงประชาชนที่อยู่ในพื้นที่ปฏิบัติการโดยเฉพาะเด็ก ผู้หญิง และ คนชรา
• ควรมีข้อกำหนดในการดูแลประชาชนกรณีที่มีความจำเป็นต้องใช้เวลาในการปฏิบัติการยาวนาน 
• ควรคำนึงถึงหลักสิทธิมนุษยชนในทุกด้าน และ ที่สำคัญคือผู้ต้องสงสัยยังคงเป็นผู้บริสุทธิ์จนกว่าจะมีคำพิพากษาถึงที่สุดว่ามีความผิด
• ควรมีความเข้าใจถึงหลักการศาสนาอิสลามเพื่อมิให้เกิดการละเมิดทางด้านศาสนา 
• ควรมีการเยียวยาอย่างทันท่วงทีในกรณีเกิดความเสียหายต่อทรัพย์สินจากการปะทะหรือตรวจค้นบ้าน

การปิดล้อม ตรวจค้น จับกุม มีเกิดขึ้นเป็นประจำในจังหวัดชายแดนใต้และสี่อำเภอในจังหวัดสงขลา ซึ่งหลายฝ่ายอาจมองเป็นเรื่องธรรมดา แต่อาจไม่ธรรมดาและสร้างรอยแผล และรอยแยก ในการแก้ปัญหาความไม่สงบได้หากมีการปฏิบัติที่ไม่เป็นธรรม กรณีที่สะบ้าย้อย จึงขอให้เป็นกรณีศึกษาที่นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ในทางที่สร้างความไว้เนื้อเชื่อใจกับประชาชนและนำไปสู่การสร้างสังคมที่สันติสุข ต่อไป